วันเสาร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2552

เห็นด้วยกับ"ทักษิณ"จัดสรรที่ดิน(รัชดาฯ)อย่าปล่อยให้หมาขี้ใส่

ฟังการวีดีโอลิงก์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วันที่ 28 มี.ค.มาที่การชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงที่ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล เกี่ยวกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจก็คงไม่ต่างอะไรกับแผ่นเสียงตกร่องซ้ำแล้วซ้ำอีก

แต่ก็มีประเด็นที่เห็นด้วยอย่างยิ่งและควรจะเร่งทำทันทีก็คือการจัดสรรที่ทำกินเพื่อให้ประชาชนมีเอกสารสิทธิ์ทุกครัวเรือน โดยบอกว่า"เรามีที่รกร้างว่างเปล่าเยอะหวงทำไม นำมาใช้เพื่อการผลิตดีกว่าทิ้งไว้ให้สุนัขขี้"

โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ดินแถวรัชดาฯหลังศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติที่ปล่อยให้รกร้างว่างเปล่า ปล่อยไว้ให้สุนัขขี้แล้วก็เห่าหอน ซึ่งเจ้าของไปเที่ยวจรจัดอยู่ต่างประเทศไม่กลับมาจัดการเสียที น่าจะนำมาจัดสรรให้เป็นประโยชน์เป็นอันดับแรก ไม่ควรที่จะปล่อยให้สุนัขขี้ใส่ หรือไม่ก็ตัดถนนไม่ต้องให้คนใช้ถนนที่ตัดเข้าสู่ถนนพระราม9 ไม่ต้องอ้อมที่ดินว่างเปล่าผืนนี้เสียทั้งเวลาและน้ำมัน

แค่เพียงเท่านี้ก็พอจะอนุมานได้แล้วมั้งว่าเจ้าของที่ดินว่างเปล่าผื้นนี้มีจิตใจเป็นอย่างไร

"วิสาระดี"โด่งดังได้เพราะวลี"ไร้สมอง-ไม่มีสมอง"

ก่อนหน้านี้คนทั่วไปคงจะไม่รู้จักว่า "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" เป็นใครมาจากไหน นอกจากคนเชียงราย เพราะ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" คือ ส.ส.หญิงเชียงราย พรรคเพื่อไทย โดยลงสมัคร ส.ส.แทนพ่อ "วิสาร เตชะธีรวัฒน์" อดีต ส.ส.เชียงราย และกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย สมัยที่ผ่านมา

แต่ศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมาเมื่อวันที่ 20 มี.ค.2552 "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ได้ลุกขึ้นอภิปรายไม่ไว้วางใจ "กษิต ภิรมย์" รมว.ต่างประเทศ แต่ด้วยกิริยาท่าทางการอภิปรายของ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" นุ่มนิ่มส่งผลให้ "สุพัชรี ธรรมเพชร" ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ ลึกขึ้นประท้วงเป็นการเอาเอกสารมาอ่าน "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ก็ไม่สนใจยังคงอภิปรายไม่ไว้วางใจ "กษิต ภิรมย์" ต่อทำให้ ส.ส.หญิงฝ่ายรัฐบาล อีกหลายคนได้ดาหน้าลุกขึ้นมากล่าวโจมตี "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" อย่างรุนแรง เกิดความวุ่นวายในที่ประชุม แม้น "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" จะถูกประท้วงอย่างไร ก็ไม่สนใจยังคงอภิปรายไม่ไว้วางใจ "กษิต ภิรมย์" ต่อไป

แต่จุดตายหรือจุดจบที่เป็นประเด็นของการพลาดหัวข่าววันต่อไป ก็คือเมื่อ "รังสิมา รอดรัศมี" ส.ส.หญิงสมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของวลี"ท่านประธานไม่แข็ง ได้ลุกขึ้นกล่าวหา "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ว่า อภิปรายอ่านเอกสารทุกคำพูดถ้าริบเอกสารนั้นมา เขาก็จะพูดไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้พูดจากสมองเขาเอง ถ้าพูดจากใจจริงจะไม่ก้าวร้าวแบบนี้

ทำให้ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ไม่พอใจ ขอให้ "รังสิมา รอดรัศมี" ถอนคำพูดที่ว่า "ไม่มีสมอง" รวมทั้งส.ส.หญิงของพรรคเพื่อไทย ลุกขึ้นมาประท้วงขอให้ถอนคำพูด เพราะถือว่าเป็นการเสียดสีดูถูกผู้หญิงด้วยกัน แต่ "รังสิมา รอดรัศมี" ยังคงตอบโต้ว่าเป็นความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่การใส่ร้าย หาก "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" มั่นใจในตัวเองก็ต้องพูดโดยไม่อ่านเอกสาร และขอให้อภิปรายแบบนี้อีกรอบโดยไม่ต้องอ่าน ก็ยินดีจะถอน ส่งผลให้ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ได้ลุกขึ้นอภิปรายด้วยสีหน้าไม่ดีและขอยุติการอภิปรายในที่สุด จึงเป็นที่มาของการพลาดหัวข่าวใหญ่วันต่อมาว่า "เปิดศึกไร้สมอง"

หลังจากนั้นเป็นต้นมานาม "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ก็เป็นที่กล่าวขานในวงการเมืองและวงสนทนาทั่วๆ พร้อมกับการเคลื่อนไหวตามมาคือ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ได้ชอบพอดูใจกับ "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" ส.ส.เชียงใหม่ เขต 3 พรรคเพื่อไทย ลูกชายของ "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" อดี ตรมว.ต่างประเทศ และจะมีการแต่งงานกันปลายปีนี้ เพราะที่ผ่านมา "จุลพันธ์ อมรวิวัฒน์" เป็นพี่เลี้ยงให้กับ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" มาตลอด และมีเสียงกระซิบกันว่าข้อมูลที่ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" อภิปราย "กษิต ภิรมย์" นั้นก็ได้มาจาก "สมพงษ์ อมรวิวัฒน์" เป็นคนป้อนให้

แต่ผลพวงจากการอภิปรายของ "วิสาระดี เตชะธีระวัฒน์ " ดังกล่าว ส่งผลให้สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญได้ยื่นฟ้องให้ข้อหาหมิ่นประมาทตุลาการรัฐธรรมนูญ เพราะการอภิปรายมีการพาดพิงไปถึง ศาลรัฐธรรมนูญด้วย ก็จะต้องตั้งทนายแก้ต่างกันไป

อย่างไรก็ตามการเคลื่อนไหวของ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ก็ได้รับการจับตามองและมีความหมายมาตลอดโดยเฉพาะกับกลุ่มคนเสื้อแดงที่ชุมนุมบริเวณทำเนียบรัฐบาล "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" ก็ได้ขึ้นไปบนเวทีปรากฏตัวด้วย หลังจากการโฟนอินของ "ทักษิณ ชินวัตร" วันที่ 26 มี.ค.ที่จะเปิดเผยผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเป็นใครในวันที่ 27 มี.ค.โดยได้พูดผ่าน "วิดีโอลิงก์"ระบุคือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ

แบบนี้แสดงให้เห็นว่า "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" โด่งดังด้วยวลี "ไร้สมอง-ไม่มีสมอง" ซึ่งมีค่าสำหรับ "วิสาระดี เตชะธีรวัฒน์" จริงๆๆ

วันพฤหัสบดีที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2552

เชิญกินปู(Crab) ดูทะเลกรุงเทพกับเมนูปูที่ยิ่งใหญ่ที่สุด


· ชมและชิมเมนูปูสุดพิเศษโดยเชฟระดับโรงแรม 5 ดาว อาทิ โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โรงแรมรามาดาพลาซา พร้อมอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูปูและอาหารทะเลทั้งไทยและต่างประเทศ พบเมนูปูอลาสก้า สุดยอดอาหารทะเลที่ทุกคนรอคอย
· ชม Museum of Crab in the World ฟอสซิลปูแปลกหายาก อายุกว่า 5,000 ปี และฟอสซิลเปลือกหอยหาชมยาก
· ตระการตากับการประกวด นางงามนานาชาติ ‘’Miss CentralPlaza The World of Crab 2009’’
· อลังการกับ Landmark จาก 5 ประเทศ
· ตื่นตากับ หุ่นยนต์ปู อัฉจริยะ
· ช็อปและชิมเมนูซีฟู้ด จากถนนชายทะเลบางขุนเทียน และร้านอาหารทะเลเลื่องชื่อกว่า 200 ร้าน
· ช้อปจากร้านค้าภายในศูนย์การค้าฯ ครบ 1,000 บาท รับทันที คูปองแทนเงินสด 100 บาท สำหรับซื้ออาหารภายในงาน (จำนวนจำกัด 100 ใบ/วัน)

ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 ร่วมกับ สำนักงานเขตบางขุนเทียน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โรงแรมรามาการ์เด้นส์ โรงแรมรามาดาพลาซา โออิชิ กรุ๊ป มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร โกลด์ สวิส ผลิตภัณฑ์เบียร์สิงห์ และพันธมิตร จัดกิจกรรมอาหารเมนูปูยิ่งใหญ่ “The World of Crab Festival 2009 : กินปู ดูทะเลกรุงเทพ” ยกทัพอาหารเมนูปูที่ปรุงโดยเชฟจากโรงแรม 5 ดาว พร้อมชมซากฟอสซิลปูที่หายาก มีอายุกว่า 5,000 ปี และฟอสซิลเปลือกหอยที่หาชมยากจากทั่วโลก หุ่นยนต์ปูอัจฉริยะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร และครอบครัวหุ่นยนต์ปูที่ประดิษฐ์โดยหนูน้อยนักประดิษฐ์ จากสถาบันโรบอตฟอร์คิดส์ ที่นำมารวบรวมและจัดแสดงในงานนี้เป็นครั้งแรกในประเทศไทย รวมทั้งกิจกรรมสาระและบันเทิงต่างๆอีกมากมาย

ดร.ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการจัดงาน The World of Crab Festival 2009 : กินปู ดูทะเลกรุงเทพ ในครั้งนี้ว่า ได้จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 แล้ว ซึ่งยังคงได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานทั้งทางภาครัฐและภาคเอกชน โดยกิจกรรมกินปู ดูทะเลกรุงเทพนี้ จัดเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมท่องเที่ยวที่น่าสนใจในปฏิทินท่องเที่ยวของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยอีกด้วย ภายในงานนอกจากจะมีโชว์ไฮไลท์พิเศษเกี่ยวกับเมนูปูแล้ว ยังได้คัดสรร กิจกรรมที่น่าสนใจ ไว้อีกมากมาย เรียกได้ว่าใครที่มาชมงานนี้ต้องเต็มอิ่มอย่างแน่นอน
สำหรับความพิเศษและความยิ่งใหญ่ของการจัดงานในครั้งนี้ เริ่มต้นด้วยการเนรมิตพื้นที่สวนพักผ่อนเซ็นทรัลพาร์ค ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 ให้กลายเป็นถนนชายทะเลบางขุนเทียน ที่รวมเอาสุดยอดร้านอาหาร รวมทั้งอาหารทะเลสดๆ มากมายกว่า 200 ร้านค้า มาให้ได้เลือกซื้อในราคาพิเศษ เหมือนซื้อจากชาวประมงโดยตรง พร้อมด้วยการโชว์ไฮไลท์สุดพิเศษของงาน คือ เมนู Alaska King Crab Pine สาคูไส้ปู จาก โรงแรมรามาดาพลาซา ทั้งนี้ทางโรงแรมรามาการ์เด้นส์ยังรังสรรเมนูปู เพื่องานนี้โดยเฉพาะ อาทิ สะดุ้งปูม้า ฉู่ฉี่ปูทะเล หลนปูทะเล พร้อมตบท้ายด้วยของหวานแสนเลิศรส ที่ชิมได้ในงานนี้เพียงงานเดียว คือ ไอศกรีมกลิ่นปู และไอศกรีมกลิ่นต้มยำปู จาก Dream Cone
นอกจากเมนูไฮไลท์แล้ว ยังพบกับซากฟอสซิลปูหายาก ที่มีอายุกว่า 5,000 ปี และฟอสซิลเปลือกหอยที่หายาก หุ่นยนต์ปูอัจฉริยะ จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร ครอบครัวหุ่นยนต์ปูที่ประดิษฐ์โดยหนูน้อยนักประดิษฐ์ จากสถาบันโรบอตฟอร์คิดส์ เครื่องประดับสุดเก๋ที่ดัดแปลงมาจากเปลือกหอย และพบกับครั้งแรกของปรเทศไทย ในการประกวดนางงามนานาชาติ Miss CentralPlaza The World of Crab 2009 พร้อมชม Landmark สุดตระการตาจาก 5 ประเทศ ของแต่ละทวีป
ทั้งนี้ภายในงานยังได้ยกขบวนร้านขายอาหารทะเลสด และร้านค้าต้นตำรับอาหารทะเลเลื่องชื่อ อาทิ ร้านครัวแสวง ร้านครัวลุงแถม ฯลฯ มาออกร้านขายอาหารซีฟู้ดแสนอร่อยในราคาสุดพิเศษ พร้อมพบการออกร้านจำหน่ายอาหารหลากหลายเมนูของเหล่าศิลปินดารามากมาย
และเมื่อช้อปครบ 1,000 บาท รับทันที คูปองแทนเงินสด มูลค่า 100 บาท สำหรับซื้อปูจากร้านค้าที่ร่วมรายการ ภายในงาน ( 100 ใบ / วัน ) และพลาดไม่ได้กับการแสดงสุดสนุกจากเหล่าศิลปินดารา ทั้งจากไทยและต่างชาติ พร้อมกิจกรรมบันเทิงต่างๆ อีกเพียบ
ร่วมคืนความอุดมสมบูรณ์ สู่ป่าชายเลนจากกิจกรรม Workshop เพ้นท์ถุงผ้า โดยรายได้ทั้งหมด (ไม่หักค่าใช้จ่าย ) นำไปซื้อพ่อพันธุ์ แม่พันธุ์ปู เพื่อปล่อยคืนสู่ป่าชายเลน บางขุนเทียน
ร่วม ช็อป ชิม และ ชมกิจกรรมอาหารเมนูปูยิ่งใหญ่ The World of Crab Festival 2009 : กินปู ดูทะเลกรุงเทพ ระหว่างวันที่ 1 – 5 เมษยน 2552 ณ สวนพักผ่อนเซ็นทรัลพาร์ค ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2

Songkran at Jim Thompson Farm

Nakhon Ratchasima – Jim Thompson Farm keeps up activities for pleasure of the whole family by inviting Thais to celebrate the long holiday of Thai New Year in traditional Isan style with ‘Songkran Baan Hao Heet Kao Duen Ha’ festival at Jim Thompson Farm in Pak Thong Chai, Nakhon Ratchasima. The festival promises smiles of happiness to be brought by local traditions of the northeastern region, plus a chance to learn local wisdom of Thai people in environmentally-conscious agriculture. This festive activity takes place on April 12-15, 2009 between 9 am and 5 pm.

Ajarn Phahonchai Premjai, the landscape architect who designed Jim Thompson Farm, reveals that ‘Songkran Baan Hao Heet Kao Duen Ha’ is now in its second year and visitors will have an opportunity to relish the summer beauty of nature in addition to an experience of Isan art and culture. Now that the farm has recently expanded its plantation area, the site is more scenic than ever with the green field of rice paddy, the 30-rai hemp field in golden color, and an impressive array of vivid flowers blossoming and waiting to welcome everyone. At Jim Thompson Farm, eco-friendliness is a top priority, which explains why natural and bio-degradable materials are the preferred choice as seen in containers like banana-leaf and areca-palm cups used, and not to mention the well-planned utilization of resources for the entire festival period. This is combination of the old-day Thai lifestyle that goes in perfect harmony with nature.

Khun Jariya Meechuen, Farm Manager of the Thai Silk Company Limited, suggests that visitors to the farm during Songkran festival this year can expect to broaden their knowledge about farming concepts that are closely related to the lifestyle of Thai people, including organic vegetables, germinated brown rice (GABA rice), and flowerpots made of paper or farm weeds.

The northeastern-styled Songkran festival at Jim Thompson this year welcomes its visitors with two zones of attractions:

Zone 1 – Life and Nature
Visitors can enjoy the scenic beauty of nature and broaden their knowledge through demonstrations and experiential activities on local wisdom linked to the natural approach to healthcare and environmental conservation, such as making and tasting of mulberry tea, GABA rice, and chlorophyll drink from rice seedlings, etc. The visitors are also encouraged to take part in a range of activities that help curb global warming, including fabric dying with use of organic dyes and making of eco-friendly flowerpots. Make sure you spare time to shop for natural products and fresh farm produce at this zone.

Zone 2 – Isan Cultural Village
Within the expansive 20-rai area of this zone, visitors can feel the rich culture of Isan lifestyle through the showcase of Isan traditions, performances, and recreational activities that embody the truly unique quality of Isan people. The zone is divided into five sections:

1) Sanook Silpa – water-festival fun
Welcomed with a ‘klong yao’ drum performance, visitors get a chance to learn Isan art and culture, history of Songkran celebrations in the Northeast, and old sayings of Isan people shown through paintings by local artisans, whose skills were passed on to them from generation to generation. This road of culture will be full of fun with water throwing in traditional Isan way and made lively by booths decorated with colorful flowers that line both sides of the road.

2) Boon Raksa – Buddha image clensing
Upholding the belief of merit making by cleansing Buddha image, the Isan way of doing so is by pouring water on a ‘naga’ –shaped spout that guides the water down to Buddha pavilion and not directly on Buddha image. Visitors are invited to join ‘bai sri su kwan’ blessing ceremony for good fortune, which is made even more auspicious with chanting and blessing for the visitors by Buddhist monks. As for visiting families that include the elderly, the ‘rod nam dam hua’ ceremonial bathing of them are facilitated here. Don’t forget to build a very own sand castle of yours and take visual and spiritual pleasure in the 50-meter-long painting that depicts all 13 parts of the Vessantara Jataka.

3) Sabai Sot – shows venue
Keep yourself entertained by Isan-styled shows throughout the day. National Isan Artist (2002) Namphueng Muang Surin Troupe will deliver ‘kantruem’ performance in turn with ‘pong lang’ folk music shows by local performers. This house also hosts exhibitions on the history of Jim Thompson, the bond between silk and Thai lifestyle, the lifecycle of silkworms, silk reeling, and silk weaving, etc.

4) Isan Khan Khaeng – livelihood showcase
This part of the village exhibits the hardworking nature of Isan people through demonstration of how they make their living, ranging from basketwork, pot making, mat making, rice husking, to production of household utensils from coconut shells. Kids can enjoy old-day recreation activities and toys of Isan people at the primitive toy park that boasts an impressive collection of toys that are not widely seen anymore today. Adult visitors may opt for a relaxing countryside spa treat or shop for Jim Thompson products, souvenirs, and a wide array of local items.

5) Khuang Muan Suen Hoe Saew – where fun continues
Keep fun going with activities like ‘Girls & Water’, rowing, shooting game, dart, and ‘ramwong’ retro dance, or indulge yourself in a wide selection of delicacies from all parts of Isan region, plus ‘khao chae’ rice in iced water, the signature fare of Thais for Songkran festival.

As an expert in Isan culture, Khun Thongchai Phopaiboon, who is Manager of Farm 2 and the Thai Silk Company’s Mulberry Farm and Egg Production Center, adds: “Jim Thompson is committed to the conservation and promotion of Isan cultural heritage since Jim Thompson silk has its roots in this region. We want to share to tourists the true sense of Isan people and their lifestyles, and how lovely the people and their culture are. This year, we are showcasing unique traditions of Isan, such as how Isan people make merits, how they earn their livelihood, as well as their summer recreations. All the activities reflect Isan way of thinking that is closely related to Buddhism and exhibit the generosity, hardworking quality, and merry nature of Isan people.”

“Besides an experience of the simple livelihood and charming culture of Isan people,” Khun Thongchai continues, “visitors to Jim Thompson Farm during the ‘Songkran Baan Hao Heet Kao Duen Ha’ festival this year will have a glimpse of how close the ties are between Jim Thompson Farm and local communities in Pak Thong Chai district and Isan region. It is our commitment to promote career development, create jobs, and generate income to the local communities.”

Share the happiness and paint smiles on the face of your family members and local farmers during Songkran holiday at Jim Thompson Farm in Tambon Takob, Amphoe Pak Thong Chai, Nakhon Ratchasima Province between April 12 and 15, 2009. The farm is open to visitors from 9:00 am until 5:00 pm. Admission is Bt50 for adults and Bt30 for kids. For more information, please call 0-2762-2566, 085-660-7336, email farmtour@jimthompson.com, or visit www.jimthompsonfarm.com.

