วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552

เปิดประมูล3จีล่าช้า"ใคร-อะไร"คือตัวถ่วง

การเปิดประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) 3จี มาถึงจุดที่ต้องรอให้ถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2553 ตามที่นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ หนึ่งในคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ออกมาคาดการณ์ไว้จากเดิมที่กำหนดไว้ประมาณปลายปี2552

กทช.ยังสงสัยอำนาจหน้าที่จัดประมูล3จี

เหตุผลใหญ่อยู่ที่ยังไม่ชัดเจนในอำนาจหน้าที่ของ กทช.ว่า มีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการประมูล ตามรัฐธรรมนูญปี2550หรือไม่ หรือว่าจะต้องรอให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ก่อน
ดังนั้น ในสัปดาห์หน้าประมาณวันอังคารหรือพุธ กทช. จะเรื่องนี้ก่อนทำหนังสือยื่นถามส่งไปยังผู้ตรวจการแผ่นดิน ก่อนยื่นสอบถามศาลรัฐธรรมนูญต่อไป


ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ประมาณกลางปี 2549 คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้ให้ความเห็นไว้ว่าสามารถให้ดำเนินการได้ นั้นเป็นความเห็นตามรัฐธรรมนูญปี 2540 และมีการคาดการณ์ไว้ว่าปี 2550 ประเทศไทยจะมี 3 จีใช้

แต่เมื่อมีการฉีกรัฐธรรมนูญปี 2540 และเขียนรัฐธรรมนูญปี 2550 ขึ้นมาโดยมีการรวมคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) และคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการวิทยุกระจายเสียงและวิทยุโทรทัศน์แห่งชาติ (กสช.)ตาม รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.)
ทั้งนี้คงไม่มีปัญญาตั้ง กสช. ขึ้นมาได้จึงจับมารวมกันเสียเลยง่ายดี และขณะนี้ร่างพ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียงวิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะประกาศใช้ได้เมื่อใด


ขณะเดียวกันหาก กทช.มีมติส่งเรื่องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเพื่อส่งเรื่องศาลรัฐธรรมนูญให้วินิจฉัย เมื่อเป็นเช่นนี้จริงก็ไม่มีความชัดเจนอีกว่าเมื่อใดถึงจะพิจารณาเสร็จ เพราะกรอบระยะเวลาการพิจารณาขององค์กรอิสระไม่มีความชัดเจน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างประกอบรวมถึงแรงบีบด้วย จึงไม่แน่ว่าเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้าจะได้เริ่มประมูลหรือไม่ตามที่นายเศรษฐพรระบุ

อย่ามองข้ามตัวถ่วงจากภาคการเมือง

หากสมมุติว่ากทช.สามารถเปิดประมูลเสร็จแล้วก็ใช้ว่าเอกชนจะสามารถดำเนินการได้ทันที เชื่อแน่ว่าพวกแรงต้านคงจะต้องดิ้นอย่างแน่นอน ซึ่งก็คงจะเห็นตัวอยู่แล้วว่าแรงต้านคือใครบ้างไม่ว่าจะเป็น ส.ส. ส.ว.หรือแม้นแต่สหภาพ ทีโอที และภาคเอกชน คงจะมีการเข็นเรื่องไปสู่ศาลปกครองอย่างแน่นอนอย่างที่มีการเข็นกันอยู่

ขณะเดียวกันเสียงจากรัฐบาลก็ดูเหมือนว่าจะเป็นแรงดึงอยู่ไม่น้อยทั้งๆรู้อยู่ว่า 3 จี จะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางก็ตาม เพราะจากเสียงของนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กทช. มีส่วนสำคัญต่อการเกิดประมูล 3 จี มีหน้าที่กำกับดูแลให้เกิดการแข่งขันเสรีและเป็นธรรม ดังนั้น จึงต้องหารือร่วมกับรัฐบาล กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ให้ได้แนวทางและข้อสรุปชัดเจนในประเด็นต่างๆ ก่อนประมูล 3 จี

"กทช.คงพูดว่าไม่ใช่บทบาทหน้าที่จะช่วยให้ บมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที อยู่รอดได้เมื่อมีบริการ 3 จี เพราะ กทช.ต้องทำให้ทุกคนได้รับความเท่าเทียมกันในการแข่งขัน และกระทรวงการคลัง แม้ว่าจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ทั้ง 2 องค์กรรัฐวิสาหกิจแต่ก็ต้องการให้มีบริการ 3 จีในไทย หากต้องเกิดความชัดเจนในเรื่องที่ค้างคาก่อน" นายกรณ์กล่าว

ทั้งนี้ 2 เรื่องหลักที่ กทช.จะต้องหารือร่วมกันเพื่อให้เกิดความชัดเจนก่อนประมูลคลื่นความถี่ 3 จี ได้แก่ เรื่องแรก การป้องกันไม่ให้เอกชนที่ได้ใบอนุญาต 3 จี ใช้โอกาสนี้โอนย้ายลูกค้า 2 จี ไปสู่ 3 จี ประการต่อมา กทช.ควรคิดมูลค่าอายุสัมปทานที่เหลือเป็นจำนวนปี และจ่ายเงินเข้ารัฐ ซึ่งรูปแบบรายละเอียด วิธีการต้องหารือร่วมกัน จึงจะเป็นการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดแก่ทุกฝ่ายก่อนเริ่มต้นแข่งขันในยุคใหม่ ของผู้ให้บริการมือถือด้วยการประมูลคลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิรตซ์