สงกรานต์นี้ดื่มด่ำกับวัฒนธรรมอีสานที่จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม


จิม ทอมป์สัน ฟาร์มสานต่อกิจกรรมแห่งความสุขของครอบครัว พร้อมชวนไทยเที่ยวไทยในช่วงวันหยุดยาวฉลองเทศกาลปีใหม่ตามแบบฉบับไทยอีสานโบราณ ในงาน “สงกรานต์บ้านเฮา ฮีตเก่าเดือนห้า” ณ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม อ.ปักธงชัย จ. นครราชสีมา โปรยความสุขพร้อมรอยยิ้มอย่างชุ่มฉ่ำ กับประเพณีสงกรานต์อีสานพื้นเมือง พร้อมเรียนรู้ภูมิปัญญาไทยในการเกษตรแบบอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ระหว่างวันที่ 12-15 เมษายน 2552 เวลา 9.00 – 17.00 น.

อ.พหลไชย เปรมใจ สถาปนิกผู้ออกแบบภูมิทัศน์ ณ จิม ทอมป์สันฟาร์ม เปิดเผยว่า งานเทศกาล สงกรานต์ บ้านเฮา ฮีตเก่าเดือนห้า ซึ่งเราจัดขึ้นเป็นปีที่สองนี้ นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้รับประสบการณ์ทางศิลปวัฒนธรรมอีสานพื้นบ้านแล้ว ยังจะได้สัมผัสกับธรรมชาติสวยงามในฤดูร้อนที่ขยายพื้นที่ทั้งนาข้าวเขียวขจี ทุ่งปอเทืองสีเหลืองอร่ามกว่า 30 ไร่ และดอกไม้สีสดนานาพันธุ์ที่พร้อมจะผลิบานต้อนรับทุกคน และอีกหนึ่งสิ่งที่จิม ทอมป์สัน ฟาร์มให้ความสำคัญ คือการใช้วัสดุจากธรรมชาติเพื่อเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น กระทงใบตอง กระทงกาบหมาก โดยภาชนะทั้งหมด สามารถย่อยสลายได้โดยธรรมชาติ พร้อมวางแผนการจัดการทรัพยากรตลอดงาน เป็นการผสานวิถีชีวิตคนไทยโบราณที่กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี


คุณจริยา มีชื่น ผู้จัดการฟาร์ม และ ผู้ดูแลกิจกรรมทางการเกษตร บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด กล่าวว่า ในงานสงกรานต์ปีนี้ นักท่องเที่ยวจะได้ร่วมเรียนรู้แนวความคิดของเกษตรธรรมชาติที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยอย่างใกล้ชิด เช่น ผักปลอดสารพิษ ข้าวกล้องงอก กระถางต้นไม้ที่ทำจากกระดาษและวัชพืชทางการเกษตร

งานสงกรานต์อีสาน ณ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ปีนี้ ได้จัดแบ่งพื้นที่เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยว ออกเป็น 2 ส่วนหลัก ดังนี้

จุดท่องเที่ยวที่ 1 ชีวิตกับธรรมชาติ
เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสธรรมชาติอย่างใกล้ชิด และสร้างประสบการณ์ที่แปลกใหม่ด้วยกิจกรรมความรู้ ภูมิปัญญาชาวบ้าน เพื่อดูแลสุขภาพด้วยวิถีธรรมชาติและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น สาธิตการทำชาใบหม่อน และชิมชาใบหม่อน การทำข้าวกล้องงอก (Gaba Rice) การทำน้ำคลอโรฟิลด์จากต้นกล้าข้าว นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยลดภาวะโลกร้อนจากกิจกรรมต่างๆ เช่น เรียนรู้วิธีการย้อมผ้าจากสีธรรมชาติด้วยตนเอง การทำกระถางต้นไม้ลดโลกร้อน และปิดท้ายความสนุกสนานในจุดท่องเที่ยวนี้ด้วยการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ธรรมชาติและผลผลิตทางการเกษตรสดๆจากฟาร์ม

จุดท่องเที่ยวที่ 2 หมู่บ้านวัฒนธรรมอีสาน
ภายใต้พื้นที่ 20 ไร่ นักท่องเที่ยวทุกท่านจะได้อิ่มเอมกับรูปแบบวิถีชีวิตชาวอีสานพื้นบ้าน สัมผัสวัฒนธรรม ประเพณี การแสดง และการละเล่น ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของชาวอีสานอย่างแท้จริง โดยได้แบ่งออกเป็น 5 ส่วน ดังนี้

1. สนุกศิลป์ - ริมทางฮดน้ำ

ร่วมต้อนรับทุกท่านด้วยการแสดงกลองยาว รับความรู้ด้านศิลปวัฒนธรรมอีสาน ตำนานสงกรานต์อีสาน และคติสอนใจของคนอีสานโบราณ ด้วยภาพวาดโดยช่างฝีมือท้องถิ่นที่สั่งสมประสบการณ์จากรุ่นสู่รุ่น ร่วมสนุกสนานเล่นน้ำสงกรานต์ตามประเพณีอีสานดั้งเดิมตลอดถนนสายวัฒนธรรมนี้ และชมความสวยงามจากซุ้มที่ประดับประดาด้วยดอกไม้และธงทิวเรียงรายตลอดทาง

2. บุญรักษา - เดิ่นสรงน้ำพระ ตบปะทาย
อิ่มบุญกับการสรงน้ำพระแบบชาวอีสานดั้งเดิมด้วยการสรงน้ำผ่านฮงฮดน้ำรูปพญานาค ซึ่งจะเป็นทางน้ำไหลลงหอพระ โดยไม่สรงน้ำที่องค์พระพุทธรูปโดยตรง ร่วมพิธีบายศรีสู่ขวัญ และเพิ่มความเป็นสิริมงคลยิ่งขึ้นด้วยการนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์และให้ศีลให้พรผู้มาเที่ยวงานทุกท่าน สำหรับครอบครัวที่มีผู้ใหญ่มาด้วย สามารถรดน้ำขอพรผู้ใหญ่ได้ในบริเวณนี้ จากนั้นร่วมตบปะทาย (ก่อกองทราย) และอิ่มใจกับภาพวาดเรื่องพระเวสสันดรทั้งสิ้น 13 กัณฑ์ ขนาดความยาว 50 ม.

3. สบายโสต - คุ้มแสดง
สัมผัสบรรยากาศความสนุกสนานในแบบอีสานบ้านเฮาด้วยการแสดงกันตรึม โดยคณะน้ำผึ้ง เมืองสุรินทร์ ศิลปินอีสานแห่งชาติ ปี 2545 สลับด้วยการแสดงโปงลางโดยศิลปินพื้นบ้านตลอดวัน นอกจากนี้ ยังได้จัดแสดงนิทรรศการความเป็นมาของจิม ทอมป์สัน ความผูกพันของผ้าไหมกับวิถีชีวิตคนไทย ชมนิทรรศการวงจรชีวิตหนอนไหม การสาวไหม การทอผ้าไหม ผ้าฝ้าย ฯลฯ

4.อีสานขันแข็ง - คุ้มเฮ็ดงาน
สะท้อนวิถีชีวิตของชาวอีสานที่สู้งานและมีความขยันขันแข็ง ด้วยการจัดสาธิตการทำงานและการประกอบอาชีพของคนอีสาน เช่น การจักสาน การตีหม้อ การทอเสื่อ การสีข้าว การทำภาชนะเครื่องใช้ในครัวเรือนจากกะลามะพร้าว สำหรับเด็กๆจะได้สนุกสนานกับการละเล่นและของเล่นแบบอีสานพื้นบ้านโบราณ ณ อุทยานของเล่นโบราณ ซึ่งหาชมได้ยากในปัจจุบัน ส่วนผู้ใหญ่สามารถผ่อนคลายด้วยบริการนวดแผนไทย พร้อมเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ของฝากจากจิม ทอมป์สัน และผลิตภัณฑ์พื้นบ้านต่างๆมากมาย

5.ข่วงม่วนซื่นโฮแซว
สนุกสนานกันอย่างต่อเนื่องกับกิจกรรมความบันเทิงมากมาย เช่น สาวน้อยตกน้ำ ยิงปืน ปาเป้า ครื้นเครงไปกับรำวงย้อนยุค และพักอิ่มอร่อยกับหลากหลายเมนูอาหารอีสานรสชาติเด็ดจากทั่วทุกแคว้นแดนอีสาน ตบท้ายความอิ่มอร่อยด้วย ข้าวแช่ อาหารประจำเทศกาลสงกรานต์ของคนไทย

คุณธงชัย โพธิ์ไพบูลย์ ผู้จัดการฟาร์ม และส่งเสริมหม่อนไหม บริษัท อุตสาหกรรมไหมไทย จำกัด ผู้เชี่ยวชาญทางด้านวัฒนธรรมอีสาน ได้กล่าวเสริมอีกว่า “จิม ทอมป์สัน มีความตั้งใจที่จะอนุรักษ์และเผยแพร่วัฒนธรรมอีสาน เพราะผ้าไหมของจิม ทอมป์สันก็ถือได้ว่ามีต้นกำเนิดมาจากภูมิภาคนี้ จึงต้องการให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของนิสัยและวิถีชีวิตของชาวอีสานอย่างแท้จริง ซึ่งในปีนี้ ได้รวบรวมประเพณีที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอีสาน เช่น การทำบุญ การประกอบอาชีพ และสันทนาการยามหน้าร้อนต่างๆ โดยทุกๆกิจกรรมจะบ่งบอกถึงแนวความคิดของคนอีสานที่ผูกพันกับพุทธศาสนา อุปนิสัยโอบอ้อมอารี ขยันขันแข็งและรักความสนุกสนานของชาวอีสานอีกด้วย”

คุณธงชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า “สำหรับกิจกรรม สงกรานต์บ้านเฮา ณ จิมทอมป์สัน ฟาร์มปีนี้ นอกจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่มาเยือนจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่เรียบง่ายของชาวอีสานพื้นเมืองแล้ว ยังจะได้สัมผัสถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิม ทอมป์สันฟาร์ม กับชุมชนท้องถิ่นในอำเภอปักธงชัยและภาคอีสาน อันเป็นพันธกิจหลักของเราในการส่งเสริมและพัฒนาอาชีพเพื่อการกระจายรายได้ และการสร้างงานให้กับชุมชนในท้องถิ่นอีกด้วย”

ร่วมแบ่งปันความสุขที่จะสร้างรอยยิ้มทั้งผู้ให้และผู้รับในช่วงวันหยุดสงกรานต์ ณ จิม ทอมป์สัน ฟาร์ม ตำบลตะขบ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ตั้งแต่วันที่ 12-15 เมษายน 2552 ตั้งแต่เวลา 9.00 น. - 17.00 น. บัตรเข้างาน สำหรับผู้ใหญ่ราคา 50 บาท เด็กราคา 30 บาท สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 762 2566, 085 660 7336 อีเมล์
farmtour@jimthompson.com หรือ www.jimthompsonfarm.com

วันอังคารที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2552

เรื่องของหมาจนตรอก

หมาจนตรอกมีสภาพเป็นหมาที่ไม่มีทางสู้ไม่ต่างอะไรกับหมาจรจัดหรือหมาข้างถนน มีความระแวงไม่ต่างๆนานาและกัดไม่เลือกหน้า และไม่เลือกที่ต่ำที่สูงเพราะไม่มีทางเลือกอีกแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหมาตัวที่มีวิทยายุทธสูงเพราะฝึกจาก "สำนักรัตนบุตร" เวลามันจะกัดมันก็ไม่กัดซึ้งหน้า จะใช้วิธีลอบกัดหรือไม่ก็ใช้วิธีหมาหมู่ เพราะมันใช้ความคิดของตัวเองเป็นใหญ่และเห็นว่าสิ่งที่ตัวคิดนั้นถูกต้อง ทั้งๆที่เป็นมิจฉาทิษฐิ

เวลามันจะเห่าหอนมันก็จะไม่เห่าหอนตรงๆ ก็จะใช้วิทยายุทธที่มีเห่าหอนผ่านทางโทรศัพทย์มือถือหรือที่เรียกกันว่า "โฟนอิน" ล่าสุดก็ใช้ "วีดีโอลิงก์" เพราะจะทำให้พวก "ชาดภูษา" สามารถเห็นหน้าตาได้ แต่จะไม่รู้ว่าขณะนั้นหมาจิ้งจอกตัวนั้นหลบมุบอยู่ตรงไหน

หลังจากที่มันเห่าหอนผ่าน "โฟนอิน" หรือ "วีดีโอลิงก์" แล้วพวก "สุนัขรับใช้" ที่หวังเพียงเศษเนื้อติดกระดูกเปลื้อนมลทินที่มันโยนให้ ไม่ต้องคิดกันแล้วว่าอุดมการณ์มันอยู่ตรงไหนขอให้ท้องอิ่ม ได้เสพกามไว้ก่อนเป็นพอ ก็จะทำหน้าที่โปรโมทเสียงและภาพเห่าหอนของมันด้วยวิธีการต่างๆ ที่มีอยู่ไม่วาจะเป็นพอ ผ่านทางกระดาษที่ใช้สีชาด โทรภาพ หรือแม้นแต่เว็บไซต์

ไม่ใช่เพียงเท่านั้นเพราะมันยังไม่เข้าถึงคนทุกกลุ่ม จึงต้องมีการจ่ายเงินเพื่อโฆษณาผ่าน กูเกิ้ล จะเห็นได้ว่าหลังจากวันที่มันเห่าหอนที่ อุตรทิศ แล้ว วันถัดมาก็มีจะมีการโฆษณาผ่านกูเกิ้ลเชิญชวนให้คนที่เห็นโฆษณาคลิกเข้าไปชม


โฆษณานี้จะปรากฏทุกเว็บไซต์ที่นำโคตโฆษณาของกูเกิ้ลมาแปะ จะเห็นได้ว่าวันนั้นไม่ว่าจะคลิกเข้าไปอ่านข้อมูลหน้าไหนของเว็บไซต์นั้นก็จะปรากฏโฆษณาชวนเชื่อนี้ทุกหน้าไป

แสดงให้เห็นว่าหมาจนตรอกตัวนี้มันลอบกัดทุกกระบวนท่าและทุกวิธี ถ้าไม่ระวังตัวอาจจะถูกหมาตัวนี้ลอบกัดเอาง่ายๆ แต่ก็คงไม่ต้องทำอะไรปล่อยให้มันตายไปตามเวรตามกรรม อย่าได้ไปสนใจอะไรมันมาก เพราะหากสนใจมากมันยิ่งได้ใจ พาพวกหมาหมู่มาลอบกัดเรา ปล่อยให้มันเห่าหอนจนหมดเศษเนื้อติดกระดูกแล้วมันก็จะหมดแรงตายไปเอง

เพียงแต่เรารู้ทันมันและสร้างภูมิคุ้มกันไม่ให้เราและพวกพ้องเราหลงในเวทมนต์มันเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว เพราะเวรกรรมมันมีจริงเห็นกันในชาตินี้ เพราะกรรมติดจรวดด้วยคอยดูกันไป

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552

10อันดับของสังฆทาน ที่พระจะได้ประโยชน์มากที่สุด

รายการ 'จุดเปลี่ยน' เมื่อวันเสาร์ที่ 14 และ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา (ช่อง 9 เวลา 13.00 น.) ออกอากาศเรื่อง '10 อันดับของสังฆทาน ที่ทำแล้วพระท่านจะได้ประโยชน์มากที่สุด' อันเนื่องมาจากมีการสำรวจของในถังสังฆทานสำเร็จรูป (ถังเหลือง) ที่เห็นวางขายกันอยู่ทั่วไป พบว่า กว่า 50 % เป็นของที่ไม่มีคุณภาพ ใช้งานจริงไม่ได้

เช่น ผ้าจีวรสั้นและบางจนแทบจะเป็นผ้าซีทรู ใบชาเหม็นผงซักฟอกที่วางมาข้างๆ (กลายเป็นใบชารสโอโม่) กระดาษชำระหยาบและมีกลิ่นเหม็น แปรงสีฟันแข็งจนพระค่อนประเทศเป็นโรคเหงือกอักเสบ, สบู่ แชมพู ที่ถวายมีกลิ่นหอมแรง และผสมมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ ทำให้พระผิดศีลต้องปลงอาบัติกันทุกวัน (มีศีลข้อหนึ่งห้ามการประทินผิวและใช้เครื่องหอม ไม่แน่ใจว่าศีลข้อที่ 6,7 หรือ 8 นี่แหละค่ะ) เครื่องชงดื่มมักหมดอายุ ถ่านไฟฉายหมดอายุ แบตเยิ้ม ฯลฯ หรือแม้แต่ตัวภาชนะที่ใส่ คือถัง ก็ยังทำจากพลาสติกคุณภาพต่ำ ใส่อะไรได้แป๊บเดียวก็ฉีก แตก พัง เป็นต้นค่ะ

รายการจุดเปลี่ยนจึงได้ไปสอบถามพระสงฆ์จำนวนหนึ่ง แล้วจัดอันดับสิ่งของสังฆทาน ตามความจำเป็นในการใช้งาน รวม 10 อันดับ ซึ่งเรียงจากจำเป็นมากสุดไปน้อยที่สุดได้ ดังนี้

1. เครื่องเขียน สมุด ปากกา ดินสอ เนื่องจากพระสมัยนี้ต้องเรียนพระปริยัติธรรม และจดกำหนดนัดหมายต่างๆ ช่วยจำ บางรูปท่านเป็นเหรัญญิกดูแลค่าใช้จ่าย ยิ่งต้องใช้มาก แต่ไม่ค่อยมีใครถวายเครื่องเขียนเหล่านี้ พระท่านจึงต้องไปเดินหาซื้อเองเสมอ หากเราถวายไป พระท่านจะได้ใช้อย่างแน่นอนค่ะ อันดับ 1 จึงตกเป็นของ 'เครื่องเขียน' ไปอย่างพลิกความคาดหมาย (หรือว่าคุณทายถูกล่ะ ? เอ้อ)

2. ใบมีดโกนตราขนนก (Feather) หรือยี่ห้อยินเลส เนื่องจากพระต้องโกนผมทุกวันโกน แต่ใบมีดยี่ห้ออื่น พระใช้โกนผมแล้วเลือดสาด !!! (>_<) ท่านจึงใช้ได้แค่ 2 ยี่ห้อนี้เท่านั้น อนึ่ง ใบมีดตราขนนกจะคมกว่ายินเลส ใช้ในการโกนครั้งแรก ส่วนยินเลสจะใช้เก็บความเรียบร้อยอีกครั้ง หากท่านใดถวายใบมีด ก็ได้ชื่อว่า ช่วยไม่ให้พระต้องเสียเลือดเนื้อทุกวันโกน ข้าพเจ้าเห็นว่าได้บุญดีกว่าให้ยาอีกนะท่าน (-_- )'''

3. ผ้าไตรจีวร ที่มีความยาวพอที่จะนุ่งห่มได้ มีความหนาพอเหมาะสม เพราะผ้าที่ติดมากับถังเหลือง มันทั้งสั้น ทั้งเต่อ ทั้งบาง ทำให้พระท่านลำบากใจเวลาสวมใส่ ขาดความมั่นใจ และเสียภาพลักษณ์ที่ดีของสงฆ์ ผู้ใดถวายผ้าไตรจีวร จึงได้อานิสงส์มากนัก นี่ก็ใกล้จะถึงเทศกาลเข้าพรรษาแล้ว เตรียมผ้าอาบน้ำฝนไปถวายพระกันเถอะนะคะ

4. หนังสือธรรมะ สารคดี นิตยสาร หรือที่ให้ความรู้ด้านอื่นๆ เนื่องจากพระสงฆ์ มีหน้าที่เผยแผ่พระพุทธศาสนา จึงจำเป็นที่จะต้องมีความรู้ที่แตกฉาน ทั้งทางธรรม และรู้ทันข่าวสารบ้านเมือง เพื่อจะได้สาธก ยกตัวอย่างให้ชาวบ้านเข้าใจได้แจ่มแจ้ง การถวายหนังสือเหล่านี้ จึงถือเป็นต้นทุนแห่งธรรมทาน ให้พระท่านได้นำไปต่อยอด กระจายสู่ผู้คนได้อีกมาก ทั้งยังถือเป็นการลงทุนที่ไม่มีความเสี่ยง แถมได้ผลตอบแทนสูง น่าลงทุนเป็นอย่างยิ่ง (ใครติดหุ้นอยู่น่าจะลองไปถวายหนังสือธรรมะแก้เคล็ดนะ ก๊ากกกก)

5. รองเท้า (ยกเว้นพระนิกายธรรมยุตต์นะจ๊ะ สังเกตให้ดีล่ะว่าวัดที่เราไป พระท่านใส่รองเท้ากันหรือเปล่า) พระท่านต้องเดินบิณฑบาตร, ธุดงค์, ไปเรียนหนังสือ, ไปกิจนิมนต์ตามที่ต่างๆ, บางรูปต้องทำงานที่ใช้แรงงานในวัด เช่น ก่อสร้าง ทำสวน สิ่งที่ต้องรับภาระหนักก็คือ 'รองเท้า' ที่มักจะขาด เสียหาย อยู่บ่อยๆ นั่นเอง รองเท้าจึงถือเป็นอีก item หนึ่งที่มีความสำคัญอย่างสูง

6. ยาหลักๆ ที่จำเป็น ยาสามัญประจำบ้าน ยาแก้ปวดหัว ปวดท้อง ยาแก้ไอ แก้ไข้ ลดกรดในกระเพาะอาหาร ยาใส่แผลสด แผลเปื่อย แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลพุพอง เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง ใช้ ...... (เรารู้นะว่าคุณเติมคำในช่องว่างได้ อิอิอิอิ ต้องไปดูโฆษณา สสส.)