ทั้งๆที่รัฐบาลไม่มีอาจจะก้าวก่ายการดำเนินการของ กทช.เลยในทางปฏิบัติเพราะเป็นองค์กรอิสระ เพราะรัฐบาลก็มีสิทธิเพียงเสียงหนึ่งเหมือนกับประชาชนทั่วๆ ดังนั้นจะรอดูว่าเวทีประชาพิจารณ์วันที่ 12 พ.ย.นี้จะมีคนในรัฐบาลโผล่หน้าไปร่วมหรือไม่

กทช.กลายเป็นตัวถ่างเสียเอง

คณะองค์ของ กทช.จำนวน 7 คน มีการลาออกไป 1 คน และอีก 3 คนกำลังจะหมดวาระลงรวมถึงนายเศรษฐพรในวันที่ 12 พ.ย.นี้ และวุฒิสภาสรรหาคนมาแทนวันที่ 13 พ.ย.ตัดสินว่าจะเป็นใคร หาก กทช. คนใหม่ 3 คนไม่เห็นด้วยที่จะเร่งการประมูล
ก็คงจะมีการยื้อกันอีกเพราะนายเศรษฐพรเองก็ยอมรับว่า กทช.เองก็มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยอยู่ 1 เสียง
ประเด็นมั่นคง-ต่างด้าว-ถ่ายโอนลูกค้าไร้ปัญหา


ข้อเป็นห่วงของนายกรณ์และบมจ.กสท โทรคมนาคม และ บมจ.ทีโอที เกี่ยวกับการโอนย้ายลูกค้า 2 จี ไปสู่ 3 จี นั้น ในเวทีสัมมนา "โอกาสและอุปสรรค 3G ในประเทศไทย" ที่หนังสือพิมพ์เดอะ เนชั่น จัดขึ้นโดยมีผู้บริหารเอกชนที่จะเข้าประมูลเข้าร่วมอย่างพร้อมเพียง

ทั้งนายนฤพนธ์ รัตนสมาหาร ผู้บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ดีแทค นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทรูคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และนายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าการจะถ่ายโอนไม่ใช่สามารถทำได้ภายในวันสองวันซึ่งต้องใช้เวลาเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้าขณะเดียวกันประเด็นนี้นายเศรษฐพรก็ยังได้เปิดเผยว่าแผนพัฒนาพื้นความคลื่นถี่ของกระทรวงไอซีทีที่เสนอให้ครม.เห็นชอบเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2552 ที่กำหนดไว้ชัดเจนว่าเมื่อสิ้นสุดสัญญาสัมปทานแล้วลูกค้าก็จะถูกถ่ายโอนกลับ บมจ.กสท โทร
คมนาคม และ บมจ.ทีโอที เช่นเดิม


ข้อวิตกที่บริหารต่างชาติเข้าร่วมประมลไม่เปิดโอกาสให้บริษัทไทยได้เข้ามาดำเนินการอย่างความเห็นของนายศุภชัยนั้น "3 จี ควรคำนึงถึงประโยชน์ของคนไทยเป็นหลัก และเศรษฐกิจโดยรวมของไทย" หากพิจารณาตามนโยบายของรัฐบาล บีโอไอ หรือการเปิดเสรีโทรคมนาคม มีการส่งเสริมให้ต่างประเทศเข้ามาลงทุน เป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว ทั้งนี้ก็อยู่ว่าจะส่งเสริมให้บริษัทลูกไทยมีความเข้มแข็งเทียมประเทศต่างชาติอย่างไร

ขณะที่ประเด็นความมั่นคงนั้นนายวิเชียรได้ยืนยันว่า การดักฟังนั้นก็มีกฎหมายกำกับอยู่ชัดเจน ส่วนเรื่องราคานั้น กทช.ก็ได้มีการเคาะตัวเลขแล้วว่า การประมูลใบอนุญาต (ไลเซ่นส์) 3จี บนคลื่น 2.1 เมกะเฮิร์ตซ จำนวน 10 เมกกะเฮิร์ตซ ในราคา 4,600 ล้านบาท และ 15 เมกะเฮิร์ตซ ราคา 5,200 ล้านบาท แม้นว่าราคาถูกกว่าคลื่นความถี่ 3 จี ของ
อังกฤษซึ่งมีราคาคลื่นอยู่ทื่ 1 แสนล้านบาทนั้นเป็นเพราะคลื่นความถี่ของไทยไม่สามารถนำไปขายต่อได้ หรือถ้าหากจะโอนก็ต้องถามมายัง กทช. ก่อน ขณะที่คลื่นความถี่ของอังกฤษเป็นการประมูลในลักษณะขายขาดไปเลย ซึ่งก็น่าจะสมเหตุสมผล แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้ร่วมในเวทีสัมมนาก็คือ ความไม่ชัดเจนในหลายๆเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นระดับนโยบาย แผนงาน ฟังแล้วก็เศร้าใจ เมื่อถึงไฟลนก้นแล้วค่อยมานั่งเถียงกัน