7. ผ้าขนหนูสีสุภาพ ไม่ต้องสีเหลืองก็ได้ เพราะผ้าขนหนูที่ติดมากับถังเหลืองมักหยาบ เล็ก และคุณภาพต่ำ จนเอามาใช้ไม่ได้ในชีวิตจริง
8. ชุดคอมพิวเตอร์ อู้วววว ไฮโซไปนิดนึง แต่ถ้าใครรวบรวมเงินได้เป็นกอบเป็นกำอย่างกฐิน ผ้าป่า ก็น่าพิจารณาถวายคอมพิวเตอร์แด่วัดที่ขาดแคลน .. ถ้าเป็นวัดที่อินเตอร์เน็ตเข้าไม่ถึงจะดีมากๆ ค่ะ(แอบห่วง กลัวเป็นต้นเหตุของข่าวพระนักแชท)

9. น้ำยาเช็ดพื้น เหอ... งงไปเลย พระท่านจะเอาน้ำยาเช็ดพื้นไปทำอะไร ?? เฉลย ก็เอาไปผสมน้ำ ถูกุฏิ ศาลา อุโบสถ ไงจ๊ะ เพราะนอกจากจะช่วยผ่อนแรงในการทำความสะอาด สลายคราบแล้ว บางยี่ห้อยังช่วยฆ่าเชื้อโรคที่อยู่ในมูลนกพิราบ ฉี่หมา ฉี่แมว ฉี่หนู เห็บ หมัด ของหมาวัดได้อีกด้วย (เอ...แล้วถ้าพระ 'ฆ่า' เชื้อโรคนี่จะผิดศีลข้อปาณาฯ มั้ยคะคุณ ??)

10. แชมพู อ๊ากกกกก !!! พระท่านไม่มีผมแล้วจะเอาแชมพูไปทำไมเนี่ย แถมยังฮอตฮิตติดท็อปเท็นของที่มีประโยชน์อีกด้วย แซงหน้าไมโล โอวัลติน ชาเขียว ขิงผง สบู่ ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ทิชชู่ ฯลฯ ที่เห็นสลอนอยู่ในถังเหลืองซะด้วยซี คืองี้ เมื่อพระท่านไม่มีผมมาปกป้องหนังศีรษะเนี่ย

ทั้งความร้อน ฝุ่นละออง เชื้อโรคต่างๆ ก็จะเข้าถึงหนังศีรษะของท่านได้โดยตรง แถมการรักษาสมดุลความชุ่มชื้นของหนังศีรษะก็จะเสียไป เพราะไม่มีผมปกคลุม ทำให้หนังศีรษะของพระ มักจะแห้ง และเกิดโรคผิวหนังอยู่เสมอ เช่น ชันตุ เป็นต้น สิ่งที่จะช่วยบรรเทาได้ก็คือ แชมพูยา ที่มีส่วนผสมปกป้องหนังศีรษะ รักษาสมดุล สังเกตง่ายๆ ที่ฉลากจะมีคำว่า 'Scalp' เป็นสำคัญ ยี่ห้อที่เป็นแบบนี้ก็มักจะเป็นพวก แชมพูขจัดรังแค อย่างคลินิค, แพนทีน, Head & Shoulder, ไนโซรัล เป็นต้น

แต่น่าเศร้าใจ ที่ไม่มีใครถวายแชมพู พระท่านจึงจำต้องใช้สบู่แก้ขัด ซึ่งทำให้ยิ่งคันหัว ศีรษะแห้งไปกันใหญ่ ดังนั้นจึงขอท่านโปรดจำไว้ ว่าเราควรซื้อแชมพูไปถวายพระ แต่ก็เลือกสูตรกันนิดนึงนะคะ ให้เป็นสูตรดูแลหนังศีรษะ เพราะถ้าเกิดเราเลือกสูตร 'เพื่อผมนิ่มสลวยดำเงางาม' ไปถวายท่าน...

ท่านอาจเข้าใจผิด คิดว่าเราแซวได้ค่ะ
การทำสังฆทาน นอกจากจะถวายเป็นสิ่งของแล้ว อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจมากๆ ก็คือ การบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลสงฆ์ เพื่อช่วยเหลือพระภิกษุที่อาพาธค่ะ

โฆษณาคลิปโฟนอินทักษิณผ่าน"google"


ตั้งแต่เวลา 18.00น.ของวันที่ 23 มี.ค.นี้ ที่ผ่านมาจะมีข้อความที่ระบุว่า "โฆษณา google ทักษิณ โฟนอิน เชียงใหม่ คลิปวิดีโอ อดีตนายกทักษิณ โฟนอิน สนาม 700 ปี เชียงใหม่ 22-03-2552 video.google.com" ต่อท้ายข่าวตามหน้าเว็บไซต์ต่างๆ ที่นำโคตโฆษณา google มาแปะ

นั้นหมายความว่า มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์คลิปโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ผ่านทางโฆษณา google ซึ่งจะมีการเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณาตามจำนวนของคนที่คลิกเข้าไปอยู่ ให้กับ google และ google และจะแบ่งจ่ายให้กับเว็บไซต์ต่างๆที่นำโคตโฆษณา google มาแปะ และมีคนคลิกเข้าไปดู

วันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2552

ลิเวอร์พูล(Liverpool)ถล่มวิลล่า5-0เจอร์ราร์ดแฮตทริค

"หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ถล่ม "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า อย่างมันเท้า 5-0 เจอร์ราร์ดทำแฮตทริค มีคะแนนตามหลังแมนฯยูเพียง 1 แต้ม แม้นแข่งมากกว่า 1 นัด (ดูคลิป)

ศึกลูกหนังพรีเมียร์ลีก อังกฤษ นัดวันอาทิตย์ที่ 22 มีนาคมนี้ "หงส์แดง" ลิเวอร์พูล ทีมอันดับ 3 เปิดรังแอนฟิลด์รับการมาเยือนของ "สิงห์ผงาด" แอสตัน วิลล่า ทีมอันดับ 5 เวลา 23.00 น. โดยที่ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำไปก่อนอย่างรวดเร็วจากการยิงของ เดิร์ค เคาท์ นาทีที่ 8 และประตูที่ 2 จากการยิงของ ริเอรา นาทีที่ 33 ก่อนที่ สตีเวน เจอร์ราร์ด จะมายิงจุดโทษนำห่างเป็น 3-0 นาทีที่ 39 เนื่องจาก ไนเจล รีโอ-โคเกอร์ ทำผิดพลาดไปเตะ ริเอรา ล้มในกรอบโทษ

เริ่มครึ่งหลังผ่านไปได้เพียง 5 นาที เจอร์ราร์ด ก็ยิงประตูที่ 2 ของตัวเองทำให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำโด่งเป็น 4-0 ก่อนที่ เจอร์ราร์ด จะยิงจุดโทษทำแฮตทริคในเกมนี้ในนาทีที่ 65 เมื่อ ฟรีเดล ผู้รักษาประตูเข้าไปขวางทาง เฟอร์นานโด ตอร์เรส ล้มในกรอบโทษ ผู้ตัดสินควักใบแดงไล่ออกจากสนามพร้อมให้จุดโทษเจ้าบ้าน ส่งผลให้วิลล่าเหลือผู้เล่นเพียง 10 คน

จบเกม ลิเวอร์พูล ถล่ม แอสตัน วิลล่า ไปอย่างท่วมท้น 5-0 ทำให้มีแต้มตามหลังแมนฯยูเพียง 1 แต้มเท่านั้นแม้นว่าจะแข่งมากกว่า 1 นัดก็ตาม

ส่วนคู่อื่น แมนฯ ซิตี้ ชนะ ซันเดอร์แลนด์ 1-0 และวีแกนลนะฮัลล์ 1-0 เช่นกัน


พี่สาว"ทักษิณ"สิ้นลมลิ้วล้อสิ้นมนต์ขลัง

ณ วินาทีนี้คงจะพูดได้ว่าคนชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีความทุกข์ไม่น้อย เพราะหลังจากเฝ้าติดตามผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ก็เป็นไปตามคาดก็คือรัฐบาลเป็นฝ่ายชนะ แต่ที่เหนือความคาดหมายอยู่บ้างก็คือ มี ส.ส.พรรคเพื่อไทย ลงคะแนนไม่เป็นเอกภาพ

เฉพาะอย่างยิ่ง มีการลงคะแนนให้นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.พรรคเพื่อไทย 8 คนที่ลงคะแนนงดออกเสียง หรือแม้นแต่นายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ รมช.มหาดไทย ก็มีการลงคะแนนลักษณะเดียวกัน ก็สอดคล้องกับกระแสก่อนหน้านี้ที่จะมีส.ส.พรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งย้ายไปซบพรรคภูมิใจไทย คงจะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณไม่น้อย

และหลังจากทราบผลการมติภิปรายไม่ไว้วางใจไม่กี่ชั่วโมง พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ได้ทราบข่าวร้ายอีกครั้งเมื่อเวลาประมาณ 22.00 น.วันที่ 21 มีนาคม นางเยาวลักษณ์ ชินวัตร หรือคล่องคำนวณการ อายุ 63 ปี พี่สาวคนโต ได้เสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลพระราม 9 แขวงและเขตห้วยขวาง กทม. หลังเข้ารักษาอาการป่วยด้วยโรคไต ซึ่งก่อนหน้านี้นางเยาวลักษณ์เป็นโรคเบาหวานตั้งแต่ปี 2535

การที่พี่สาวเสียชีวิตครั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณทำได้แต่เพียงกล่าวคำว่าเสียใจ ส่วนจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อร่วมงานศพหรือไม่ พ.ต.ท.ทักษิณบอกว่า คงไม่สามารถเดินทางกลับมาร่วมงานศพได้ ขณะที่ส่วนตัวรู้สึกช็อกหลังได้ทราบข่าว เพราะทางแพทย์ได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่า พี่สาวยังคงมีชีวิตได้อีกนานจึงไม่คาดฝันว่า จะด่วนจากไปเร็วเช่นนี้

สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับคนชื่อพ.ต.ท.ทักษิณในช่วงนี้ก็คือทำใจ ปลอยวางสิ่งทั้งหลาย และที่ผ่านมาก็คงจะทำให้ได้เห็นสัจจธรรมแล้ว สรรพสิ่งทั้งหลายนั้นไม่แน่นอนและไม่สามารถบังคับให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเองได้ทั้งหมด คนที่เคยรักก็หน่ายหนี เคยมีลาภก็เสื่อมลาภบ้าง หากไม่ทำใจแล้วก็คงจะมีแต่คำว่า"ทุกข์" อย่างเดียว

วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552

คลิปแมนฯยูไนเต็ดพ่ายฟูแลม 0-2

โดยสโคลได้ใบแดงและเสียจุดโทษนาทีที่ 18 และมาเสียอีก 1 ประตูนาทีที่ 87 ขณะที่รูนีย์ได้ 2 เหลืองเป็นใบแดงนาทีที่ 89 ด้านเชลซีพ่ายสเปอร์0-1

ดาราแจกเต้าส.ส.แจกกล้วยสะท้อนสังคมราคจริต

สร้างความตะลึงให้กับคนในสังคมไม่น้อยเลยสำหรับ "เอมมี่"มรกต กิตติสาระ นางเอกละครชื่อดัง สังกัดสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 เกิดอุบัติเหตุเต้าหลุด เมื่อวันที่ 18 ขณะแสดงโชว์ในงาน "เดอะ คัลเลอร์ ออฟ ซาฮาร่า" ที่ชั้นจี เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า กรุงเทพฯ โดยมีคอนเซ็ปต์ทะเลทรายซาฮารา

"เอมมี่"แสดงเป็นนางพญา แต่งชุดราตรีเกาะอกยาวผ่าข้างสีเขียว ซึ่งทีมงานมีการป้องกันอย่างดีด้วยการใส่บรา นอกจากนี้ยังมีเกาะอกซับใน ติดสติกเกอร์สองหน้าที่จุกนม และนำสติกเกอร์สองหน้าติดระหว่างชุดราตรีกับบรา

แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อ "เอมมี่"คลานลงสระน้ำแล้วโพสท่า เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเข่าไปทับชายเสื้อล่นลงมาเห็นเต้านม วันต่อมา "เอมมี่" ได้แถลงข่าวขอโทษไม่ได้ตั้งใจแม้นว่าจะมีเสียงออกมาว่าเป็นการสร้างสถานการณ์หรือไม่ก็ตาม

ความจริงแล้วเหตุการณ์โชว์เต้า เต้าหลุดก็มีให้เห็นกันเป็นระยะไม่ใช่เฉพาะ "เอมมี่" อย่างเช่น "แคนดี้ ชุติมา" ก็มีภาพเปลือยเต้าหลุดออกมา ซึ่งเป็นภาพถ่ายแฟชั่นให้กับนิตยสารแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นภาพที่ไม่ได้ถูกเลือกให้นำมาตีพิมพ์ ซึ่ง "แคนดี้ ชุติมา" ก็งงเหมือนกันว่าภาพหลุดออกได้อย่างไร

พร้อมกันนี้ก็มีข่าวออกมาว่า “หมออ้อย"จุฑารัตน์ อัตถากร เตรียมสลัดผ้าถ่ายนู้ดกึ่งเปลือย รับลมร้อนเดือนเมษายนนี้ ก่อนหน้านี้ "โอปอล์"-ปาณิสรา พิมพ์ปรุ ก็ได้สร้างความฮือฮาด้วยการไปถ่ายชุดว่ายน้ำ แม้นไม่ถือว่าเต้าหกแต่ก็เห็นเนินถันอยู่ไม่น้อย เช่นเดียวกัน "เอมี่ กลิ่นประทุม" ก็ได้ถ่ายขึ้นปกนิตยสารด้วยชุดเกาะอกไหมพรมถัก ก็ทำให้เสือป่าน้ำลายไหลไปตามๆกัน

โชว์กันแบบนี้ไม่เรียกว่าแจกเต้าก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไรแล้ว

เห็นดาราหญิงเขาแจกเต้ากันไปแล้ว ผู้ชายเขาก็มีการแจกของเหมือนกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส.ส.ผู้ทรงเกลียดมีการ "แจกกล้วย" หรือ "แจกของลับ" กันกลางห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่ผ่านมา ระหว่าง นายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มบ้านริมน้ำ กับนายสุรเชษฐ์ ไชยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย จนทำให้สภาไทยจะกลายเป็นสภาไต้หวันไปแล้ว ทำให้มีเสียงสรรเสริญตามมาว่า "เป็นผู้ทรงถ่อย" เป็นแบบอย่างที่ไม่ดี
เหตุการณ์ที่ดาราแจกเต้าและส.ส.แจกกล้ายหรือของลับกันนี้สะท้อนให้เห็นว่า สังคมไทยมัวเมาไปด้วยราคจริต ไม่ว่าทำจะกิจกรรมใดต้องมีการโชว์เต้า นุ่งน้อยห่มน้อย เพื่อดึงดูดความสนใจ ข่าวก็เช่นเดียวกันหากเหตุการณ์ปล่อยคลิปฉาว โชว์จู๋ บีบไข่ ข่มขืน ก็จะมีการนำเสนอกันเป็นข่าวใหญ่โต เพราะเห็นว่าข่าวนั้นเป็นที่สนใจมากของในสังคม


บางวันทั้งหน้าหนังสือพิมพ์หรือสื่อต่างๆจะประกอบไปด้วยอวัยวะเพศชายและหญิงเต็มไปหมด ไม่ต้องพูดถึงว่าผลกระทบที่จะตามมาเป็นอย่างไร เอายอดขายเรตติ้งมาเป็นอันอับแรก

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2552

"แพนเค้ก"รับเหนาะๆเกือบ10ล้านโฆษณา"ม้าลาย"

ต้องบอกว่าครอบครองความเป็นดารานางแบบโฆษณาตัวยงไปแล้วสำหรับ "แพนเค้ก"เขมนิจ จามิกรณ์ ล่าสุดเธอได้ตอบรับที่จะทำหน้าที่เป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณาสินค้าตรา "ม้าลาย" รุกหนักจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ ทั้งนี้นายเอกชัย ยังวาณิช รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เสถียรสเตนเลสสตีล จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ผลิตภัณฑ์เครื่องครัว ภายใต้แบรนด์ "ม้าลาย" เปิดกับคมชัดลึกว่า ทั้งนี้ปี 2552 บริษัทได้เปลี่ยนกลยุทธ์การสื่อสารกับผู้บริโภคกับคนรุ่นใหม่เป็นครั้งแรกโดยหันมาใช้พรีเซ็นเตอร์ดารา

"ล่าสุดได้เซ็นสัญญากับ "แพนเค้ก" ใช้งบ 10 ล้านบาท เพื่อตอกย้ำภาพลักษณ์แบรนด์ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนจากที่เคยใช้เชฟ หรือกลุ่มคนดังในวงการอาหาร โดยคาดว่าจะเพิ่มรายได้ปีนี้เติบโต ขึ้น 5-7% นอกจากนี้ยังได้เดินกลยุทธ์ด้านราคาด้วยการลดราคาจำหน่ายปลีกลง 10% จากต้นทุนการผลิตที่ลดลง" นายเอกชัย ยืนยัน

"แพนเค้ก"เขมนิจ นางแบบโฆษณายอดนิยมอย่างนี้ก็ไม่รู้จะใช้เงินอย่างไงหมดเน้อ....มีมากๆแบ่งมั้งแล้วกัน...อิอิ

โทรศัพท์มือถือร้อนฉ่ากลางศึกซักฟอก

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างญัตติการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 19 มี.ค.มีประเด็นที่เกี่ยวกับโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือมือถือ ที่ ส.ส.ฝ่ายค้านนำมาเป็นประเด็นในการอภิปราย ขณะเดียวกันโทรศัพท์มือถือก็ยังเป็นอุปกรณ์ประกอบในการอภิปรายด้วย

ส่วนที่เป็นเนื้อหาประกอบในการอภิปรายนั้น ก็สือเนื่องจากนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ ก็ได้มีการส่งข้อความสั้นๆผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือส่งเอสเอ็มเอส (sms) ไปยังเครื่องโทรศัพท์มือถือของประชาชนทั่วไป ลักษณะเชิญชวนให้ประชาชนมีความสมานฉันท์ เพราะเห็นว่าช่วงนั้นสังคมไทยมีความแตกแยกเป็นฝ่าย ส่งผลให้ ส.ส.ฝ่ายค้านอภิปรายกล่าวหาช่วงการดำเนินการจัดส่งนั้นจะเป็นการเอื้อประโยชน์กับบริษัทเอกชนและเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชนหรือไม่ 7 ประการด้วยกันคือ

1.ใช้ผู้ใต้บังคับบัญชาใช้อำนาจหน้าที่มิชอบ 2.เรียกร้องรับผิดประโยชน์เกิน 3,000 บาท ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)กำหนดไว้ 3.ละเมิดสิทธิคนใช้มือถือ 4.ร่วมกันนำข้อมูลส่วนบุคคลให้บริษัทเอกชนทั้งที่ไม่ได้รับการยินยอม 5.ร่วมกับบริษัทเอกชนสมรู้ร่วมคิด หลีกเลี่ยงไม่ชำระภาษีเข้ารัฐ 6.ทำให้รัฐขาดรายได้ส่วนแบ่งจากสัมปทานมือถือ และ 7.ฉ้อโกงหรือฉ้อฉลเอกชนบริษัทมือถือทั้ง 3 บริษัท โดยไม่จ่ายค่าจ้างตามที่ตกลง