ด้วยเหตุนี้ รศ.ดร.วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์ประจำภาควิชากฎหมายมหาชน คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ทุกคนสนับสนุนให้เดินหน้าผลักดัน 3 จี เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยมีความล่าช้ามามากแล้ว เพราะต้องคิดว่านี่คือประโยชน์สาธารณะอย่างหนึ่งที่ประชาชนจะได้รับโดยตรง


วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ส่อยืดยาวเปิดประมูล3จี(3G)ใครได้ผลประโยชน์แนะชะลอ

เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2552 ได้มีโอกาสไปนั่งฟังการเสวนาเรื่อง “ 3G ความถี่แสนล้าน : ประโยชน์ชาติหรือประโยชน์ใคร ?” ที่รัฐสภา ซึ่งจัดโดยคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพและการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมืองและการมีส่วนร่วมของประชาชน วุฒิสภา ร่วมกับมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค

มีบุคคลที่เกี่ยวข้องไปร่วมอย่างพอเพียง โดยเฉพาะด้านไอทีอาทิ นายเศรษฐพร คูศรีพิทักษ์ กรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) นายอนันต์ วรธิติพงศ์ ส.ว.สรรหา รองประธานคณะกรรมการการวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี การสื่อสารและการคมนาคม วุฒิสภา นายธัช บุษฏีกานต์ รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านกฎหมาย บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น

และคนไอทีก็มีเสียงเดียวกันว่า ควรเร่งรัดให้มีการดำเนินการเรื่อง 3 จีอย่างเร่งด่วน ซึ่งรัฐบาลก็ได้ประกาศนโยบายว่าจะส่งเสริมด้านการสื่อสารและสร้างความเท่าเทียมกัน แต่ที่ผ่านไม่มีความคืบหน้าในเรื่องนี้ ซึ่งตนเสียดายโอกาสนักลงทุนและเสียดายที่เงินที่จะเข้าสู่รัฐกว่า 300,000 ล้านบาท โดยที่รัฐไม่จำเป็นต้องออกพันธบัตรเพื่อระดมเงินเข้าสู่รัฐ

ขณะที่อีกฝากนักกฎหมายและนักคุ้มครองผู้บริโภคต่างก็มองว่าควรจะชลอไว้ก่อนเพราะยังไม่มีความชัดเจนหลายด้านและการเตรียมควรพร้อมอย่าง น.ส.สารี อ๋องสมหวัง ผู้จัดการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค มองว่า จะต้องมีการติดตามตรวจสอบ และจำเป็นต้องมีกลไกติดตามการดำเนินการอย่างชัดเจน โดยกระบวนการทั้งหมดควรให้ภาคประชาชนได้มีส่วนร่วม เพื่อเกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างแท้จริง

และนายสุขุม ชื่นมะนา ประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจบริษัท กสท จำกัด (มหาชน) มองว่า ยังมีปัญหาเรื่องอื่น ๆ อีก ทางสหภาพเห็นว่า รัฐควรชะลอการเรื่องนี้ออกไปก่อนจนกว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข ทั้งเรื่องข้อกฎหมาย สังคม และเศรษฐกิจ เพราะคลื่นความถี่ไม่ใช่ของคณะกทช.เพียง 3 คนแต่เป็นของประชาชน จึงขอให้ดำเนินการอยู่บนพื้นฐานของความเป็นธรรม

ขณะที่นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ บอกว่า ส่วนตัวไม่ได้คัดค้านโครงการ 3 จี เพราะเห็นว่ามีประโยชน์ต่อประชาชน แต่ขอตั้งคำถามว่า ทำไมต้องมีการเร่งดำเนินการ ขณะที่ยังไม่มีความชัดเจน ในเรื่องของอำนาจหน้าที่ของ กทช. ควรมีการเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน

ขณะที่นายเศรษฐพร กล่าวต่อท้ายว่า แม้นว่าจะการจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นของประชาชน ในวันที่ 12 พ.ย.แล้วไม่ใช่ว่าจะดำเนินการประมูลทันทีหรือภายในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งจะต้องนำข้อมูลมาประกอบการพิจารณากำหนดวันประมูลอีกทีหนึ่ง

จับจุดการพูดของนายเศรษฐพรและนายเดชอุดมก็พออนุมานได้ว่า การเปิดประมูลคงไม่เกิดขึ้นภายในปีนี้อย่างแน่นอน เพราะหาก กทช.จะดำเนินการเปิดประมูลจนกระทั้งได้ตัวตนผู้ได้รับประมูลก็ตามก็คงไม่ยุติเพียงเท่านี้ คงจะต้องดึงเรื่องไปสู่ศาลอย่างแน่นอนทั้งศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองอย่างที่เห็นๆกันอยู่

แต่ก็มีจุดที่น่ายินดีก็คือว่าเรื่อง 3 จีได้หยิบยกขึ้นสู่เวทีสาธารณะมากขึ้นแทบจะทุกวันเลยก็ว่าได้อย่างเช่นวันที่ 30 ต.ค.หนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นก็จะเสวนาเรื่องนี้โดยได้เชิญผู้บริหารทั้งทรู ดีเทค เอไอเอส นักกฎหมายผู้เกี่ยวข้องมาร่วมแสดงความเห็น ไปพร้อมๆ กับการพิจารณาร่างกฎหมายคลื่นความถี่ในชั้นกมธ.สภา