ทั้งนี้นายอภิสิทธิ์ ได้ด้ตอบข้อชี้แจงเกี่ยวกับนโยบายการส่งเอสเอ็มเอสว่า ผมมีความคิดว่าทำอย่างไรจะสื่อสารไปถึงประชาชนให้มากที่สุด แน่นอนที่สุดว่าผมทราบดีว่าความเห็นทางการเมืองมีความแตกแยกสูงพอสมควร ผมก็หารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง ซึ่งขณะนั้นยังไม่ได้มีตำแหน่ง แน่นอนว่าการดำเนินการอะไร ต้องอยู่ภายใต้กฏหมาย คือต้องอยู่บนพื้นฐานของประโยชขน์และสิทธิเสรีภาพ คือถ้าหากว่ามีการขอความร่วมมือ ทางผม หรือผู้เกี่ยวข้องต้องไม่มีประโยชน์ในเรื่องการเงินใดๆทั้งสิ้น

ประเด็นนี้เมื่อมีการอภิปรายจบแล้วก็คงจะแล้วกันไป เพราะมีการโต้แย้งกันไปมาผ่านสื่อกันมานานแล้วคนทั่วไปก็แถบจะลืมไปแล้วเช่นกันจนทำให้มีความรู้สึกว่าไม่น่าจะนำประเด็นนี้มาอภิปรายด้วยซ้ำไป ความจริงแล้วมีหลายเรื่องที่เกี่ยวกับไอทีที่ส.ส.ฝ่ายค้านน่าจะหยิบขึ้นมาอภิปรายเพราะเท่าที่ติดตามงานของกระทรวงไอซีทีก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้า จนทำให้มีกระแสเรียกร้อยให้รมต.ทำงานบ้าง

ทีนี้มาถึงประเด็นมือถือที่ ส.ส.นำมาเป็นอุปกรณ์ในการอภิปราย ผู้ที่ติดตามการอภิปรายอย่างต่อเนื่องก็พอจะสังเกตุได้ว่า จะมีส.ส.ที่ประท้วงหรืออภิปรายมักจะกล่าวอ้างกับประธานเสมอๆว่ามีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาทั้งในลักษณะท้วงติงตำหนิและชม

อย่างเช่นประโยคว่าท่านประธานครับเมื่อสักครู่มีประชาชนโทรศัพท์มาตำหนิ ส.ส.ที่มีการแจกกล้วยหรือแจกของลับ ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างจริงครับ ท่านประธานต้องลงโทษเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นอีก รับไม่ได้จริงๆ ผู้ทรงถ่อยอย่างนี้ ประมาณนี้เป็นต้น

นับได้ว่าโทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์สำคัญในชีวิตประจำวันทั้งในและนอกสภาโดยแท้...อิอิ

ส.ส.กล้วยๆแจกของลับกลางสภา

"กล้วย" ตามพจนานุกรม หมายถึงพืชชนิดหนึ่งมีผลกินได้ เช่นเดียวกับ "นิ้วนาง" เป็นอวัยวะของสัตว์ เป็นส่วนประกอบของมืออยู่ถัดจากนิ้วชี้ แต่ทั้งสองคำนี้ยังใช้เป็นคำแสลงมีความหมายถึงอวัยวะเพศชาย มักจะนำมาประกอบในการด่ากับบุคคลที่เราไม่ชอบ ซึ่งก็จะมีคำอธิบายพฤติกรรมดังกล่าวว่าเป็นการ "แจกกล้วย" หรือ "แจกนิ้วนาง" แต่หากเราเห็นว่าบุคคลใดใช้คำเหล่านี้ด่าทอกัน ก็มักจะถูกตำหนิว่าเป็นคนถ่อยไม่มีคุณสมบัติผู้ดี มีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไม่ต่างอะไรกับ "กุ้ยข้างถนน" เราะจะเห็นพฤติกรรมเหล่านี้ตามข้างถนนหรือร้านตลาดทั่วๆไป ซึ่งผู้ดีเขาไม่ทำกัน

แต่พฤติกรรมดังกล่าวเราได้เห็นกันแถบจะไม่เช่นเเลยว่าจะเกิดขึ้นกับผู้ที่เรากล่าวขานกันว่าเป็นผู้ทรงเกียรติ ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลเมื่อวันที่ วันที่ 19 มี.ค.เวลาประมาณ 18.40 น.

ขณะที่นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย กำลังอภิปรายในประเด็นที่เกี่ยวกับการจัดซื้อคุรุภัณฑ์ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยกล่างพาดพิงถึงบุคคลหลายคนภายนอกหลายครั้งจนมีผู้ประท้วงอย่างต่อเนื่อง และน.ส.นริศรา ชวาลตันพิพัทธ์ รมช.ศึกษาธิการ สังกัดกลุ่มบ้านริมน้ำ พรรคเพื่อแผ่นดิน ก็ด้ลุกชี้แจง

แต่เหตุการณ์ที่น่าตำหนิก็เกิดขึ้นกลางที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อนายรณฤทธิชัย คานเขต ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อแผ่นดิน กลุ่มบ้านริมน้ำ ได้ลุกขึ้นประท้วง ของนายสุนัยว่าของให้อภิปรายตรงๆอย่าพาดพิงไปถึงคนอื่น หรือกล่าวคำในลักษณะเสียดสี แต่ปรากฏการประท้วงของนายรณฤทธิชัย ทำให้นายสุรเชษฐ์ ไชยโกศล ส.ส.พระนครศรีอยุธยา พรรคเพื่อไทย ไม่พอใจ โดยลุกขึ้นประท้วงว่า นายรณฤทธิชัยว่าไม่มีสิทธิชี้แจงแทนรัฐมนตรี ถ้าอยากเป็นรัฐมนตรีให้รอปรับครม.รอบหน้า

แต่นายรณฤทธิชัย สวนกลับทันควันว่า “จะเป็นรอบนี้เลย” ทำให้นายสุรเชษฐ์ ยกนิ้วกลางพร้อมทั้งตะโกนให้ของลับเพศชาย และนายรณฤทธิชัยก็ได้ให้ของลับสวนกลับทันที พร้อมทั้งลุกขึ้นชี้หน้าแล้วตะโกนถามว่า “เมื่อกี้พูดว่าอะไรวะ” ทำให้นายสุรเชษฐ์ ได้ยกนิ้วกลางให้อีกรอบ พร้อมทั้งปรี่เข้าไปหานายรณฤทธิชัย ถึงคอกที่นั่งของพรรคเพื่อแผ่นดิน

ขณะที่นายรณฤทธิชัย ก็จะโผเข้าไปหานายสุรเชษฐ์ด้วยอารมณ์เดือดดาล ทำให้ส.ส.ของหลายพรรครีบกรูกันเข้ามาห้ามทั้งคู่ โดยนายสุรเชษฐ์ ได้ตะโกนท้านายรณฤทธิชัยว่า “มึงมาเจอกับกูนอกห้องประชุมดีกว่า” ส่วนนายรณฤทธิชัย ก็ทำท่าจะถอดเสื้อสูทเพื่อออกไปตามคำท้าของนายสุรเชษฐ์

ทำให้เพื่อนส.ส.ในห้องประชุมต้องเข้ามาห้ามปราบกันหลายคนขอร้องให้นายรณฤทธิชัย นั่งสงบสติอารมณ์ก่อน แต่นายสุรเชษฐ์ ซึ่งท้าให้ออกไปนอกห้องประชุมก็ไม่ได้ออกไปแต่มานั่งอยู่ด้านหลังสุดของห้องประชุม และยังตะโกนตอบโต้กับนายรณฤทธิชัย เป็นระยะ จนนายรณฤทธิชัย พยายามจะเดินเข้าไปหานายสุรเชษฐ์ แต่มีเพื่อนส.ส.นั่งประกบคอยห้ามปรามไม่ให้เกิดศึกขึ้นเหมือนกันสภาไต้หวัน

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้ น.ส.ผุสดี ตามไท ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่าง ข้อบังคับว่าด้วยประมวลจริยธรรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และกรรมาธิการ พ.ศ... ได้ตำหนิการทำหน้าที่ของประธานและเรียกร้องให้สังคมประณามส.ส.ที่มีพฤติกรรมดังกล่าว เพราะถือว่าเป็นแบบอย่างที่ไม่ดีต่อประชาชน

ก็ถือว่าโตๆกันแล้วนะ ความจริงแล้วนายรณฤทธิชัยก็เคยอยู่พรรคไทยรักไทยมาก่อน ขณะที่พรรคเพื่อไทยก็ถือว่าเป็นพรรคไทยรักไทยเดิม เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อพรรคแล้ว และต่างคนต่างไปก็ความสัมพันธ์ก็น่าจะยังมีอยู่ แต่ก็อย่างว่าเรื่องผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร หรือ ส.ส.ก็แสดงไปตามบทไม่ต่างอะไรกับตัวละคร

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2552

ตะลึง"เอมมี่"มรกตเต้าหลุดกลางงานแฟชั่นโชว์เซ็นทรัลปิ่นเกล้า

สร้างความฮือฮากันอีกครั้งสำหรับ "เอมมี่"มรกต กิตติสาระ นางเอกชื่อดังทางช่อง7สี เมื่อเกิดอุบัติเหตุ เต้าหลุดกลางงานแฟชั่นทะเลทราบซาฮาร่า เซ็นทรัล ปิ่นเกล้า วันที่ 18 มี.ค.

เอมมี่เธอแสดงเป็นนางพญา แต่งชุดราตรีเกาะอกยา ช่วงที่เธอลงไปในสระน้ำจำลอง ปรากฏว่าเข่าของเธอไปทับชายเสื้อล่นลงมาเห็นเต้านม สร้างความฮือฮาให้กับตากล้องกดภาพอย่างถี่หยิบ และสร้างความตะลึงให้กับผู้ร่วมงาน ก็ถือว่าเป็นอุบัติเหตุที่ได้เจ้าตัวไม่ต้องการให้เกิดขึ้นเป็นแน่แท้ และได้พยายามที่จะป้องกันแล้วก็ตาม แต่ก็พลาดจนได้ ดูภาพเหตุการณ์ได้ที่ http://dara.hunsa.com/detail.php?id=15559

การดื่มน้ำ บำบัดโรค

วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้ 1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี) 2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือรับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ 3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป 4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว


ทำแล้ว.....ดีอย่างไร?

ข้อปฏิบัติ 4
ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรคที่เป็นอยู่ค่อย ๆ เบาและหายขาดได้ในที่สุด วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลา ดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน 2. โรคกระเพาะ 10 วัน 3. โรคเบาหวาน 30 วัน 4. โรคท้องผูก 10 วัน 5. โรคมะเร็ง 180 วัน 6. โรควัณโรค 90 วัน
ดื่มน้ำเมื่อท้องว่างดีอย่างไร
การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพ ที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันที หลังตื่นนอนตอนเช้า (ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์ พบว่าน้ำ สามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ ได้ผล 100% (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็วโรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

ดื่มน้ำเปล่าช่วยลดน้ำหนัก
ดื่มน้ำเปล่าช่วยลดน้ำหนักใครที่คิดว่าตัวเองน้ำหนักเยอะ และอยากลดน้ำหนักอยู่ รู้หรือไม่ว่า การดื่มน้ำเปล่ามากกว่า 2 ลิตรต่อวัน จะสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ นักวิจัยของมหาวิทยาลัยชาไรต์ที่กรุงเบอร์ลิน พบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำได้มากถึงวันละ 2 ลิตรนั้น จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญอาหารได้เพิ่มขึ้นอีกถึงวันละ 150 แคลอรี่ ศาสตราจารย์ไมเคิล บอสชมานน์ หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่า เพราะน้ำที่ดื่มจะเข้าไป จะไปปลุกประสาทซิมพาเทตติก ซึ่งควบคุมการเผาผลาญอาหารของร่างกาย ทำให้ช่วยกำจัดแคลอรี่ที่ เกินลดน้อยลงไปได้ วารสารเรื่อง “วิทยาการต่อมไร้ท่อและการเผาผลาญอาหารภายในร่างกาย” เปิดเผยว่า นักวิจัยยังได้บอกเตือนไว้ว่า “หากจะดื่มน้ำเพื่อลดน้ำหนักนั้น ควรจะเป็นน้ำเปล่าเท่านั้น หากดื่มน้ำแร่หรือน้ำอัดลม จะกลับกลายเป็นโทษได้” ใครอยากลดน้ำหนักก็ลองทำตามกันดูได้
เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ เค้าบอกว่าถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าต้องดื่มน้ำอุ่น......แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้วให้ดื่มน้ำเย็นเป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพลของพระอาทิตย์-พระจันทร์มานานนมถ้าทำได้ดังที่ว่านั้น เค้าบอกว่าประโยชน์จะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณอย่างเห็นได้ชัดเพราะการดื่มน้ำสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ทำให้โอกาสในการเป็นโรคภูมิแพ้ต่ำสามารถล้างคราบไขมันตามลำคอ และล้างลำไส้ที่มีความยาว 12 เมตรของมนุษย์ได้การดื่มน้ำในจำนวน 14 แก้วต่อวันทำให้การขับถ่ายไม่มีปัญหาสำคัญอยู่ที่ว่าเราจะสามารถดื่มน้ำได้ตามคำแนะนำนี้หรือไม่ ถ้าทำได้....ไม่เพียงแต่จะดีกับตัวคุณหากยังประหยัดเงินค่ารักษาพยาบาลประหยัดค่าวิตามินเสริมต่าง ๆ ที่ต้องเสียไปทุกเดือนไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่.......
เกร็ดเล็กๆน้อยๆ

ข้อควรจำคือ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอ ก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อย รับรองสบายท้อง!! ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลา เป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะเวิร์กกว่า!!


ประโยชน์ของการดื่มน้ำ

อาจเป็นเรื่องเหลือเชื่อ ที่น้ำจะเป็นสิ่งสำคัญที่มีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะต้องดื่มน้ำเพราะความจำเป็น แต่ในความเป็นจริง น้ำ เป็น "อาหารอันวิเศษ " ที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์อย่างถาวร

ทานน้ำเพื่อให้ไตทำงาน
ไตไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหากเราทานน้ำไม่เพียงพอ เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ตับก็จะเป็นตัวที่ต้องทำงานหนักขึ้น หน้าที่หลักของตับก็คือ ช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน แต่ตับต้องมาทำหน้าที่ของไต ทำให้มันไม่สามาถทำหน้าที่หลักได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้เอง จำทำให้เกิดการเผาผลาญไขมันได้น้อยลง และยิ่งเพิ่มการสะสมไขมันในร่างกายมากขึ้น และทำให้การดูแลรูปลักษณ์หยุดชะงักลง

กักน้ำด้วยน้ำ
การดื่มน้ำอย่างเพียงพอ เป็นการรักษาของเหลวไว้ได้ดีที่สุด เมื่อร่างกายได้รับน้ำน้อย มันจะรับรู้ว่าจะต้องรักษาความอยู่รอดไว้โดยจะต้องรักษาน้ำไว้ทุกหยด ร่างกายจะกักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษในโพรงเล็กๆ (ภายนอกเซลล์) ซึ่งจะเห็นได้จากอาหารบวมที่เท้า มือ และขา การขับปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว และจะบังคับให้ร่างกายเกิดความรู้สึกว่าจะต้องมีน้ำเข้ามากักเก็บไว้พร้อมกับความต้องการสารอาหารที่สำคัญบางชนิด เมื่อร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ อาการที่เกิดขึ้นก็จะหายเป็นปกติ
วิธีที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาการขาดน้ำในร่างกาย ก็คือเราจะต้องดื่มน้ำในปริมาณมากเพื่อที่ร่างกายจะมีน้ำไว้ใช้ยามขาดแคลน หากคุณมีปัญหาร่างกายขาดน้ำอาจมาจากสาเหตุที่ร่างกายได้รับปริมาณเกลือมากเกินไป ร่างกายของเราจะสามารถรับปริมาณโซเดียมได้จำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่การกำจัดปริมาณเกลือที่ทานเข้าไปเกินความต้องการนั้นสามารถทำได้ง่าย เพียงแต่ดื่มน้ำให้มากขึ้นเท่านั้น เพราะน้ำจะช่วยให้ไตขับโซเดียมออกมา คนที่มีน้ำหนักมากร่างกายต้องการน้ำมากกว่าคนผอม คนตัวใหญ่จะมีการเผาผลาญที่มากกว่า น้ำจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคนที่มีน้ำหนักมาก เพราะน้ำเป็นตัวสำคัญที่ช่วยในการเผาผลาญไขมัน
น้ำยังช่วยทำให้กล้ามเนื้อของเรามีความชุ่มชื้น และยังทำให้ผิวหนังไม่เ่ยวย่นหลังจากการดูแลรูปลักษณ์ เซลล์ขนาดเล็กสามารถลอยตัวอยู่ได้ด้วยน้ำทำให้ผิวหนังดูเปล่งปลั่งและสดใส ชุ่มชื้น
น้ำยังช่วยกำจัดของเสีย ระหว่างการดูแลรูปลักษณ์ร่างกายจะมีของเสีย โดยเฉพาะไขมันที่จะต้องกำจัดออก ซึ่งถ้าหากร่างกายมีน้ำเพียงพอก็สามารถกำจัดของเสียเหล่านี้ออกมาได้มาก

น้ำช่วยบรรเทาอาการท้องผูก
น้ำสามารถช่วยไม่ให้ท้องผูก หากร่างกายได้รับน้ำน้อย ทำให้ขับถ่ายลำบาก ซึ่งทำให้เกิดท้องผูก แต่สามารถช่วยให้หายได้ โดยการดื่มน้ำให้เพียงพอ
ได้มีการค้นพบว่าน้ำมีส่วนช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ร่างกายไม่สามารถทำหน้าที่ได้โดยสมบูรณ์หากได้รับน้ำไม่เพียงพอ โดยเฉพาะการเผาผลาญไขมันที่สะสม หากร่างกายเก็บน้ำไว้มากจะดูได้จากการที่มีน้ำหนักเกิน แต่แก้ไขได้โดยการดื่มน้ำเพิ่มขึ้น การดื่มน้ำมากขึ้นจะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยในการดูแลรูปลักษณ์ ดื่มน้ำเท่าไหร่จึงจะพอ? โดยเฉพาะควรดื่มน้ำ 8 แก้วต่อวัน
อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีน้ำหนักเกินควรดื่มน้ำเพิ่มมากขึ้นอีก และจะต้องเพิ่มขึ้นอีกหากคนๆ นั้น ชอบออกกำลังกาย หรืออยู่ในที่ๆมีอาการร้อน หรือแห้ง น้ำเย็นจะถูกดูดซึมในร่างกายได้เร็วกว่าน้ำอุ่น บางหลักฐานแนะนำว่า การดื่มน้ำเย็นจะช่วยเผาผลาญแคลลอรี่ ในการที่จะใช้ประโยชน์จากการดื่มน้ำเพื่อช่วยในการลดน้ำหนักให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดควรปฏิบัติ ดังนี้
- เช้า ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
- บ่าย ดื่มน้ำหนึ่งควอต ทุก ๆครึ่งชั่วโมง
- เย็น ดื่มน้ำหนึ่งควอต ระหว่างเวลา 5 โมงเย็นถึง 2 ทุ่ม
เมื่อร่างกายได้รับน้ำ มันจะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องรักษาระดับของของเหลวให้สมดุลย์ไว้ ซึ่งเรียกว่า "breakthrough Point ซึ่งหมายถึง ต่อมเอ็นโดซีนจะสามารถทำงานได้ดีขึ้น เมื่อการรักษาระดับของเหลวในร่างกายเบาบางลงเนื้องจากสูญเสียน้ำ ไขมันจำนวนมากจะถูกนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง เนื่องจากตับมีอิสระในการทำหน้าที่เผาผลาญไขมันที่สะสม ทำให้เกิดความรู้สึกกระหายน้ำ รู้สึกหิวตลอดเวลา หากคุณดื่มน้ำไม่เพียงพอ จะทำให้เกิดการขาดความสมดุลย์ในการรักษาระดับของเหลวในร่างกาย ซึ่งจะทำให้คุณมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นโดยไม่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นเพราะสาเหตุอะไร เพื่อกลับคืนสู่สภาพปกติคุณจะต้องดื่มน้ำจำนวนมากขึ้น