ขณะที่ฝ่ายปฏิบัติการก็ดำเนินการไปอย่างเช่น ทีโอที ได้ติดตั้งสถานีสัญญาณโครงข่ายโทรศัพท์ระบบ 3Gเสร็จแล้ว 514 สถานี จาก 548แห่ง พร้อมเปิดบริการ 3 ธันวาคมนี้ แต่ยังไม่กำหนดค่าบริการ

หากทุกฝ่ายดำเนินการโดยตั้งอยู่บนฐานของกุศลจิต ดำเนินธุรกิจด้วยหลักของสัมมาอาชีวะ ธุรกิจสีขาว ไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวเข้ามาเกี่ยวข้องแล้ว ก็เชื่อแนะว่าจะไปตามที่นายเศรษฐพรกล่าวไว้ในการเสวนาของวุฒิสภาว่า

"ยืนยันว่า กทช. จะต้องดำเนินการทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม นอกจากนี้ หากมีรายได้จากการประมูลก็จะส่งเป็นรายได้ของแผ่นดินทั้งหมด จึงเชื่อว่าการประมูลในครั้งนี้จะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด" กทช.ผู้นี้กล่าว

วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สัปดาห์หนังสือแห่งชาติหรืองานเปิดตัวหนังสือคนดัง

ใกล้จะสิ้นสุดลงแล้วสำหรับงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ที่จัดขึ้นทุกปีช่วงปิดเทอม ตั้งแต่เริ่มเปิดงานก็มีบุคคลโด่งดังเปิดตัวหนังสือของตัวเองเป็นระยะๆ

อ่านต่อ

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ศิริพงษ์ฆ่าแม่หั่นศพลูกหนาวศาลฎีกายืนประหาร"ชลอ"

เมื่อวันที่ 16 ต.ค. เป็นวันหวยออก ขณะเดียวกันก็เป็นวันที่ศาลฎีกาตัดสินลงโทษประหารชีวิต พล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศ อดีตผู้บัญชาการประจำกรมตำรวจ คดีอุ้มฆ่าแม่ลูกศรีธนขันธ์ ยืนตามศาลอุทธรณ์ นับได้ว่าเป็นวันสิ้นสุดของคดีนี้ที่ยืดยาวมานานกว่า 10 ปี ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเพชรซาอุฯในฐานะผู้จ้างวานฆ่าด้วยพฤติการณ์อุบัติเหตุทางรถ

รูปคดีนั้นถือได้ว่ามีส่วนคล้ายกับคดีฆ่าแม่หั่นศพลูกที่ผู้ก่อเหตุคือนายศิริพงษ์ กาญจนนิวิฐ คนขับแท็กซี่ ที่เข้ามอบตัวฆ่านางสุนันท์ ศรีสุวรรณ (มาคิโน) อายุ 38 ปี ทิ้งศพย่านวงแหวนตะวันตก และหั่นศพ ด.ช.โช มาคิโน บุตรชายของนางสุนันท์ และด.ญ.พิชญา จงงามวิลัย หรือน้องมินท์ อายุ 13 ปี บุตรสาวของนางสุนันท์ได้รับบาดเจ็บ ซึ่งตำรวจกำลังสืบสวนอยู่ขณะนี้ว่าจะขยายความไปได้มากน้อยเพียงใด

เบื้องต้นสรุปก่อเหตุประสงค์ต่อทรัพย์เพราะผู้ต้องหามีหนี้สินมากมายเพราะของนางสุนันท์หายไปหลายรายการหลังจากก่อเหตุและตำรวจก็ติดตามได้มาบ้างแล้ว
จากรูปของคดีก็คือจะอนุมานได้ว่าผลของการตัดสินจะออกมาอย่างไรก็คงมีสถานเดียวคือประหารชีวิต ก็เชื่อว่านายศิริพงษ์ก็คงจะรู้ชะตากรรมแล้วว่าจะเป็นอย่างไรดังนั้นก็เหลือแต่เพียงลมหายใจที่มีอยู่

หากปล่อยให้อกุศลจิตครอบงำก็มีอย่างเพียงคือนรกเป็นที่หวังทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ ก็คงทำตามที่แม่ของนายศิริพงษ์แนะนำคือนั่งสมาธิให้จิตสงบก็คงทำให้ชีวิตมีความสุขบ้างและสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือว่านายศิริพงษ์จะทนต่อภาวจิตที่เป็นทุกข์ไม่ไหวปลิดชีวิตตัวเองเสียก่อน แทนที่จะได้ทำความดีชดใช้ความชั่วที่ทำไปแล้ว ก็มีแต่จะไปชดใช้กรรมในนรกเท่านั้น ทั้งนั้นพระท่านถึงได้สติคือคุณธรรมค้ำจุนโลกหากมีสติบ้างก็คงไม่ก่อเหตุเช่นนี้