น้ำคือยาวิเศษ
เมื่อเช้าอ่านเจอเห็นว่ามีประโยชน์ดีเลยเอามาโพสให้น่ะ

ปริมาณของเหลวในร่างกายทั้งหมด(Total Body Water,TBW) แบ่งเป็น2ส่วน คือ ส่วนที่เป็นของเหลวภายในเซลล์ (Intracellular Fluid,ICF) มีปริมาณเป็นสองในสามของของเหลวในร่างกายทั้งหมด และส่วนที่เป็นของเหลวภายนอกเซลล์ (Extracellular Fluid,ECF) มีปริมาณเป็นหนึ่งในสามของของเหลวในร่างกายทั้งหมดซึ่งแบ่งออกเป็น4ส่วนสำคัญได้แก่
1. ส่วนที่เป็นของเหลวล้อมรอบเซลล์ (Interstitial Fluid )
2. ส่วนของเหลวที่ประกอบเป็นพลาสมาในหลอดเลือด(Intravascular Fliud )
3.ของเหลวส่วนที่เป็นน้ำเหลือง (Lymph)
4.ของเหลวที่อยู่ในอวัยวะต่างๆเช่น น้ำในข้อ น้ำในลำไส้ เป็นต้น

ข้อเสียหากดื่มน้ำไม่เพียงพอ
1.ผิวหนังแห้งไม่ชุ่มชื้น
2. ตาแห้งขาดน้ำหล่อเลี้ยง
3.มีกลิ่นปาก
4.ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร
5.เลือดข้นทำให้การไหลเวียนโลหิตลำบากหัวใจต้องทำงานหนักในการสูบฉีด ทำให้เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย
6.ลมหายใจร้อนไม่สดชื่น
7.ใบหน้าร้อนและเกิดอาการร้อนในบ่อยๆ
8.เยื่อบุผนังในปากอักเสบ ลิ้นเป็นฝ้าหนา
9.ปัสสาวะติดขัด มีสีเหลืองเข้ม เป็นเหตุให้ไตพิการ ไตวาย เป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
10.อุณหภูมิในร่างกายสูง เหงื่อน้อย มีกลิ่นตัวแรง

ประโยชน์ของการดื่มน้ำอย่างพอเพียง
1.ช่วยสร้างสมดุล และเป็นการช่วยทำความสะอาดอวัยวะในร่างกาย ลดการทำงานหนักของอวัยวะต่างๆ
2.ช่วยให้น้ำเข้าสู่กระเพาะอาหาร ลำไส้ได้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงท้องว่างในตอนเช้า จะทำให้ลำเลียงน้ำไปจนถึงลำไส้ใหญ่ได้ ช่วยให้ถ่ายอุจจาระดีขึ้น
3.ช่วยให้เลือดเหลวไม่ข้น การไหลเวียนเป็นไปได้ง่าย การสูบฉีดดี หัวใจไม่ต้องทำงานหนัก ไม่เมื่อยล้า ไม่เหนื่อยง่าย
4.ไม่ร้อนใน ปากและลิ้นสะอาด
5.ผิวกาย ใบหน้าชุ่มชื้น เต่งตึง
6. ลมหายใจสดชื่น
7.แววตาสดใสมีน้าหล่อเลี้ยง ไม่แสบตา(โดยไม่ต้องทำตาแอ๊บแบ๊วเลยอิอิเวอร์ไปไหมเนี่ย) เออเนอะ อืมม์ต่อๆ
8.ช่วยปรับอุณหภูมิของร่างกายให้ปกติ
9. ช่วยลดความเครียด เพราะจะช่วยให้เลือดลดความเข้มข้นลง คือเมื่อเราเครียดมากๆ จะทำให้เซลล์เม็ดเลือดแดง ไขกระดูกม้าม ผลิตสารชนิดหนึ่งเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้เลือดเข้มข้นมากไป ซึ่งจะส่งผลเสียต่ออวัยวะส่วนอื่นๆที่เลือดไหลผ่าน
10. ช่วยให้อ่านหนังสือสอบดีขึ้น เนื่องจากขณะอ่านหนังสือและทำความเข้าใจนั้น สมองต้องทำงานหนัก น้ำในสมองจึงเกิดความไม่สมดุล (ลำเอียงแน่ๆ) การดื่มน้ำจึงเข้าไปช่วยปรับความสมดุลได้
11. ช่วยลดความอ้วนได้ เพราะน้ำจะทำให้การสะสมของไขมันน้อยลง
12. การดื่มน้ำสามารถทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ทำให้โอกาสการเป็นภูมิแพ้ต่ำลง
13. สามารถล้างคราบไขมัน ตามลำคอและล้างลำไส้ที่ยาว12เมตรของมนุษย์ได้อีกด้วย
14. ช่วยประหยัดเงินค่ารักษาพยาบาล ค่าวิตามินเสริมต่างๆ

เทคนิคช่วยให้ดื่มน้ำได้มาก

1.ทันทีที่ตื่นนอนดื่มน้ำอุ่นจัดทันที1แก้ว
2.ตั้งน้ำดื่มไว้บนโต๊ะทำงาน
3.ตั้งน้ำดื่มไว้บนโต๊ะอาหาร
4.ตั้งน้ำดื่มไว้ในห้องนอน
5.ก่อนออกจากบ้านไม่ลืมเตรียมน้ำไว้ในรถ
6.รับประทานผลไม้ ผักสดให้มาก(ล้างก่อนน่ะ)
7.ไม่ว่าไปไหน พกน้ำดื่มติดตัวไปด้วยเสมอ

รู้อย่างนี้แล้วไปหาน้ำมารีบดื่มกันเถอะ รักษาสุขภาพด้วยน่ะ


ดื่มน้ำตอนกระเพาะว่าง

ทุกวันนี้ เป็นที่รู้กันดีในญี่ป่นเรื่องประโยชน์ของการดื่มน้ำ ทันทีหลังจากตื่นนอนทุกๆเช้า นอกจากนั้น ผลการทดสอบของนักวิทยาศาสตร์ยังพิสูจน์เรื่องนี้ได้อ ีกด้วย เราได้พิมพ์บทความเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์จากน้ำดังต ่อไปนี้ ให้กับผู้อ่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโรคเก่า โรคร้ายแรง หรื่อโรคที่เพิ่งเป็นกันในปัจจุบันนี้ การรักษาด้วยน้ำก็ได้รับการค้นพบอย่างสำเร็จโดยสมาคม การแพทย์ประเทศญี่ปุ่นว่า รักษาโรคดังต่อไปนี้ได้ 100%
โรคปวดหัว ปวดเมือยตามตัว โรคหัวใจ โรคข้อต่ออักเสบ
โรคหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ โรคลมบ้าหมู โรคอ้วนเกินไป โรคหลอดลมอักเสบ
วัณโรค เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคไตอักเสบ อาเจียน โรคกระเพาะอาหาร
ท้องเสีย ริดสีดวงทวาร เบาหวาน ท้องผูก โรคเกี่ยวกับตา เนื้องอก มะเร็ง
ประจำเดือนมาไม่ปกติ และโรคเกียวกับ หู จมูก คอ เป็นต้น

วิธีรักษา
1. เมื่อตื่นนอนแล้วตอนเช้าก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้วๆละ 160 ml
2. แปรงฟันแต่อย่ารับประทาน หรือดื่มอะไรทันที เป็นเวลา 45นาที
3. หลังจาก 45 นาที ทานได้เป็นปกติ
4. หลังจากทานอาหารเช้า กลางวัน หรือ เย็น ไปแล้ว 15 นาที อย่ารับประทานอาหาร หรือดื่มอะไรต่ออีกเป็นเวลา 2 ชั่วโมง
5. สำหรับผู้สูงอายุ หรือ ผู้ป่วยที่ไม่สามารถดื่มน้ำได้ถึง 4 แก้วในช่วงแรกๆ ก็ให้เริ่มทีละน้อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้วต่อวัน

วิธีรักษาข้างต้นนี้ สามารถรักษาหลายๆโรคดังกล่าว และทำให้ท่านได้มีความสุขกับชีวิตที่มีสุขภาพดี แต่ละโรคใช้เวลาในการรักษาต่างกัน ตามรายละเอียดข้างล่างนี้
1. High Blood Pressure(โรคความดันโลหิตสูง) - 30 days
2. Gastric (โรคเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร) - 10 days
3. Diabetes (เบาหวาน) - 30 days
4. Constipation(ท้องผูก) - 10 days
5. Cancer (มะเร็ง) - 180 days
6. TB (วัณโรค) - 90 days
7. ผู้ป่วยโรคนี้ควรทำการรักษาในสัปดาห์แรก เพียง 3 วัน และในสัปดาห์ที่สอง จึงทำได้ทุกวัน

วิธีการรักษาเช่นนี้ไม่มีผลข้างเคียง แต่อย่างไรก็ตามระยะเริ่มต้นของการรักษาอาจทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น

ถ้าทำต่อไปเรื่อยๆจะดีขึ้นเป็นลำดับ และให้ทำเป็นกิจวัตรประจำวัน ดื่มน้ำ มีสุขภาพดี กระฉับกระเฉง

ฟังแล้วดูมีเหตุผล ชาวจีนและชาวญี่ปุ่นมักดื่มชาร้อนเวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ไม่ใช่น้ำเย็น บางที่อาจถึงเวลาที่เราต้องฝึกนิสัยดื่มน้ำอุ่นในเวลาทานอา หารแบบพวกเขาไม่มีอะไรต้องเสีย มีแต่ได้


ว่าต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเท่านั้นไม่พอนะคะ เพราะว่าการดื่มน้ำ ถ้าดื่มไม่ถูกเวลา หรือผิดวิธีก็ไม่เกิดผลดีใด ๆ แก่ร่างกาย เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า วธีการดื่มน้ำที่ถูก และได้ประโยชน์จริง ๆ ต้องดื่มอย่างไร

การดื่มน้ำที่ถูกวิธี

1. ดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วย
2. ทฤษฎีที่ว่า ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ
3. ถ้ารับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควร
4. อากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็นซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหายที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้
5. หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร,และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ


ดื่มน้ำบำบัดโรค ช่วยอายุยืน
รายงานทางการแพทย์ระบุว่า การดื่มน้ำมากๆจะทำให้อายุยืน พร้อมสำรวจอาการร่างกายขาดน้ำ ยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้ง ไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียว

“วิธีแก้แบบง่ายๆ ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือ การดื่มน้ำนั่นเอง”
ดื่มน้ำให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่
1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว
2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว
4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 เวลาละ 1 แก้ว
5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้ว รวม 14 แก้ว

หลักการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพไม่ซับซ้อนอย่างที่คิด สามารถทำง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน โดยน้ำที่เหมาะแก่การดื่มคือ น้ำอุณหภูมิปกติไม่ร้อนหรือเย็นจัดจนเกินไป ถ้าเป็นน้ำอุ่นควรดื่มตอนเช้าเพื่อช่วยล้างลำไส้ให้สะอาด และช่วยการขับถ่ายของเสีย

เทคนิคในการดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ทางการแพทย์บอกว่าถ้าดื่มในช่วงพระอาทิตย์ยังไม่พ้นขอบฟ้าต้องดื่มน้ำอุ่น....แต่ถ้าพระอาทิตย์พ้นขอบฟ้าแล้วให้ดื่มน้ำเย็น เพื่อเป็นการกลับคืนสู่ธรรมชาติที่มนุษย์ทุกคนหลงลืมอิทธิพลของพระอาทิตย์พระจันทร์มานาน ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาประโยชน์จากการดื่มน้ำจะเกิดขึ้นกับร่างกายของคุณอย่างเห็นได้ชัด

ข้อควรจำ ไม่ควรดื่มน้ำก่อนและหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ ๆ เพราะจะทำให้น้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือจางลง ส่งผลให้การย่อยไม่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ในแต่ละมื้อไม่ควรรับประทานอาหารให้แน่นจนเกินไป ควรทานแค่อิ่มพอดี แล้วรับประทานผลไม้สดเพื่อล้างคอก่อนจะจิบน้ำตามนิดหน่อยรับรองสบายท้อง ส่วนการรับประทานอาหารพร้อมกับดื่มน้ำตลอดเวลาเป็นนิสัยที่ควรเลิก ทางที่ดีควรซดน้ำแกงกลั้วคอจะดีกว่า

ประโยชน์ของการดื่มน้ำแร่

ผลของการดื่มน้ำแร่นี้เป็นประจำ ทำให้ มาคีส์ เดอ เลซแซร์ ซึ่งป่วยเป็นโรคไตและอยู่ในการหลบหนีจากการปฎิวัติฝรั่งเศสในปี ค.ศ. 1789 ได้หยุดพักดื่มน้ำดับกระหายที่น้ำพุเซนต์ แคเธอรีน จากการดื่มน้ำจากน้ำพุเซนต์ แคเธอรีน เป็นประจำ อาการป่วยของเดอ เลซแซร์ ทุเลาลงอย่างน่าอัศจรรย์ สุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้น เห็นผลของการได้ดื่มน้ำสะอาดๆ หรือยังค่ะ ดีกว่าดื่มเหล้า หรือ น้ำอื่นๆที่ปรุงด้วยสารเคมี ที่วางขายเกลื่อนตามซุปเปอร์มาร์เก็ตตั้งเยอะ


ประโยชน์ของการดื่มนมเปรี้ยว

ใครที่ชอบดื่มนมเปรี้ยว รู้ถึงประโยชน์ของนมเปรี้ยวกันหรือไม่ วันนี้เกร็ดความรู้มีมาบอกกัน...

การดื่มนมเปรี้ยว

1. จะได้รับกรดแลคติก ที่เกิดจากการหมักตัวของจุลินทรีย์ในนมเปรี้ยว ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสได้ดียิ่งขึ้น ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่มีอาการท้องเสีย ที่กระเพาะมีปริมาณความเป็นกรดลดลง ทำให้อาหารไม่สามารถย่อยได้ดี
2. จะช่วยปรับสภาพของกระเพาะอาหารให้เป็นกรดขึ้น และทำให้การดูดซึมอาหารดีขึ้น รวมทั้งป้องกันไม่ให้เชื้อโรคตัวอื่น ๆ รุกล้ำเข้าไปในระบบย่อยอาหาร และนอกจากนี้จุลินทรีย์ที่เติมในนมเปรี้ยวยังมีส่วนช่วยในการขับถ่ายอีกด้วย
3. การดื่มนมเป็นสิ่งที่ดี ร่างกายจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายครบถ้วน ดังนั้นการดื่มนมเปรี้ยวจึงต้องพิจารณาวัตถุดิบที่นำมาผลิต รวมทั้งราคาเมื่อเทียบกับปริมาณของอาหาร และสารอาหารที่ได้รับจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในลักษณะใกล้เคียงกัน แต่ถ้าคิดจะบริโภคเป็นอาหารว่าง เพื่อเป็นการเปลี่ยนรสชาติบ้างคงไม่เป็นไร

อย่างนี้แล้ว ลองหันมาดื่มนมเปรี้ยว เพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่า.


มหัศจรรย์น้ำอุ่น

คงต้องยอมรับว่า “ น้ำ ” นั้นเป็นธรรมชาติที่สุดแสนมหัศจรรย์ น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ และถูกใช้ในกิจการต่างๆ อีกจิปาถะมากมายหลายเรื่อง

แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ น้ำอุ่น ”

บัญชา เขมธร คือหนึ่งที่ในผู้ที่เคยป่วย มีร่างกายอ่อนแอ แต่เมื่อหันกลับมาใช้น้ำอุ่นในการบำบัดรักษาก็สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับคืนมาได้ กระทั่งตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อ “ มหัศจรรย์น้ำอุ่น ” เพื่อเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ด้วย

อาจารย์บัญชาเล่าให้ฟังว่า ร่างกายมีปัญหาจากโรคภูมิแพ้เป็นอย่างมาก ยิ่งตอนที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องแล็บด้วยแล้ว อาการยิ่งหนัก เวลานอนจะทรมานมาก จนบางครั้งต้องเปลี่ยนไปนั่งแทน ถ้าอากาศเปลี่ยนเมื่อไหร่เป็นต้องกำเริบ

อย่างไรก็ตาม กระทั่งได้มาใกล้ชิดกับอาจารย์ประกายเพชร ทองพิทักษ์ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ก็เลยได้ความรู้และให้คำแนะนำว่าโรคนี้รักษาไม่ยาก ขอแค่เพียงดื่มน้ำอุ่นเข้าไปมากๆ เท่านั้น “ การดื่มน้ำอุ่น เป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกไม่รื่นรมย์ที่จะดื่ม เพราะรู้สึกโหวงๆ เหมือนไม่ได้น้ำ คนเราเวลาเหนื่อยๆ ทำงานหนักๆ มาพอได้น้ำเย็นแล้วจะรู้สึกสดชื่นมากกว่า คนก็เลยไม่อยากที่จะดื่ม ”

อาจารย์บัญชาแนะนำเพิ่มเติมว่า การดื่มน้ำอุ่นที่ถูกต้องจะต้องดื่มตามสูตร คือ ตี 5 ตื่นมาดื่มน้ำอุ่นประมาณลิตรครึ่งประมาณนั้น คนร่างเล็กหน่อยอาจจะลิตรหนึ่ง 200 ซีซี หรือจะดื่มมากกว่านั้นก็ได้ขอให้เป็นรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจโดยไม่ต้องชักปากออกจากกระบอกน้ำเลย

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาไม่สามารถดื่มตามสูตรได้ ในระยะเริ่มแรกก็จะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย เริ่มต้นจากทีละนิดก่อน เช่น ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่งภายใน 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ น้ำอุ่นมันเป็นน้ำที่ไม่ให้โทษแก่ร่างกาย จะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีปัญหา เพราะต้องไม่ลืมว่าอุณหภูมิของร่างกายเรานั้นอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียสโดยประมาณ เมื่อเราดื่มน้ำอุ่นเข้าไปความร้อนของร่างกายก็จะไม่กระทบกระเทือน ร่างกายไม่ต้องผลิตความร้อนขึ้นมาเพื่อให้กับน้ำที่เราดื่มเข้าไป แต่ถ้าเป็นน้ำเย็นดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายจะต้องใช้ความร้อนมากขึ้นตามจำนวนน้ำเย็นที่เราดื่มเข้าไปเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำนั้นให้เข้ากับร่างกายถึงจะนำน้ำนั้นไปใช้ได้

“ น้ำที่เราดื่มเข้าไปตอนเช้า ตามสูตรจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง โดยจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออกมา แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ การรับประทานอาหารเช้า เพราะว่าเราเพิ่งล้างทางเดินอาหารอยู่หยกๆ กำลังใหม่ๆ เมื่อเรากินอาหารเข้าไปน้ำย่อยบริบูรณ์ ทางเดินสะอาด การดูดซึมก็ง่ายขึ้น ซึ่งการย่อยที่ดีขึ้นนัน้ ทำให้เราได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาหารกลางวันรองลงมา ส่วนอาหารเย็นอาจจะไม่จำเป็น

การที่เราดื่มน้ำตามสูตรจะทำให้เราเป็นผู้มีน้ำเต็ม ร่างกายจะมีความเอิบอิ่ม ไม่ขี้โมโหง่าย ราศีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่ การเคลื่อนไหวจะไม่มีการติดขัด เส้นเอ็น เนื้อหนังมังสายืดหยุ่นได้ตามสภาพ พร้อมใช้งานได้ทุกชนิด และต้องบอกว่า การดื่มน้ำอุ่นที่จริงแล้วคือการล้างพิษนั่นเอง โรคเกาต์เอย ความดันสูงเอย คอเลสเตอรอลสูงเอย เหล่านี้เป็นผลมาจากการขาดน้ำทั้งนั้น ”

นอกจากนั้น อาจารย์บัญชายังให้คำแนะนำว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำให้น้ำเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น ต้องไม่นั่งเฉยๆ เพราะจะทำให้น้ำท่วมไตได้ หรือ อย่ากลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะจะเป็นการขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้

... และที่อยากฝากทิ้งเอาไว้ก็คือ คนที่อยากอายุยืนยาว ต้องเริ่มต้นด้วยน้ำ จากนั้นปรับธาตุอาหารให้ดี ฝึกจิตใจให้ดี เพียงแค่นี้ชีวิตก็จะอยู่ได้นานโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปสรรหายาต่างๆ มารับประทานแต่อย่างใด



เพิ่มดื่มน้ำอุ่นวันละ 8 แก้ว ช่วยลดเสมหะ ทำให้หายใจคล่อง..