พระพุทธองค์ได้ตรัสโทษของความโกรธไว้ว่า “.....คนผู้โกรธ ถูกความโกรธครอบงำย่ำยีแล้ว แม้จะอาบน้ำ ไล้ทา ตัดผม โกนหนวด นุ่งผ้าขาวสะอาดแล้วกตาม... ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณทราม นอนเป็นทุกข์ มีแต่เสื่อมสถานเดียว มิตร อมาตย์ ญาติสายโลหิต ย่อมห่างไกล เมื่อตายไปย่อมเข้าถึง อบาย ทุคติ วินิบาตนรก"

ที่นี้จะแก้โกรธอย่างไรท่านก็แนะนำให้ นึกถึงผลเสียของความเป็นคนมักโกรธ พิจารณาโทษของความโกรธ นึกถึงความดีของคนที่เราโกรธ พิจารณาว่าความโกรธ คือการสร้างทุกข์ให้ตัวเอง พิจารณาความที่สัตว์มีกรรมเป็นของตน พิจารณาพระจริยาวัตรในปางก่อนของพระพุทธเจ้า พิจารณาความเคยเกี่ยวข้องกันในสังสารวัฏ พิจารณาอานิสงค์ของเมตตา พิจารณาโดยวิธีแยกธาตุ และปฏิบัติทาน คือ การให้หรือการแบ่งปันสิ่งของ

ก็ลองปฏิบัติดูลองปฏิบัติดูก็แล้วกันหากไม่ลองปฏิบัติแล้วเมื่อเกิดความโกรธแล้วจะแก้ไม่ทัน ก็เหมือนกระบี่ไม่มั่นลับแล้วจะคมได้อย่างไร เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้

วันพฤหัสบดีที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สะพัดทวิตเตอร์หลวงพ่อคูณปลงอายุสังขาร

หลังจากการอาพาธของพระเทพวิทยาคมหรือหลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เจ้าอาวาสวัดบ้านไร่ ต.กุดพิมาน อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา และเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลและแพทย์อนุญาตให้กลับวัดได้

จนกระทั้งล่าสุดมีการแจ้งทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์โดยผู้ใช้นามว่า @phichai โดยลงข้อความช่วงดึกของคืนวันที่ 16 ต.ค. ว่า "เมื่อวานนี้ (15ต.ค.) หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ แจ้งว่า ขอปลงอายุสังขาร -แปลว่า นับจากนี้ไป ไม่เกิน 3 เดือน ท่านจะมรณภาพ ครับ"

ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรนั้นคงต้องมีการตรวจสอบอีกครั้งหนึ่ง อย่างไรก็ตามก็มีการอธิบายคำว่า "ปลงอายุสังขาร" ไว้ว่า หมายถึงการกำหนดวันสิ้นสุดแห่งอายุสังขาร คือการกำหนดวันตายล่วงหน้านั่นเอง

ปลงอายุสังขาร เป็น คำที่ใช้กับพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ กล่าวคือพระองค์ทรงปลงพระทัยที่จะเสด็จปรินิพพานแน่นอน โดยตรัสแก่พญามารที่มาทูลเตือนให้เสด็จปรินิพพาน ขณะที่พระองค์ประดับที่ปาวาลเจดีย์ว่า

“ดูก่อนมารผู้ต่ำช้า ท่านจงขวนขวายให้น้อยลงเถิด ไม่ช้านี้แล้วตถาคตก็จักปรินิพพานต่อจากนี้ไปอีก ๓ เดือน ตถาคตก็จักปรินิพาน”

อย่างไรก็ตามก็จะมีคำว่า "ปลงสังขาร" หมายถึงการฌาปนกิจศพพระเถระ หรือเป็นสำนวนวัด หมายถึงพิจารณาว่าเราจะต้องตายเป็นแน่แท้

ปลงสังขาร เป็น การปล่อยวางสังขารร่างกายของตน ไม่ยึดติดในสังขาร โดยพิจารณาเห็นความจริงของสังขาร หรือของชีวิตว่าเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่อาจให้แน่นอน คงทน และบังคับบัญชาให้เป็นไปตามที่ต้องการได้ เมื่อเห็นความจริงเช่นนี้แล้วก็ปล่อยวางได้

ก็ขอให้พิจารณาเป็นมรณสติก็แล้วกัน

หลักมิตรแท้มิตรเทียมป๋าเปรมเปิดใจถึงเพื่อนบิ๊กจิ๋ว

ไม่บ่อยครั้งนักที่พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ จะให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวยือยาว และวันที่ 15 ต.ค ที่สโมสรกองทัพบก ถนนวิภาวดี ก็เป็นอีกวันหนึ่ง ที่ได้เปิดใจถึงกรณีที่พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรีกล่าวพาดพิงถึง ซึ่งพล.อ.เปรมใช้คำว่า "เพื่อน" หลายคำและใช้คำฉันท์เพื่อนดังนี้

" จิ๋วกับผม เป็นเพื่อนรักกันมานานหลายปีแล้ว และต่างคนก็ต่างทำงานให้กันและกันมา ดังนั้นความเป็นเพื่อนระหว่าง ผมกับจิ๋วคงยังอยู่ ฉะนั้นที่มีคนพูดว่า ผมก็ไม่รู้ว่าใครพูดซึ่งก็ไม่ทราบ อาจจะเป็นจิ๋วพูดเองก็ได้ ว่าเขาไปลาบวช แล้วผมก็ไม่ให้ลา ซึ่งอันนี้มันไม่ใช่เพื่อนแล้วหละ เมื่อเพื่อนเขาจะไปลาบวชก็จะต้องให้อโหสิกรรม ซึ่งเรื่องจริงๆ ผมไม่ทราบ ว่าเขาจะบวชจนบัดนี้ผมยังไม่รู้ว่า เขาบวชที่ไหนเมื่อไหร่

ดังนั้นผมขอจะเรียนความจริงให้ทราบว่าเรื่องมันเป็นแบบนี้ ส่วนเรื่องที่มีคนไปเขียนลงในหนังสือพิมพ์ในทำนองว่า ผมไปว่าเขาเป็นคนทรยศต่อชาติ ซึ่งอันนี้มันก็ไม่ถูกต้อง แต่สิ่งที่ถูกต้องคือ วันนั้นก่อนที่จิ๋วจะไปสมัครเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยผมก็ให้คนไปบอกเขาว่าจะทำอะไรก็ขอให้คิดให้รอบคอบ ไตร่ตรองให้รอบคอบ ซึ่งผมใช้คำว่าไตร่ตรองให้รอบคอบ ไม่อย่างนั้นมันจะกลายเป็นการกระทำที่เป็นการทรยศต่อชาติ นี่เป็นข้อความที่ผมสื่อไป ไปถึงจิ๋วในตอนเช้าวันนั้น ซึ่งผู้สื่อข่าวนี้ เขาก็มายืนยันว่าเขาสื่ออย่างที่ผมพูด เพราะว่าเขาจดที่ผมขอให้เขาสื่อ เพราะฉะนั้น ผมไม่ได้กล่าวหาว่า เขาเป็นคนไม่ดีทรยศต่อชาติบ้านเมือง มันไม่ใช่"

พล.อ.เปรม กล่าวอีกว่า มีเรื่องที่เกี่ยวกับจิ๋ว ที่สำคัญมีอยู่แค่นี้ ผมขอย้ำว่า ความเป็นเพื่อนมันยังเป็นอยู่ตลอดไป คุณ(สื่อมวลชน) เข้าใจของความเป็นเพื่อนแค่ไหน ก็โปรดคิดเอาเอง เราเป็นเพื่อนกัน เคยทำงานด้วยกัน งานสำคัญๆ ก็เคยทำด้วยกัน และก็จบจากสถาบันเดียวกัน ที่เคยให้คำสัตย์ปฏิญาณเหมือนกันด้วย เมื่อเพื่อนจะทำอะไรผมก็เตือน เพราะผมคิดว่ามีสิทธิ์ที่จะเตือนได้ ก็เตือนเขาไปด้วยความเป็นเพื่อน ด้วยความปรารถนาดี ไม่ได้มีความต้องการที่ตำหนิจิ๋วเลย ซึ่งวันนี้ผมอยากพูดแค่นี้

เมื่อถามว่า ในฐานะเพื่อน ผิดหวังกับการเลือกทางเดินของพล.อ.ชวลิต หรือไม่ พล.อ.เปรม กล่าวว่า เพื่อนก็คือเพื่อน เขาทำอะไรผิดหรือถูก ผมก็ชี้ไม่ได้ว่า เขาทำผิดหรือทำถูกซึ่งผมไม่ได้เป็นคนตัดสิน แต่ความเป็นเพื่อนก็ต้องเตือนกัน ถ้าเห็นว่าทำอะไรไม่ดี

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 ตุลาคมที่ผ่านมา พล.อ.ชวลิต ได้เป็นผู้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวในประเด็นนี้ด้วยตัวเอง โดยหลังจากผู้สื่อข่าวถามพล.อ.ชวลิตว่าจะเข้าไปมีบทบาทในการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทระหว่างพล.อ.เปรม กับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีใช่หรือไม่

พล.อ.ชวลิตได้ตอบว่า "ที่บ้านสี่เสาร์ผมยังไม่มีโอกาสเข้าไปกราบท่านเลย จะไปขออโหสิกรรมเมื่อครั้งที่ผมบวชก็ยังไม่ให้เข้าเลย ซึ่งอาจจะเข้าใจผิดกันในบางเรื่องแต่ก็ต้องเข้าใจท่าน ท่านเป็นผู้ใหญ่เราเป็นเด็กสังคมไทยต้องให้ความเคารพซึ่งเป็นเรื่องธรรมดา ขนาดคนเอาปืนมาจะยิงกันตายยังคุยกันได้ นี่ก็ไม่ได้ถึงขนาดนั้น แต่อาจจะต้องใช้เวลามากบ้างน้อยบ้าง และเมื่อวันนี้จำเป็นต้องไปกราบไปพบท่านก็ต้องไป ให้ความรักความเคารพท่านเหมือนเดิม"

เมื่อบุคคลทั้งสองเป็นเพื่อนกันแต่จะเป็นเพื่อนลักษณะใดนั้นพระพุทธศาสนามีหลักษณะที่จะพิจารณาคือมิตรแท้และมิตรเทียมฝ่ายละ 4 ประการดังนี้