คงจะผิดจากความเป็นจริงมากนัก ถ้าจะบอกว่าไม่มีใครที่ไม่เคยเป็นหวัด โรคหวัดเป็นโรคที่ยอดฮิตติดอันดับที่เป็นได้กับทุกๆ คน และมีความแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว แม้จะเป็นโรคติดต่อที่ไม่รุนแรงแต่อย่างน้อยก็สามารถบั่นทอนสุขภาพของเราได้ และเป็นเครื่องบ่งบอกถึงความอ่อนแอของร่างกายจนถูกโรคเข้าจู่โจมได้ง่าย สุขภาพที่อ่อนแอเกิดจาก การกินอาหารไม่ครบถ้วนเพียงพอ นอนหลับพักผ่อนน้อย เครียดจัด ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ตลอดจนอยู่ในสภาพแวดล้อมไม่ดี ในที่สุดก็นำไปสู่การติดหวัด

การป้องกันไม่ให้ติดหวัด คือ สิ่งที่พึงปฏิบัติมากที่สุด แต่ถ้าหากเกิดเป็นโรคหวัดขึ้นมา การรักษาอย่างถูกวิธีนั้นไม่เพียงแต่จะทำให้บรรเทาอาการไม่ให้รุนแรงและหายเร็วขึ้นเท่านั้น แต่ยังป้องกันการติดเชื้อซ้ำสองอีกด้วย เช่น อาจนำไปสู่หลอดลมอักเสบ หูอักเสบหรือไซนัสอักเสบ อาหารช่วยรักษาและบรรเทาอาการหวัดได้

การกินอาหารที่มีวิตามินซีและธาตุสังกะสีสูง จะช่วยลดความรุนแรงและบรรเทาอาการของหวัดได้อาหารที่มีวิตามินซีสูงได้แก่ ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวและพืชผักทุกชนิด ดังนั้น ในระหว่างเป็นหวัดต้องเน้นการกินอาหารที่ประกอบด้วย ผัก ผลไม้ โดยเฉพาะ ผลไม้รสเปรี้ยว เช่น ส้ม และน้ำมะนาว หรือน้ำมะนาวผสมน้ำผึ้งก็ได้ บางรายแพทย์แนะนำให้กินวิตามินซี ในรูปของยาเม็ด วันละ 2-3 กรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน ส่วนแร่ธาตุสังกะสีพบในผักใบเขียว เนื้อสัตว์ ตับสัตว์ไข่ และหอยนางรม

อย่างไรก็ตาม การกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ และกินในปริมาณที่พอเพียง ก็จะทำให้ร่างกายแข็งแรง เพิ่มภูมิต้านทานโรค และหายจากหวัดได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ สมุนไพรแบบไทยๆ หลายๆ อย่าง อาจมีสรรพคุณบรรเทาอาการหวัดได้ เช่น กระเทียม เชื่อกันว่ามีคุณสมบัติต้านเชื้อไวรัสและแบคทีเรียบางชนิดได้ นอกจากนี้ยังมีพวก หอม พริก สะระแหน่ กะเพรา โหระพา และขิง อาจจะมีส่วนบรรเทาอาการหวัดได้ ซึ่งล้วนมีอยู่ในอาหารไทยทั้งนั้น

เมื่อเป็นหวัด ควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำเย็น ควรดื่มน้ำอุ่นๆ อย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ และช่วยให้เสมหะหรือเยื่อเมือกตามทางเดินหายใจไม่ข้นเหนียวเกินไป นอกจากนี้ จะต้องพักผ่อนให้มากๆ และไม่ควรไปทำงานเพราะจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและนำหวัดไปติดผู้อื่นได้ อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นหวัดนานเกิน 7 วัน และมีไข้สูงติดกัน 2 วัน ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา

การกินอาหารที่ถูกต้องเน้นอาหารที่มีวิตามินซี และแร่ธาตุสังกะสีจะช่วยบรรเทาอาการหวัดได้

ดื่มน้ำอย่างไรให้ได้ประโยชน์

เนื่องจากน้ำ เป็นส่วนประกอบที่สำคัญในร่างกาย (60-70%ของน้ำหนักตัว)เมื่อร่างกายขาดน้ำจะทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวน โดยเฉพาะระบบประสาท ทำให้มีอาการ เช่น มึนงง ตื้อ ปวดศีรษะหรือหน้ามืดเวลาลุกได้ ส่วนระบบอื่นๆอาจทำให้เกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบหรือเป็นนิ่วได้ในกรณีที่ดื่มน้ำน้อยแถมยังชอบกลั้นปัสสาวะอีก โดยเฉพาะสาวๆที่ไม่ชอบเข้าห้องน้ำนอกบ้าน
วิธีการคือ
ดื่มอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอตลอดวัน ไม่ใช่ดื่มเฉพาะมื้ออาหาร และให้ดื่มน้ำเมื่อเห็นไม่ใช่ดื่มเมื่อหิว เพราะถ้าเริ่มหิวน้ำแสดงว่าร่างกาย เริ่มขาดน้ำแล้วโดยเตรียมน้ำไว้ใกล้ตัวเวลาทำงาน หรือดื่มน้ำทดแทนหลังจากเข้าห้องน้ำ จิบบ่อยๆ ให้เป็นนิสัย ประมาณอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร โดยสังเกตจากสีของปัสสาวะ ไม่ควรเป็นสีเหลืองเข้ม ควรเป็นสีเหลืองใส หรือขาวใส ปัสสาวะใสจะบ่งชี้ถึง เลือดที่ใส ความหนืดน้อยไหลเวียนดี(เลือดใสไม่ใช่โรคเลือดจาง) และถ้าวันไหนอากาศร้อนหรือออกกำลังกายเสียเหงื่อมากหรือเป็นไข้ก็ต้องดื่มน้ำเพิ่มนะครับ

"การดื่มน้ำ"รู้ว่าต้องดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วเท่านั้นไม่พอนะคะ เพราะว่าการดื่มน้ำ ถ้าดื่มไม่ถูกเวลา หรือผิดวิธีก็ไม่เกิดผลดีใด ๆ แก่ร่างกาย เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า วธีการดื่มน้ำที่ถูก และได้ประโยชน์จริง ๆ ต้องดื่มอย่างไร
1. ดื่มทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ แต่อย่าพรวดพราดดื่มทีละมากๆ เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อยด้วย 2. ทฤษฎีที่ว่า ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วนั้น หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว ฯลฯ 3. ถ้ารับประทานอาหารรสที่ไม่จัดจนเกินไป คุณก็แทบจะไม่กระหายน้ำเลย แต่หากรับประทานเนื้อสัตว์ ของหวานจัด หรืออาหารแห้งๆ ทอด ย่าง ปิ้ง ร่างกายก็จะเรียกหาน้ำมากขึ้น ทำให้อวัยวะต่างๆทำงานหนัก ผลก็คือมันจะทรุดโทรมลงก่อนวัยอันควร
4. อากาศร้อนของบ้านเรา ทำให้แทบทุกคนชอบเครื่องดื่มเย็นๆ จนติดเป็นนิสัยแม้ในช่วงที่มีอากาศเย็นซึ่งทำให้อวัยวะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้ ส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน จึงควรดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหายที่สำคัญคือ ไม่ควรดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่วิธีแก้ไขคือจิบน้ำอุ่น หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดการกระหายน้ำได้ 5. หากคุณต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ, 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร,และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง นี่แหละค่ะดีต่อสุขภาพสุดๆ
เป็นไงคะ ประโยชน์ของการดื่มน้ำเล็ก ๆ น้อยที่ไม่ควรมองข้าม...
การดื่มน้ำ บำบัดโรค การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ การดื่มน้ำมากมากจะทำให้อายุยืนยิ่งถ้าพบว่าผิวหนังแห้งไม่ชุ่มชื้น ตาแห้ง มีกลิ่นปาก ท้องผูก เป็นริดสีดวงทวาร นั่นแสดงว่าร่างกายของคุณกำลังขาดน้ำอย่างยิ่งเชียววิธีแก้แบบง่าย ปลอดภัย และประหยัดที่สุดก็คือการดื่มน้ำ น้ำ เป็นของที่ไม่แพง ถ้าเราดื่มมากหน่อยคงไม่สิ้นเปลืองอะไรแถมยังทำให้มีสุขภาพด้วยแต่...จะดื่มยังไงดี???? นั่น คือคำถามดื่มให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 ดื่มให้ถูกวิธี คือ ดื่มวันละ 14 แก้ว ได้แก่1. เวลาตื่นนอนให้ดื่มน้ำอุ่น 4 แก้ว 2. ก่อนอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว3. หลังอาหารทุกมื้อ มื้อละ 1 แก้ว 4. ในเวลา 10.00, 14.00, 16.00 เวลาละ 1 แก้ว5. ก่อนนอนดื่มน้ำอุ่น 1 แก้วจะดื่มไหวมั้ยเนี่ย....ต้องลองดูนะ

"ประโยชน์ของการดื่มน้ำชา"

ยืนยันดื่มน้ำชาวิเศษกว่าน้ำเปล่า ต่างน้ำได้แถมยัง กันโรคมะเร็งได้
[ข่าววิทยาการจาก น.ส.พ.ไทยรัฐ วัน พุธ ที่ 26 ธ.ค. 50]

วารสารวิชาการ “โภชนาการบำบัด” ของสหภาพยุโรป รายงานว่า
การดื่มชาเป็นประโยชน์แก่ร่างกาย ยิ่งกว่าน้ำเสียอีก และไม่ได้เป็นเหตุให้ร่างกายสูญเสียน้ำเลย

รายงานการศึกษาของนักโภชนาการอังกฤษพบว่า ดื่มชาไม่แต่เพียงทำให้ร่างกายได้น้ำไม่ แพ้น้ำเปล่า หากยังวิเศษกว่า ตรงที่ช่วยป้องกันโรคหัวใจและมะเร็งได้อีกด้วย เนื่องจากมีสารฟลาโวนอยด์ที่เชื่อกันว่าเป็นสารประกอบสำคัญที่บำรุงสุขภาพ ซ้ำใบชายังมีสารโพลีฟานอลที่มี อยู่ตามอาหารและพืชหลายชนิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าช่วยปกป้องอันตรายให้กับเซลล์ด้วย คณะนักวิจัยอันประกอบด้วย ดร.แครี รักซ์ตัน และเพื่อนนักวิจัยที่วิทยาลัยคิงส์ ได้ศึกษา โดยการทบทวนรายงานการศึกษาถึงคุณประโยชน์ ต่อสุขภาพในการดื่มชาเรื่องต่างๆ ได้พบหลักฐานชัดเจนว่า การดื่มชาวันละ 3-4 ถ้วย ช่วยให้ความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจน้อยลง รายงานบางเรื่องยังส่อว่ามันยังช่วยป้องกันมะเร็ง แม้ว่าเรื่องนี้จะชัดแจ้งน้อยกว่า นอกจากนั้นยังมีคุณประโยชน์ อื่นอีก เช่น ช่วยป้องกันแผ่นคราบจุลินทรีย์จับฟัน และอาจเป็นได้ว่ายังช่วยเสริมกระดูกให้แข็งแรงและป้องกันฟันผุได้ด้วย ดร.รักซ์ตัน ได้ระบุว่า “ดื่มชาดีกว่าดื่มน้ำจริงๆ น้ำช่วยแต่เพียงทดแทนของเหลวให้กับร่างกาย ในขณะที่ชานอกจากทดแทนของเหลวแล้ว ยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย มันจึงเป็นคุณถึงสองอย่าง”.

ประโยชน์ของการดื่มน้ำอุ่น

คงต้องยอมรับว่า “ น้ำ ” นั้นเป็นธรรมชาติที่สุดแสนมหัศจรรย์ น้ำเป็นองค์ประกอบที่สำคัญของร่างกายมนุษย์ และถูกใช้ในกิจการต่างๆ อีกจิปาถะมากมายหลายเรื่อง แต่หลายคนคงไม่รู้ว่า น้ำยังสามารถช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ น้ำอุ่น ”

บัญชา เขมธร คือหนึ่งที่ในผู้ที่เคยป่วย มีร่างกายอ่อนแอ แต่เมื่อหันกลับมาใช้น้ำอุ่นในการบำบัดรักษาก็สามารถฟื้นฟูสุขภาพให้กลับคืนมาได้ กระทั่งตัดสินใจเขียนหนังสือชื่อ “ มหัศจรรย์น้ำอุ่น ” เพื่อเผยแพร่ความรู้เป็นวิทยาทานให้กับคนอื่นๆ ด้วย

อาจารย์บัญชาเล่าให้ฟังว่า ร่างกายมีปัญหาจากโรคภูมิแพ้เป็นอย่างมาก ยิ่งตอนที่ทำงานเป็นนักวิทยาศาสตร์อยู่ในห้องแล็บด้วยแล้ว อาการยิ่งหนัก เวลานอนจะทรมานมาก จนบางครั้งต้องเปลี่ยนไปนั่งแทน ถ้าอากาศเปลี่ยนเมื่อไหร่เป็นต้องกำเริบ

อย่างไรก็ตาม กระทั่งได้มาใกล้ชิดกับอาจารย์ประกายเพชร ทองพิทักษ์ ซึ่งเป็นพี่สะใภ้ก็เลยได้ความรู้และให้คำแนะนำว่าโรคนี้รักษาไม่ยาก ขอแค่เพียงดื่มน้ำอุ่นเข้าไปมากๆ เท่านั้น “ การดื่มน้ำอุ่น เป็นเรื่องที่หลายคนรู้สึกไม่รื่นรมย์ที่จะดื่ม เพราะรู้สึกโหวงๆ เหมือนไม่ได้น้ำ คนเราเวลาเหนื่อยๆ ทำงานหนักๆ มาพอได้น้ำเย็นแล้วจะรู้สึกสดชื่นมากกว่า คนก็เลยไม่อยากที่จะดื่ม ”

อาจารย์บัญชาแนะนำเพิ่มเติมว่า การดื่มน้ำอุ่นที่ถูกต้องจะต้องดื่มตามสูตร คือ ตี 5 ตื่นมาดื่มน้ำอุ่นประมาณลิตรครึ่งประมาณนั้น คนร่างเล็กหน่อยอาจจะลิตรหนึ่ง 200 ซีซี หรือจะดื่มมากกว่านั้นก็ได้ขอให้เป็นรวดเดียวหมดภายใน 2-3 อึดใจโดยไม่ต้องชักปากออกจากกระบอกน้ำเลย

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ที่มีปัญหาไม่สามารถดื่มตามสูตรได้ ในระยะเริ่มแรกก็จะต้องใช้ความพยายามสักหน่อย เริ่มต้นจากทีละนิดก่อน เช่น ดื่มน้ำอุ่น 1 ลิตรครึ่งภายใน 1 ชั่วโมง

ทั้งนี้ น้ำอุ่นมันเป็นน้ำที่ไม่ให้โทษแก่ร่างกาย จะดื่มเท่าไหร่ก็ได้ไม่มีปัญหา เพราะต้องไม่ลืมว่าอุณหภูมิของร่างกายเรานั้นอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียสโดยประมาณ เมื่อเราดื่มน้ำอุ่นเข้าไปความร้อนของร่างกายก็จะไม่กระทบกระเทือน ร่างกายไม่ต้องผลิตความร้อนขึ้นมาเพื่อให้กับน้ำที่เราดื่มเข้าไป แต่ถ้าเป็นน้ำเย็นดื่มเข้าไปมากเท่าไหร่ ร่างกายจะต้องใช้ความร้อนมากขึ้นตามจำนวนน้ำเย็นที่เราดื่มเข้าไปเพื่อปรับอุณหภูมิน้ำนั้นให้เข้ากับร่างกายถึงจะนำน้ำนั้นไปใช้ได้

“ น้ำที่เราดื่มเข้าไปตอนเช้า ตามสูตรจะมีผลต่อระบบทางเดินอาหารโดยตรง โดยจะเข้าไปชำระล้างสิ่งสกปรกต่างๆ ที่มีอยู่ในร่างกายออกมา แต่ที่ต้องไม่ลืมก็คือ การรับประทานอาหารเช้า เพราะว่าเราเพิ่งล้างทางเดินอาหารอยู่หยกๆ กำลังใหม่ๆ เมื่อเรากินอาหารเข้าไปน้ำย่อยบริบูรณ์ ทางเดินสะอาด การดูดซึมก็ง่ายขึ้น ซึ่งการย่อยที่ดีขึ้นนัน้ ทำให้เราได้รับประโยชน์จากการรับประทานอาหารที่กินเข้าไปอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย อาหารกลางวันรองลงมา ส่วนอาหารเย็นอาจจะไม่จำเป็น

การที่เราดื่มน้ำตามสูตรจะทำให้เราเป็นผู้มีน้ำเต็ม ร่างกายจะมีความเอิบอิ่ม ไม่ขี้โมโหง่าย ราศีเปล่งออกมาอย่างเต็มที่ การเคลื่อนไหวจะไม่มีการติดขัด เส้นเอ็น เนื้อหนังมังสายืดหยุ่นได้ตามสภาพ พร้อมใช้งานได้ทุกชนิด และต้องบอกว่า การดื่มน้ำอุ่นที่จริงแล้วคือการล้างพิษนั่นเอง โรคเกาต์เอย ความดันสูงเอย คอเลสเตอรอลสูงเอย เหล่านี้เป็นผลมาจากการขาดน้ำทั้งนั้น ”

นอกจากนั้น อาจารย์บัญชายังให้คำแนะนำว่า น้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะฉะนั้นเราต้องไม่ทำให้น้ำเป็นโทษต่อร่างกาย เช่น ต้องไม่นั่งเฉยๆ เพราะจะทำให้น้ำท่วมไตได้ หรือ อย่ากลั้นอุจจาระ ปัสสาวะ เพราะจะเป็นการขัดขวางกระบวนการทำงานของร่างกาย ซึ่งจะทำให้เกิดผลข้างเคียงตามมาได้

... และที่อยากฝากทิ้งเอาไว้ก็คือ คนที่อยากอายุยืนยาว ต้องเริ่มต้นด้วยน้ำ จากนั้นปรับธาตุอาหารให้ดี ฝึกจิตใจให้ดี เพียงแค่นี้ชีวิตก็จะอยู่ได้นานโดยที่ไม่ต้องสิ้นเปลืองเงินทองไปสรรหายาต่างๆ มารับประทานแต่อย่างใด

ข้อดีของการดื่มน้ำเมื่อท้องว่าง

การดื่มน้ำเมื่อท้องว่างผ่านกระเพาะเพื่อรักษาสุขภาพที่ดี ในประเทศญี่ปุ่นทุกวันนี้เป็นที่นิยมการดื่มน้ำทันทีหลังตื่นนอนตอนเช้า
(ก่อนแปรงฟัน) เพื่อการรักษาสุขภาพที่ดี มีการทดลองทางวิทยาศาสตร์พบว่าน้ำสามารถใช้ชะลอความแก่ และสามารถบำบัดรักษาโรคได้ เราสามารถใช้น้ำเพื่อบำบัดรักษาโรคได้หลายโรค มีการพิสูจน์จนยอมรับว่าสามารถบำบัดรักษาโรคเหล่านี้ได้ผล 100% (ค่อยเป็นค่อยไป ต้องใช้ระยะเวลา) ปวดหัว ปวดตามตัว โรคระบบหัวใจ โรคไขข้ออักเสบ โรคหัวใจเต้นเร็ว โรคลมบ้าหมู โรคอ้วน โรคหลอดลมอักเสบ โรคหืด วัณโรค อาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ไขสันหลังอักเสบ โรคไต และยูริก โรคแสลงคลื่นไส้ต่างๆโรคกระเพาะ โรคท้องร่วง โรคริดสีดวง โรคเบาหวาน โรคอาการท้องผูก โรคตา โรคภายในสตรี มะเร็ง และรอบเดือนไม่ปกติ โรคคอ หู จมูก

วิธีการรักษาปฏิบัติดังนี้
1. ตื่นนอนตอนเช้า ก่อนแปรงฟัน ให้ดื่มน้ำ 4 แก้ว (640 ซีซี)
2. หลังจากนั้นสามารถแปรงฟันและล้างหน้าได้ แต่ต้องไม่ดื่ม หรือ
รับประทานอะไรจนกว่า 45 นาทีผ่านไป จึงจะรับประทานได้ตามปกติ
3. หลังรับประทานอาหารเช้า กลางวัน เย็น ไปแล้ว 15 นาที
ต้องไม่ควรดื่มน้ำหรือรับประทานเลย จนกว่า 2 ชั่วโมงผ่านไป
4. ผู้ป่วย หรือ คนชรา ที่ไม่สามารถดื่มน้ำ 4 แก้ว ก็ขอให้ค่อยๆ ดื่ม
ค่อยเป็นค่อยไปเรื่อยๆ จนได้ครบ 4 แก้ว

ข้อปฏิบัติ 4 ข้อดังกล่าวจะทำให้ท่านบำบัดรักษาโรค
ที่เป็นอยู่ค่อยๆ เบาและหายขาดได้ในที่สุด
วิธีนี้ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น จะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น

จากสถิติข้อมูลโรคที่บำบัดรักษาทำให้หายได้ภายในเวลาดังนี้
1. โรคความดันโลหิตสูง 30 วัน
2. โรคกระเพาะ 10 วัน
3. โรคเบาหวาน 30 วัน
4. โรคท้องผูก 10 วัน
5. โรคมะเร็ง 180 วัน
6. โรควัณโรค 90 วัน