คำว่า มิตร มีรากศัพท์คำเดียวกับคำว่า เมตตา ซึ่งมีความหมายว่า ความรักใคร่ห่วงใยปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข เพราะฉะนั้นคำว่า มิตรจึงหมายถึงผู้ที่รักใคร่ชอบพอกัน ปรารถนาดีต่อกัน กล่าวคือมีความเมตตาทั้ง ทางกาย วาจา ใจ ต่อกันทั้งต่อหน้าและลับหลัง คำว่ามิตรนั้น มักมีคำที่ใช้แทนกันหลายคำเช่น สหาย แปลว่า ผู้ไปด้วยกันมีความคิดเห็นเหมือนกัน สขา แปลว่า เพื่อน คือผู้คบกันคุ้นเคยสนิทสนม มิตรมี 2 จำพวกใหญ่คือ มิตรแท้ และมิตรเทียม

มิตรแท้ 4
มิตรแท้มี 4 ประเภท คือ
1.มิตรมีอุปการะ ได้แก่ เพื่อนที่มีบุญคุณ มีลักษณะเป็นผู้ใหญ่คอยคุ้มครองป้องกันเพื่อนของตน ทั้งเป็นที่พึ่งของเพื่อนได้ มีลักษณะโดยสรุป 4 ประการ ดังนี้คือ
- ป้องกันเพื่อนผู้ประมาท หมายถึง มิตรที่ช่วยป้องกันชีวิตชื่อเสียงและเกียรติยศของเพื่อน
- ป้องกันทรัพย์สมบัติของเพื่อนผู้ประมาท หมายถึง มิตรที่คอยแนะนำห้ามปรามเพื่อนเมื่อเห็นเพื่อนใช้จ่ายทรัพย์สมบัติไปในทางอบายมุขหรือลงทุนที่มีการเสี่ยงเกินไป
- เมื่อมีภัยเป็นที่พึ่งพำนักได้ หมายถึง มิตรที่คอยอุปการะช่วยเหลือเมื่อเพื่อนตกทุกข์ เมื่อเพื่อนมีภัยก็ให้การคุ้มครองป้องกัน
- เมื่อมีธุระช่วยออกทรัพย์ให้เกินกว่าที่ออกปาก หมายถึง มิตรที่ช่วยเหลือเพื่อน เมื่อเพื่อนมีความจำเป็นต้องใช้เงิน ออกปากขอยืมเงิน ก็ตอบสนองด้วยดี เสนอให้ยืมเกินกว่าที่ขอยืม ไม่แสดงความโลภออกมา
2.มิตรร่วมสุขร่วมทุกข์ ได้แก่ เพื่อนสนิทเหมือนญาติ ไว้วางใจกัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูลกัน มีลักษณะโดยสรุป 4 ประการ
- ขยายความลับของตนแก่เพื่อน หมายถึง ต่างฝ่ายต่างเผยความลับของตนแก่เพื่อน ถ้าความลับนั้นมีจุดอ่อนหรือปมด้อยก็ช่วยกันแก่ไข และเป็นการให้ความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
- ปิดความลับของเพื่อนมิให้แพร่หลาย หมายถึง มิตรที่มีความจริงใจต่อเพื่อนรักษาน้ำใจซึ่งกันและเอาไว้โดยการไม่เปิดเผยความลับของเพื่อนไม่ให้ผู้อื่นรู้
- ไม่ละทิ้งยามวิบัติหมายถึง เมื่อเวลาที่เพื่อนตกทุกข์ได้ยากก็คอยช่วยเหลือไม่ละทิ้ง
- แม้ชีวิตก็อาจสละแทนได้ หมายถึง เมื่อเวลาที่เพื่อนตกอยู่ในอันตราย ก็เข้าช่วยเหลือถึงแม้ตัวเองจะต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม
3.มิตรแนะนำประโยชน์ ได้แก่ เพื่อนที่คอยแนะนำแต่ในทางที่ดี มีลักษณะเหมือนครู ลักษณะของเพื่อนเช่นนี้มีอยู่ 4 ประการ คือ
-ห้ามไม่ให้ทำชั่ว หมายถึง เห็นเพื่อนทำความชั่ว เพราะความไม่รู้ หรือความประมาทคึกคะนองก็เข้าห้ามปรามแสดงถึงเหตุผล ให้เพื่อนมี หิริ คือ ความรังเกียจต่อความชั่ว และ โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่ว
-แนะนำให้ทำแต่ความดี หมายถึง นอกจากห้ามไม่ให้เพื่อนทำชั่วแล้ว ยังสอนเพื่อนให้รู้จักคุณความดีสอนให้ประพฤติดี
-ให้ฟังในสิ่งที่ยังไม่เคยทำ หมายถึง ถ้าเพื่อนยังไม่มีความรู้ในทางหลักธรรมคุณความดีกฎแห่งกรรมมากนักก็เล่าให้เพื่อนฟัง
-บอกทางสวรรค์ให้ ทางสวรรค์ หมายถึง ทางไปสู่อนาคตอันสดใส ด้วยการแสวงหาความรู้หรือปัญญา
4.มิตรมีความรักใคร่ ได้แก่ เพื่อนประเภทสหาย มีลักษณะสำคัญ 4 ประการคือ
-ทุกข์ ทุกข์ ด้วย หมายถึง เมื่อเห็นเพื่อนมีความทุกข์ไม่ว่าทางใด ทางกายใจ ก็ให้ความช่วยเหลือในทุกด้าน ปลอบโยน แสดงถึงความเห็นอกเห็นใจ
-สุข สุข ด้วย หมายถึง มิตรที่เห็นเพื่อนมีความสุขไม่ว่าทางกายหรือทางใจก็พลอยยินดีกับเพื่อนด้วย เข้าไปแสดงความยินดีด้วย
-โต้เถียงผู้ที่ติเตียนเพื่อน หมายถึง เมื่อเห็นคนอื่นติเตียนเพื่อนของเรา ไม่ว่าต่อหน้าและลับหลัง ก็ช่วยพูดจาชี้แจงให้เข้าใจซึ่งกันและกัน เพื่อนไม่ให้เพื่อนเสียหาย
-รับรองคนพูดสรรญเสริญเพื่อน หมายถึง เมื่อเห็นคนพูดจาชมเชยเพื่อนก็พูดจาสนับสนุน
มิตรเทียม 4