สำหรับโรคไขข้ออักเสบจะเห็นผลภายใน 3 วันในสัปดาห์แรกให้ปฏิบัติทุกวัน
วิธีรักษาแบบนี้ไม่มีผลเสียแต่อย่างใด
เพียงแต่อาจปัสสาวะบ่อยขึ้น และหลังดื่มน้ำไปแล้วประมาณ 1-2 ชั่วโมง จะปวดปัสสาวะ
ซึ่งอาจไม่สะดวกในการเดินทางบ้างเท่านั้น ขอให้มีสุขภาพที่ดีทุกท่าน

วันอาทิตย์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2552

ดร.พรชัย สุจิตต์ไขปริศนาลูกปัดสุริยเทพลูกปัดหน้าคนตาโต

หลังจาก "ลูกปัดสุริยเทพ" อายุกว่า 2 พันปี ถูกโจรกรรมจากงานแสดงหินและลูกปัดโบราณ อาคารนิทรรศการหมุนเวียน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 5 มี.ค. ขณะนี้ก็ผ่านไปหลายวันแล้วไม่มีทีท่าว่าตำรวจจับได้เบาะแสจับคนร้ายได้เลย จนกระทั้ง พล.ต.ท.วงพงษ์ ชิวปรีชา ผบช.น.ตั้งสั่งระดมทีมสืบออกไล่ล่ามือฉก แม้นว่าเจ้าของ ลูกปัด "ลูกปัดสุริยเทพ" นายแพทย์บัญชา พงศ์พานิช คนนครศรีธรรมราช จะมีความมั่นใจว่าจะได้กลับคืนมาก็ตามที
หลังจากเกิดเหตุการณ์นี้แล้วคงจะได้ทราบความเป็นมาของ "ลูกปัดสุริยเทพ" รวมถึงตัวบุคคลที่เกี่ยวข้องที่มีความชำนาญด้านลูกปัดกันพอสมควร แต่ในจำนวนนั้นอดที่กล่างถึงไม่ได้ก็คือ ดร.พรชัย สุจิตต์ เจ้าของหนังสือ “ลูกปัด ในอดีต-ปัจจุบัน” ซึ่งเขียนไว้เมื่อปี 2546 ทำไม่ถึงต้องกล่าวถึงบุคคลคนนี้
ก็เพราะ ดร.พรชัย สุจิตต์ นั้นถือว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงเลยก็ว่าได้เพราะว่าท่านนั้นจบปริญญาตรี-เอก ด้านด้านมานุษยวิทยาจากประเทศสหรัฐอเมริกา เคยเป็นอาจารย์สอนภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ผู้ช่วยผู้แทนกองทุนประชากรแห่งสหประชาชาติ
ดร.พรชัย สุจิตต์ นั้นเป็นผู้ค้นหาชุมชนลุ่มน้ำโบราณมาตลอดทั้งชีวิต และมีผลงานชิ้นเอกที่ได้ค้นคว้ากับนายศรีศักร วัลลิโภดม อาจารย์ด้านโบราณคดี ก็คือการค้นพบภาพเขียนสียุคก่อนประวัติศาสตร์ ที่หน้าผาริมแม่น้ำโขง อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี
ขณะที่ "ลูกปัดสุริยเทพ" นั้นก็ถือได้ว่า ดร.พรชัย สุจิตต์ ได้เป็นบุคคลหนึ่งที่ค้นพบที่จังหวัดกระบี่ โดยเว็บไซต์ประเพณีไทยได้ระบุไว้ว่า การสำรวจแหล่งโบราณคดีในจังหวัดกระบี่ เริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2517 โดยศาสตราจารย์ ดร. ดักลาส แอนเดอร์สัน และ ดร. วรรณี วิบูลสวัสดิ์ แอนเดอร์สัน ต่อมาปี พ.ศ. 2522 ได้มีการสำรวจอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ในครั้งนี้ มี ดร.พรชัย สุจิตต์ ร่วมด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากคุณวินัย และคุณโอวาท อุกฤษณ์ ในการติดต่อกับผู้ให้ข้อมูล พบว่ามีแหล่งโบราณคดีถึง 10 แหล่ง ต่อมาในเดือนตุลาคม 2525 - เดือน มกราคม 2526 มีการสำรวจเป็นครั้งที่ 3 โดยทีมงานชุดเดิมและได้รับความช่วยเหลือจากคุณจิรชัย อึ้งวิศิษฐ์วงศ์ จากการสำรวจพบว่ามีแหล่งโบราณคดีมากกว่า 10 แหล่ง ในจำนวนนี้มีแหล่งที่น่าสนใจ คือแหล่งโบราณคดี " ถ้ำหลังโรงเรียนทับปริก "
ในการสำรวจครั้งที่ 3 ศาสตราจารย์ ดร. ดักลาส แอนเดอร์สัน ได้ตัดสินใจเลือกถ้ำหลังโรงเรียนทับปริกเป็นแหล่งที่จะขุดค้นอย่างละเอียด ซึ่งจากการสำรวจพบว่าสภาพแวดล้อมบริเวณถ้ำ เป็นพื้นที่สูง น้ำท่วมไม่ถึงและมีเพิงกำบังลมและฝน เหมาะที่จะเป็นสถานที่พักชั่วคราวในปี พ.ศ. 2526 และ พ.ศ. 2528 ศาสตราจารย์ ดร. ดักลาส แอนเดอร์สัน ได้รับทุนสนับสนุนจาก สมาคมภูมิศาสตร์แห่งชาติ กรุงวอชิงตัน (The National Geographic Society) ในการขุดค้นถ้ำหลังโรงเรียน และได้ขุดลึกลงไปถึงชั้นดินที่ 10 จากการคำนวณอายุ โดยทางวิชาการในชั้นที่ 9 ให้อายุถึง 37,000 ปี แสดงถึงยุคที่น่าสนใจมากในการศึกษาพัฒนาการของมนุษย์ในเอเชีย เมื่อหมู่เกาะฟิลิปปินส์และอินโดนีเชียกับแผ่นดินใหญ่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นพื้นแผ่นดินติดต่อกัน เป็นยุคการอพยพครั้งแรกสุดของมนุษย์ลงไปทางใต้สู่นิวกินี และออสเตรเลีย และเป็นช่วงที่มนุษย์สมัยโบราณ (Homo Sapians) พัฒนามาจากมนุษย์โบราณ (Hominids)
ใน ปี พ.ศ. 2533 มีการขุดค้นเป็นครั้งสุดท้าย รวมหลักฐานทางโบราณคดีที่ค้นพบจากการขุดค้นมีทั้งหลุมฝังศพ โครงกระดูก เศษภาชนะดินเผาลายเชือกทาบ เครื่องมือหิน เครื่องมือจากเขาสัตว์และกระดูก รวมทั้งกระดูกสัตว์ขนาดใหญ่ เปลือกหอย และเมล็ดพืช หลักฐานทางโบราณคดีเหล่านี้ประมาณอายุได้ 43,000 ปี เป็นอย่างน้อย ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งศึกษาทางโบราณคดีเกี่ยวกับมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์ เพราะจากหลักฐานที่พบ คำนวณอายุได้ระหว่าง 43,000 -27,000 ปี ซึ่งอยู่ในยุคไพลสโตซีน (Plistocene) นับว่าเป็นชุมชนที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งเก่าแก่ที่สุดบนคาบสมุทรแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีมนุษย์อาศัยอยู่
แต่หลังจากนั้นไม่ได้หมายความว่าขุดหาวัตถุโบราณในพื้นที่จังหวัดกระบี่จะหยุดอยู่เท่านั้นยังคงมีการขุดค้นกันมาต่อ แต่เป็นกลุ่มคนกลุ่มอื่น จนกระทั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี้เองก็ได้มีข่าวว่ามีการขุดค้นพบลูกปัดและเครื่องประดับโบราณนานาชนิด
ทีนี่มาถึงหนังสือ “ลูกปัด ในอดีต-ปัจจุบัน” ของ ดร.พรชัย สุจิตต์ มีเนื้อหาที่เป็นการรวบรวมเรื่องราวของลูกปัดที่ได้มีโอกาสเก็บข้อมูลเกี่ยวกับแหล่งโบราณคดีต่างๆในประเทศไทยและจากการค้นคว้า โดยมีการนำเสนอเรื่องราวด้วยภาพลูกปัดตามยุคและสถานที่ต่างๆ พร้อมคำบรรยายเกือบจะครึ่งเล่น ถัดจากนั้นจึงเป็นเนื้อหาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของลูกปัดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ซึ่งก็มีรูปภาพและเนื้อหาเกี่ยวกับ "ลูกปัดสุริยเทพ" บรรจุไว้อย่างสมบูรณ์ ไม่ได้บอกชื่อว่าเป็น
"ลูกปัดสุริยเทพ"

สำหรับรูปภาพของ "ลูกปัดสุริยเทพ" และที่เกี่ยวข้อง ดร.พรชัย สุจิตต์ ได้บรรยายไว้ว่า ลูกปัดแก้วทำเป็นหน้าคน อาจมาจากแถวตะวันออกกลางหรือของโรมัน พบที่บริเวณเมืองท่าโบราณ อ.คลองท่อม จงกระบี่

ภาพถัดมาเป็นแผ่นหินคาร์นีเลียนแกะสลักเป็นรูปผู้หญิงศิลปะแบบโรมัน อาจใช้เป็นจี้ พบที่บริเวณเมืองท่าโบราณ อ.คลองท่อม จงกระบี่ เช่นกัน

และภาพสุดท้าย ชาวโฟนิเซีย (Phoenicia) โบราณนิยมผลิดลูกปัดแก้วและทำเป็นจี้ที่ทำเป็นรูปหัวคนและหัวสัตว์ เมื่อประมาณ 2,500 ปีกว่ามาแล้ว ลูกปัดประเภทนี้พบน้อยมาก โดยเฉพาะในตะวันออกกลาง ตัวอย่างนี้เป็นของปัจจุบัน สันนิษฐานว่ามาจากจีน โปรดสังเกตตัวตา ซึ่งจะทำให้คนร้ายเมื่อมองแล้วจะเกิดความกลัวผู้ที่ใช้จี้ประเภทนี้ห้อยคอ
ไม่แน่ใจว่าที่งานแสดงครั้งนี้มีลูกปัดของชาวโฟนิเซียแสดงคู่กับ "ลูกปัดสุริยเทพ" หรือไม่ ถ้ามีก็อาจจะทำให้คนที่ฉกไปรู้สึกกลัวแล้วไม่กล้าฉกและไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นก็ได้นะ

วันเสาร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2552

หวังกระแสฉกลูกปัดสุริยเทพ(Bead)ดันธุรกิจเครื่องประดับกลับมาฟีเวอร์


สภาพเศรษฐกิจที่บีบรัดด้วยลำพังเงินเดือนสามีที่ต้องแบกรับภาระจิปาถะของสมาชิกรวม 4 ชีวิต บางครั้งขัดสน โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกทั้งสองซึ่งอยู่ในวัยเรียน เป็นเหตุให้ วารินทร์ สมพงษ์ วัย 34 ปี ดิ้นรนทุกวิถีทางสร้างอาชีพเพื่อหารายได้จุนเจือครอบครัว จากลูกจ้างขายผ้า สู่พนักงานขายตรงแต่ชีวิตยังไม่ดีขึ้น กระทั่งลงตัวที่ "ร้อยลูกปัดแก้วญี่ปุ่น" หลากสไตล์ ขายทั้งปลีกและส่งเพราะมีลูกค้าอุดหนุนอย่างต่อเนื่อง
วารินทร์ย้อนให้ฟังก่อนมาจับงานร้อยลูกปัดว่า ชีวิตของตนไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ต้องดิ้นรนขวนขวาย และต้องหนักเป็นสองเท่าเพราะความรู้น้อย ดังนั้นงานที่ทำจึงมักหนีไม่พ้นการเป็นลูกจ้าง โดยเฉพาะการเป็นลูกจ้างขายผ้าที่ย่านบางลำภู ซึ่งที่นี่วารินทร์บอกเป็นเสมือนโรงเรียนให้ความรู้ด้านงานเย็บปักถักร้อย เมื่อว่างเธอจึงฝึกปรือฝีมืออยู่ตลอด
"ลูกๆ ไม่มีคนดูแล สามีให้ลาออกมาเป็นแม่บ้าน ปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ รายได้ครอบครัวไม่พอรายจ่ายจึงอาศัยความรู้เดิมรับตัดเย็บเสื้อผ้า เมื่อว่างก็จะร้อยลูกปัดทั้งสร้อย แหวน กำไลขาย ช่วงนั้นสามีเป็นนักข่าวประจำรัฐสภา ทำให้มีออเดอร์จากเพื่อนๆ และข้าราชการ รายได้ตกเดือนละ 2,000-3,000 บาท" วารินทร์ บอก
พร้อมเล่าอีกว่าแม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นแต่เมื่อยังไม่มีประสบการณ์และไม่มีเงินลงทุน เธอจึงหันไปยึดอาชีพขายตรง ทั้งเครื่องสำอาง อาหารเสริม อยู่ระยะหนึ่งทำให้เหินห่างจากการทำเครื่องประดับ แต่พอลูกทั้งสองเข้าโรงเรียนทำให้มีเวลาว่าง เธอจึงไปทำงานที่สหกรณ์บางลำภูในตำแหน่งพนักงานทำความสะอาด เมื่อ 2 ปีที่แล้ว
"เห็นแม่ค้าที่ขายของรอบๆ สหกรณ์ร้อยสร้อยลูกปัดแก้วญี่ปุ่นจึงสนใจ ให้เขาแนะนำการร้อยให้ หัดอยู่ 2-3 วันก็ขึ้นเส้นได้ จากนั้นก็นำกลับไปทำที่บ้านช่วงแรกๆ วันหนึ่งจะร้อยได้เส้นเดียว เมื่อใส่ตะขอใส่ห่วงแล้วจะดูสวยงาม ยิ่งถ้าเป็นลูกปัดสีทองจะสวยมาก" วารินทร์ แจงและว่า เมื่อเสร็จก็จะขายให้ญาติและคนรู้จัก ถ้าเป็นลูกปัดสีทองยาว 22 นิ้ว เส้นละ 700 บาท ยาว 15 นิ้ว 500 บาท และลูกปัดธรรมดา 100 บาท ทำให้มีออเดอร์เข้ามาพอสมควร
เธอเสริมอีกว่ายิ่งช่วงที่ผ่านมาจตุคามรามเทพฟีเวอร์ สามีจึงได้นำเสนอขายบนอินเทอร์เน็ตตามเวบไซต์ต่างๆ ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีและมีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีรายได้ตกเดือนละ 5,000-6,000 บาท พร้อมยังได้นำไปเสนอกับร้านที่ขายเครื่องประดับตามห้างสรรพสินค้าด้วย
"เมื่อคนให้ความสนใจกันมาก จึงมีคนถักมากขึ้น ทำให้ลูกปัดแก้วญี่ปุ่นขาดตลาด เราจึงหาลูกปัดแบบอื่นมาทำแทน ทั้งสร้อยพระ สร้อยจตุคามฯ แหวน กำไล ต่างหู สร้อยหินสีแฟชั่น โดยไปซื้อวัตถุดิบที่สำเพ็ง วังบูรพา และสวนจตุจักร ขณะที่สไตล์ก็จะศึกษาจากหนังสือแฟชั่น และเวบไซต์เกี่ยวกับเครื่องประดับที่สามีรวบรวมไว้"
เมื่อจตุคามรามเทพหายฟีเวอร์ก็ยังคงรับร้อยลูกปัดเรื่อยมาแม้นว่ารายได้จะลดลงไปบ้าง มาช่วงนี้มีกระแสข่าว"ลูกปัดสุริยเทพ" ถูกโจรกรรมไปจากงานแสดงที่ อาคารนิทรรศการหมุนเวียน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม อาจะทำให้ความนิยมในการใส่เครื่องประดับที่ทำจากลูกปัดแก้ญี่ปุ่นเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวิกฤติเศรษฐกิจและทองแพงเช่นนี้ก็สามารถใส่แทนไปก่อนได้
"การทำเครื่องประดับขาย นอกจากตัวเองมีความสุขแล้ว ยังทำให้คนที่ซื้อไปใส่มีความสุขด้วย" นั่นเป็นคติประจำใจที่"วารินทร์" ยึดเหนี่ยว แต่หากท่านใดสนใจงานฝีมือของเธอ ซึ่งทุกชิ้นการันตีแฮนด์เมด กริ๊งกร๊างไปได้ที่ 086-8997-351, 08-1558-3865 หรือติดต่อโดยตรงที่ 65/76 หมู่ 2 ต.บางใหญ่ อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี

หรือลูกปัดสุริยเทพจะกลายเป็นของสะสมยอดฮิตสำหรับคุณชายตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) สำหรับคุณผู้หญิงไปแล้ว

ณ วินาทีนี้บรรดาเครื่องประดับหรือของสะสมคงจะไม่ฮิตเท่ากับ “ลูกปัดสุริยเทพ” ที่ถูกโจรกรรมไปจากงานแสดงที่ อาคารนิทรรศการหมุนเวียน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม เมื่อวันที่ 4 มี.ค.ที่ผ่านมา
แต่จะการดูกล้องวงจรปิดของตำรวจแล้วน่าจะเป็นนักสะสมของเก่าและคงไม่ใช่ผู้หญิงแต่เป็นผู้ชายอย่างแน่นอน จึงทำให้เกิดความคิดว่า “ลูกปัดสุริยเทพ” จะกลายเป็นของสะสมที่นิยมสำหรับคุณชายไปแล้วหรืออย่างไร ในขณะที่ตุ๊กตาบลายธ์(Blythe) กำลังเป็นของสะสมยอดฮิตสำหรับคุณผู้หญิงและราคาขณะนี้ก็ใกล้เคียงกัน
และเมื่อพิจารณาจากรูปลักษณะของสะสมทั้งสองอย่างนี้แล้วก็มีลักษณะที่คล้ายกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่ตา “ลูกปัดสุริยเทพ” นั้นเจ้าของลูกปัดที่หายไปคือ โดย นพ.บัญชา พงษ์พานิช ได้กล่าวไว้คอลัมน์ (แกะ) รอยลูกปัด ๑ สุริยเทพที่คลองท่อม ทางหนังสือพิมพ์มติชนรายวันฉบับวันที่ 01 มีนาคม พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมานี้เอง บอกว่า “ลูกปัดสุริยเทพ” มีรายงานการค้นพบที่ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ เท่านั้น เป็นลูกปัดแบนกลม หน้าคนตาโตปากเม้มเป็นเส้นตรง ในวงเส้นประสีดำพร้อมกับมีเส้นรัศมีรอบนี้
แรกพบที่ คลองท่อม ก็เรียกชื่อกันตรงไปตรงมา ว่า "ลูกปัดหน้าคน" แต่เมื่อดูกันไปมาและมีพบเรื่อยๆ นับสิบเม็ดพร้อมกับการพบสิ่งอื่นๆ ที่ล้วนแต่แปลกตา ทำให้ใครๆ พากันจินตนาการจนออกมาอย่างหาที่มาไม่ได้ นอกจากคำอธิบาย ว่าเพราะเหมือนขนนกที่คนเผ่าอินเดียนแดงนิยมใส่ประดับศีรษะจึงพากันเรียกว่า "หน้าอินเดียนแดง" อยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะได้ชื่อใหม่ที่ใช้ในทุกวันนี้ว่า "สุริยเทพ"
เท่าที่เล่ากันก็ไม่ทราบเช่นกันว่าใครเป็นคนเริ่มเรียกชื่อนี้ มีแต่คำอธิบายขยายความว่าเป็นหน้าคนในดวงอาทิตย์ที่กำลังสาดแสง พร้อมกับเท้าความยาวไปถึงดินแดนโบราณอย่างมายา และอินคา ในทวีปอเมริกา ที่นิยมมีเทพสุริยะหรือสุริยเทพ (Sun God) เป็นเทพสำคัญ จนกระทั่งถึงอียิปต์โบราณที่นิยมบูชาเทพอาเท็น (Aten) หรือพระอาทิตย์ นี้เช่นกันสุริยเทพ ที่คลองท่อมนี้ ทำจากแก้วด้วยวิธีโมเสค (Mosaic Technique) คือเอาแก้วสีขาวและสีดำมาเรียงเป็นรูปใบหน้า ตา ปาก จุด และเส้นรัศมีแล้วหลอมด้วยความร้อนจนอ่อน จึงดึงยืดเป็นท่อนยาวที่มีรูปหน้าตัดเป็นใบหน้าคนยาวตลอดความยาวของท่อน ก่อนจะตัดเป็นแว่นๆ แล้วเจาะรูสำหรับร้อย
แต่ละเม็ดจึงมีรูปหน้าคล้ายกันหากตัดจากท่อนแก้วเดียวกัน ส่วนสีแดงและเขียวที่เหมือนเคลือบอยู่อีกชั้นหนึ่งนั้น ยังไม่มีการศึกษารายงานว่าทำด้วยวิธีใด แต่ถึงขณะนี้ปริศนาใหญ่ในโลกนี้อยู่ที่ยังไม่เคยมีรายงานการพบ “ลูกปัดสุริยเทพ” แบบนี้ที่ไหนอีกเลย นอกจากที่คลองท่อมแห่งเดียวเท่านั้น มีจำนวนหลายสิบเม็ดจึงยังไม่สามารถศึกษาเทียบเคียงกับสิ่งใดนอกจากลูกปัดหน้าคนแบบอื่นซึ่งมีพบของสมัยโรมัน เมโสโปเตเมีย และอัฟกานิสถานโบราณ
ขณะเดียวกัน ตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) มีลักษณะโดดเด่นที่ตาโตเช่นเดียวกัน เป็นที่นิยมสะสมของหมู่ดาราและไฮโซทั้งหลายแม้นจะมีราคาสูงถึง 6 หลักเช่นเดียวกันก็ตาม ซึ่งนิตยสาร OHO รวบรวมนักสะสมตุ๊กตาบลายธ์ (Blythe) เอาไว้ ผู้ที่มีมากที่สุดเป็นจะเป็นนักสะสมคนแรกๆคือ”ชมพู”อารยา เอ ฮาร์เก็ต มีร้อยตัวกว่าแล้วขณะเดียวกันก็ได้เปิดร้านจำหน่ายด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะรวยได้ถึงไหนเน้อ...อิอิ
รองลงมาก็คือ”เก๋”ชลลดา เมฆราตรี มี 35 ตัว “เอมมี่”มรกต กิตติสาระ 11 ตัว “เมย์”อรวรรษา ฐานวิเศษ 3 ตัว ขณะที่ ”นุ่น”วรนุช วงษ์สวรรค์ และแก้ม เดอะสตาร์ มีคนละตัว แต่ความจริงแล้วดาราและไฮโซก็มีหลายคนแล้วเน้อ
ก็คงต้องติดตามกันต่อไปว่าตำรวจจะสามารถตามหาตัวคนร้ายโจรกรรม“ลูกปัดสุริยเทพ” ไปจากงานแสดงที่ อาคารนิทรรศการหมุนเวียน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยามได้หรือไม่
หรือว่าเป็นการสร้างกระแสโปรโมทหนังสือที่มีการจัดพิมพ์เรื่องลูกปัดและกำลังมีการสั่งจองกันอยู่ขณะนี้ ถ้าไม่มีเจตนาก็ต้องขออภัยด้วย อาจจะมองด้วยวิจิกิจฉามากเกินไป ซึ่งก็ต้องขออนุโมทนาด้วย
แต่ถ้าหากใช่ก็ต้องบอกว่าคนวางแผนประกอบด้วยอกุศลจิตโดยแท้ ซึ่งเป็นการตั้งข้อสงสัยเท่านั้น และกระแส “ลูกปัดสุริยเทพ” จะฮิตสู้ความนิยมในตัวตุ๊กตาบบลายธ์ (Blythe) ได้หรือไม่

"ลูกปัดสุริยเทพ"2พันปีถูกฉกจากมิวเซียมสยามโปรโมทหรือทำลาย

ทันทีที่ทราบข่าว่า "ลูกปัดสุริยเทพ" อายุกว่า 2 พันปีจากงานแสดงหินและลูกปัดโบราณ อาคารนิทรรศการหมุนเวียน สถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 4 ถนนสนามไชย แขวงพระบรมหาราชวัง เขตพระนคร กทม. ถูกโจรกรรม เมื่อเวลา 20.00 น.ของวันที่ 5 มี.ค. ได้สร้างความสนใจให้กับคนทั่วไปไม่น้อย บ้างคนอาจจะจิตนาการเหมือนกันกการโจรกรรมงานแสดงเพชรเครื่องประดับล้ำค่าที่มีการนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ให้ชมกัน
หลายคนคงได้ไปชมงานแสดงนี้แล้วและก็มีอีกหลายคนเช่นเดียวกันที่ยังไม่เคยไปและไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า มิวเซียมสยาม อยู่ที่ไหนเป็นมาอย่างไร รวมถึงความเป็นมาของ "ลูกปัดสุริยเทพ"
แต่หลังจากมีข่าวนี้เกิดขึ้นทำให้หลายคนหันมาสนใจศึกษาประวัติศาสตร์ความเป็นมาของ มิวเซียมสยาม หรือสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ ทำให้ทราบว่า อาคาร มิวเซียมสยามก็คือกระทรวงพาณิชย์เดิม หลังจากที่กระทรวงพาณิชย์ได้ย้ายไปอยู่ย่านสนามบินน้ำ ก็ได้มีการปรับปรุงเป็นพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ หรือ มิวเซียมสยาม ถือฤกษ์เปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. พ.ศ. 2551 โดยเป็นพิพิธภัณฑ์ที่ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องแบบโต้ตอบโดยใช้ตัวละคร 7 ตัวเป็นตัวกลาง
มิวเซียมสยาม แบ่งออกเป็น 3 ชั้น ชั้น 1 ประกอบด้วยห้องฉายภาพยนตร์สั้นเพื่อนำเข้าสู่การชมมิวเซียมสยาม ผ่านตัวละครต่าง ๆ และห้องแสดงวัฒนธรรม เอกลักษณ์ของไทย หรือเรียกว่าห้องไทยแท้ ชั้น 2 แสดงเนื้อหาเกี่ยวกับความเป็นมาของประเทศสยามตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ขณะที่ชั้นที่ 3 แสดงตำนานความเป็นมาของสุวรรณภูมิ ห้องพุทธิปัญญา ห้องกำเนิดสยามประเทศ และตำนานกำเนินกรุงศรีอยุธยา รวมถึงห้องแสดงการรบสมัยกรุงศรีอยุธยา
จะเห็นได้ว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉก "ลูกปัดสุริยเทพ" อายุ 2 พันปีถูกฉกจาก มิวเซียมสยาม เช่นนี้เกิดขึ้นคนไทยได้หันมาสนใจประวัติศาสตร์ชาติไทยมากขึ้น และเข้าใจว่า มีหลายคนพาลูกหลายไปชมเหตุการณ์จริงถึง มิวเซียมสยาม ให้เห็นกับตาเลยว่า ที่ของ "ลูกปัดสุริยเทพ" ที่ถูกฉกหรือถูกโจรกรรมนั้นตั้งอยู่ตรงไหน คงจะทำให้ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์เพิ่มเติมอีกอย่างมาก ไม่สามารถที่จะศึกษาได้ทางตำราเรียนหรือเป็นเพราะมีการทุจริตตำราเรียนเกิดขึ้นทำให้ยัดเยียดเนื้อหาอะไรก็ไม่รู้ให้นักเรียนเรียน ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการเรียนการสอนหรือความรู้นั้นไม่จำเป็นจะต้องการยึดติดกับตำรา ซึ่งพระท่านก็สอนในหลักกาลามสูตรอยู่แล้วนะ

http://www.kanchanapisek.or.th/kp8/culture///krb/krb101.html
เมื่อเข้าไปถึง มิวเซียมสยาม คงได้ความรู้เพิ่มเติมว่า “ลูกปัดสุริยเทพ" มีความเป็นมาอย่างไร แม้นว่าเมื่อเกิดเหตุการณ์ฉกเกิดขึ้น นายรณฤธิ์ ธนโกเศศ หัวหน้าฝ่ายพิพิธภัณฑ์และกิจกรรม ก็ได้บอกว่า “ลูกปัดสุริยเทพ" เป็นหินโบราณที่ทางพิพิธภัณฑ์ได้ขอยืมมาจาก นายแพทย์บัญชา พงศ์พานิช เพื่อนำมาโชว์ในงานแสดง โดยนักสะสมต่างกล่าวขานกันว่า “ลูกปัดสุริยเทพ” เพราะมีลักษณะเป็นหินที่เกิดเองตามธรรมชาติ ค้นพบในพื้นที่ อ.คลองท่อม จ.กระบี่ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 1 เซ็นติเมตร
นอกจากนี้ยังมีลวดลายคล้ายรูปหน้าตาของเทพเจ้าชนเผ่าอินเดียแดง อยู่ตรงกลาง รอบ ๆ หินมีขอบสีเขียวและสีแดงสลับกันคล้ายสีของเครื่องแต่งกายนักรบโบราณ คาดว่าหินที่สูญหายไปนี้มีอายุประมาณไม่ต่ำกว่า 2,000 ปี และไม่สามารถตีมูลค่าเป็นตัวเงินได้ แต่ตำรวจก็ได้ตรวจสอบมูลค่าและประเมินราคา “ลูกปัดสุริยเทพ" จากตลาดคนที่เล่นของจำพวกนี้แล้วพบว่ามีราคาอยู่ที่ราวๆ 1.5 แสนบาท
พร้อมกันนี้ “ลูกปัดสุริยเทพ" ในหมู่นักเล่นแร่แปรธาตุและผู้ต้องการสะสมของเก่า ต้องการมีไว้ในครอบครองเพราะเห็นว่า เป็นของศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติที่หายากและเนื่องจากเชื่อกันว่า หากใครได้ครองครองหินดังกล่าวจะมีโชคลาภ และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บอีกด้วย
แม้นว่าจะมีการตีราคา “ลูกปัดสุริยเทพ" เพียง 1.5 แสนบาท แต่มูลค่าทางประวัติศาสตร์ชาติไทยแล้วหาค่าไม่ได้จริงๆ เพราะจากการค้นข้อมูลจากเว็บไซต์ฐานข้อมูลพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่นในประเทศไทยของเว็บไซต์คมชัดลึกพบว่า “ลูกปัดสุริยเทพ" เป็นลูกปัดหน้าคน สันนิษฐานว่าเป็นรูป "พระสุริยเทพ" ทำจากแก้วหลอม และเศษแก้วหลายสี บางก้อนมีเศษลูกปัดติดอยู่ในเนื้อแก้ว จึงสันนิษฐานว่า ควนลูกปัดใน อ.คลองท่อม จ.กระบี่ อาจเคยเป็นแหล่งผลิตแก้วและลูกปัด ตราประทับที่จารึกด้วยอักษรปัลลวะ อายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 10-12
นอกจากนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม พบว่าแหล่งคลองท่อม หรือควนลูกปัด เป็นสถานที่สำคัญในเชิงประวัติศาสตร์โบราณคดี วัตถุโบราณส่วนหนึ่งเก็บไว้ที่พิพิธภัณฑ์วัดคลองท่อม ซึ่งคำว่า "ควนลูกปัด" เป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียก เมื่อมีการค้นพบลูกปัดแก้วสีต่างๆ บนเนินดินบริเวณนี้ สมัยก่อนไม่มีใครสนใจ เพราะเห็นว่าไม่มีค่าอะไร หรืออาจเห็นว่าเป็นของโบราณ เกรงจะเกิดอาเพศตามความเชื่อ จึงเรียกบริเวณนี้ว่า ควนลูกปัด ส่วนชื่อ "คลองท่อม" เป็นชื่ออำเภอ ตั้งขึ้นตามชื่อ "คลองท่อม" ที่ไหลผ่าน ส่วนประวัติทางโบราณคดีนั้น พบว่ามีหลักฐานการเข้าอยู่อาศัยของมนุษย์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มประวัติศาสตร์ และมีการพบวัตถุสมัยก่อนประวัติศาสตร์ด้วย สันนิษฐานว่าเป็นการสืบทอดวัฒนธรรมจากสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กลุ่มคนที่เข้ามาตั้งถิ่นฐานบนเนินดินคลองท่อมคงเป็นคนพื้นเมืองที่อาศัยอยู่ตามป่าเขาใกล้เคียง
เพราะจากหลักฐานต่างๆ จากบริเวณอ่าวพังงาลงมาถึงบริเวณเขาขนาบน้ำ ถ้ำเสือ ถ้ำหลังโรงเรียนทับปริก ถ้ำอ่าวโกบหน้าเชิง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ทั้งสิ้น ชุมชนคลองท่อมอยู่ใกล้ทะเล มีลำคลองไหลผ่าน อยู่ในเส้นทางการเดินทางข้ามแหลมจากตะวันตกไปตะวันออก เป็นที่เดินทางผ่านไปมาของบรรดาพ่อค้าต่างๆ เช่น อินเดีย อาหรับ เปอร์เซีย เป็นต้น

แหล่งคลองท่อม หรือควนลูกปัด ยังพบหลักฐานทางโบราณคดีที่ปรากฏจำนวนมาก ทั้งวัตถุที่ทำด้วยหิน แก้ว ดินเผา สัมฤทธิ์ เงิน และทองคำ โดย “ลูกปัดสุริยเทพ" ดังกล่าวถือเป็นวัตถุที่ทำด้วยแก้ว มีลักษณะพิเศษคือ เป็นลูกปัดหน้าคน ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า "หน้าอินเดียนแดง" สันนิษฐานว่าจะเป็นรูปพระสุริยเทพ โดยได้รับอิทธิพลจากแถบเมดิเตอร์เรเนียน
ขณะเดี่ยวกันพื้นที่ที่ค้นพบ “ลูกปัดสุริยเทพ" นั้นก็ได้มีชาวบ้านได้ขุดและค้นเพราะพบอยู่เสมอ อย่างเช่นล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผานมานี้ก็ได้มีการขุดพบลูกปัด และเครื่องประดับโบราณนานาชนิดทำด้วยหิน แก้วโมเสค ทองคำ พร้อมอุปกรณ์การผลิต เงินตรานานาชาติ อาทิ เหรียญทองคำของจักรพรรดิแห่งโรมัน เหรียญสำริดราชวงศ์ถังของจีน ในแหล่งโบราณคดีทุ่งตึก ตั้งอยู่หมู่ที่ 4 ต.เกาะคอเขา อ.ตะกั่วป่า จ.พังงา ชาวบ้านในพื้นที่เรียกว่า "เหมืองทอง" และที่ ต.คลองท่อม อ.คลองท่อม จ.กระบี่
ในครั้งนั้น นพ.บัญชา พงษ์พานิช เจ้าของ “ลูกปัดสุริยเทพ” ที่ถูกฉก ก็ได้แสดงความเห็นผ่านทางมติชนออนไลน์ว่า ลูกปัดแก้วโมเสคและลูกปัดตาตะกั่วป่าและ “ลูกปัดสุริยเทพ "คลองท่อม" ทำด้วยเทคนิคพิเศษชั้นสูง เริ่มพัฒนาครั้งแรกในดินแดนอียิปต์โบราณ อาณาจักรโรมัน และดินแดนตะวันออกกลางโบราณเมื่อประมาณ 2,000 ปีก่อน จนกระทั่งแพร่หลายอย่างมากอยู่ระยะหนึ่ง

"การพบลูกปัดเหล่านี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญในด้านการศึกษาค้นคว้าทั้งทางวิชาการ ประวัติศาสตร์ โบราณคดีตลอดจนการส่งเสริมการผลิตและการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก หากทางการ ท้องถิ่น และจังหวัดจะร่วมกันนำมาใช้ประกอบการศึกษาส่งเสริมและพัฒนาอย่างจริงจัง" นพ.บัญชากล่าว
พร้อมกันนี้ยังทำให้ทราบถึงวิวัฒนาการณ์ของลูกปัดแก้ว (Bead) ขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องประดับ บ่งชี้ถึงสถานะทางสังคม เป็นเครื่องรางของขลัง สื่อกลางในการแลกเปลี่ยนพิธีกรรม รวมทั้งเป็นสินค้า เนื่องจากนักโบราณคดีพบร่องรอยลูกปัดที่เก่าแก่ราว 45,000 ปี อย่างเช่นลูกปัดแก้วน้ำเคลือบ ผลิตขึ้นในอียิปต์ราว 4,500 ปีก่อน เป็นลูกปัดเนื้อทรายเคลือบด้วยเนื้อแก้วสีฟ้า โดยใช้เทคนิกการหลอมผิวทรายชั้นนอกส่วนลูกปดัที่ผลิตจากจีน ในยุคโบราณ มีลักษณะเหมือลูกปัดแก้วตา ใช้เทคนิกซับซ้อน ทำจากลูกปัดแก้วสีเดียวที่นำแผ่นแก้วมาหลอมรูปกลมซ้อนทับทำให้เกิดลายคล้ายดวงตาแล้วนำมาปะติดกับก้อนแก้
สำหรับลูกปัดแก้วนั้น หลังจากมนุษย์รู้จักวิธีการหลอมทรายเป็นแก้ว ได้พัฒนาเทคนิกใส่ผงแร่ให้เกิดสีสันสวยงาม จากนั้นทำลวดลาย ม้วน พัน พับ ดึง หลอมและหล่อ ตลอดจนตัดแปะกระทั่งกลายเป็นลูกปัดแก้วโมเสกในสมัยโรมันและไบเซนไทน์ ขณะที่ทองคำถูกนำมาทำเป็นลูกปัดแก้วด้วยรูปแบบหลากหลายในแทบทุกอารยธรรมโบราจนกระทั้งปัจจุบันสามารถพัฒนาเป็นลูกปัดแก้วสามารถถูกที่มีลักษณะเหมือนทอง สามารถหาซื้อใส่แทนทองได้แบบไม่เก้อเขิน โดยเฉพาะอย่างยิงลูกปัดแก้วญี่ปุ่น ดูตัวอย่าง
ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้เขียนบทความเรื่อง”ปริศนาแห่งลูกปัด”ทางหนังสือพิมพ์โฟสต์ทูเดย์ อย่างเช่นความเห็นนี้
"เป็นเรื่องท้าทายครับสำหรับการค้นหาลูกปัด เพราะทฤษฎีเก่ากับทฤษฎีใหม่ก็ยังมีการนำมาถกเถียงเพื่อหาสรุปกันอยู่บ่อย สิ่งที่มันสะท้อนออกมามีหลายอย่างมาก แต่สำหรับผมความน่าสนใจ คือการเดินทางแบบที่สามารถเชื่อมโยงโลกใบนี้เอาไว้เสมือนอยู่ใกล้ๆ เรื่องลวดลาย หรือรูปแบบ แม้กระทั่งสัญลักษณ์ที่ปรากฏบนลูกปัดก็เป็นอะไรที่น่าเรียนรู้มากๆในมิติสะท้อนถึงอารยะ ลูกปัดให้คุณค่าเรื่องนี้เด่นชัด ไม่ว่าจะบริบทใดและมุมใดของโลก ความเป็นไปเป็นมาแต่ละแห่งแต่ละชนชาติ ถูกหลอมรวมไว้ในลูกปัดทั้งสิ้น ” นายทวีศักดิ์ วรฤทธิ์เรืองอุไร ผู้ช่วยภัณฑารักษ์ มิวเซียมสยาม บอก
พล.ร.อ.ฐนิธ กิตติอำพน ผู้อำนวยการมิวเซียมสยาม หรือสถาบันพิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ (สพร.) มองว่า เอกลักษณ์ของลูกปัดจะบอกอารยธรรมโบราณได้เป็นอย่างดี ทำให้เห็นการเชื่อมโยงยุคสมัย ซึ่งยังผลมาสู่โลกยุคใหม่ และขยายขอบเขตไปจนถึงบริบทต่างๆ
อย่างไรก็ตามสามารถศึกษาเพิ่มเติมได้จากพิพิพิธภัณฑ์ลูกปัดคลองท่อม หรือ "พิพิธภัณฑ์ลูกปัดโบราณ" ของผู้หญิงแกร่งนาม "ผู้ใหญ่เยิ้ม เรืองดิษฐ์" ซึ่งเป็นผู้ที่เก็บสะสมมาเป็นเวลาสิบปี อยู่หาดทรายแก้ว บ้านเลขที่ 103/1 หมู่ 1 ต.ท่าขึ้น อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
ดังนั้นการที่โจรเข้าไปฉก"ลูกปัดสุริยเทพ" อายุ 2 พันปีจาก มิวเซียมสยาม ครั้งนี้แม้จะทำให้รู้ศึกใจหายในความสูญเสีย แตะมองอีกด้านหนึ่งอาจจะเป็นชนวนให้คนไทยหันมามองดูประวัติศาสตร์ของตัวเองมากยิ่งขึ้นก่อนที่จะลืมกำพืดของตัวเอง ไม่แน่นะต่อไปนี้อาจจะมีคนคิดทำเหรียญสุริยเทพแล้วโปรโมทดังกว่าเหรียญจันทราเทพก็ได้นะ




Google