มิตรเทียม มาจากคำว่า มิตรปฏิรูป ซึ่งอาจมีความหมายว่า คนเทียมเป็นมิตรหรือคนปลอมเป็นมิตร ซึ่งมี 4 ประเภทคือ
1.คนปอกลอก คนประเภทนี้ไม่ใช่มิตรแต่แสดงตัวว่าเป็นมิตร ซึ่งหวังผลประโยชน์จากคนที่คบด้วย ซึ่งมี 4 ประเภทคือ
-คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คือ คนที่เอาเปรียบ
-เสียน้อย คิดเอาให้มาก คือ เมื่อในกรณีที่ทีการลงทุนจะเสียน้อยแต่พอได้รับประโยชน์หรือผลตอบแทนแล้ว จะรับเอาแต่มาก
-เมื่อมีภัยแก่ตัว จึงรับทำกิจของเพื่อน คือ ตามปกติคนประเภทนี้จะไม่ยอมข่วยเหลือใคร แต่เมื่อตนประสบปัญญาแล้วจึงมาแกล้งแสดงตัวเป็นมิตร
-คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คือ คนประเภทนี้เป็นคนเห็นแก่ตัวเมื่อคบเพื่อนคนใดแล้วก็จะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนเท่านั้น
2.คนดีแต่พูด คนดีแต่พูดไม่ถึงกับใช่คนหลอกลวง แต่เป็นกะล่อน ขอให้ได้พูดพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนมากเป็นเรื่องไร้สาระมี 4 ประเภทคือ
-เก็บของล่วงแล้วมาปราศรัย คือ พววกที่คอยเรียกร้องความสนใจ ส่วนใหญ่แล้วจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาพูด
-อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศรัย คือ พวกที่ชอบพูดในเรื่องของอนาคต พูดในทำนองการพยากรณ์ ทำตัวเป็นผู้รอบรู้
-สงเคราะด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้ คือ ถ้าช่วยเหลือคนที่คบกันอยู่ก็จะช่วยเหลือแบบเล่น ให้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์
-ออกปากพึ่งมิได้ คืด เมื่อเพื่อนต้องการพึ่งเพราะมีความเดือดร้อนบางอย่าง ก็บ่ายเบี่ยงแบ่งรับแบ่งสู้
3.คนหัวประจบ คนหัวประจบเป็นคนที่คอยตามใจเพื่อน ให้เพื่อนเป็นผู้นำส่วนตนนั้นทำตัวเป็นผู้ตาม เพราะหวังผลประโยชน์ไม่ว่าสิ่งใดก็สิ่งหนึ่งคนจำพวกนี้มีอยู่ 4 ประเภทคือ
-จะทำชั่วก็คล้อยตาม คือ เมื่อเห็นเพื่อนทำชั่วก็ไม่ห้ามปราม กลับช่วยสนับสนุน
-จะทำดีก็คลอยตาม คือ เมื่อเพื่อนทำดีก็เห็นด้วยคอยสนับสนุนเอาใจเพื่อน
-ต่อหน้าว่าสรรญเสริญ คือ คอยยกย่องเพื่อนต่อหน้าเพื่อเอาใจเพื่อน
-ลับหลังนินทาเพื่อน คือ เมื่อเพื่อนไม่เห็น ไม่ได้ยิน กลับนินทาว่าร้ายต่างๆ
4.คนชักชวนในทางฉิบหาย คนชักชวนในทางฉิบหาย คบเพื่อนเพื่ออาศัยเพื่อนเป็นเครื่องมือหาความสนุกเพลิดเพลินของตน มีลักษณะ 4 ประการคือ
-ชักชวนดื่มน้ำเมา คือ ชักชวนให้เพื่อนดื่มสุราเมรัยซึ่งเป็นโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่น
-ชักชวนเที่ยวกลางคืน เช่น เที่ยวตามสถานบริการบันเทิงต่างๆ
-ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น คือ เล่นกีฬาหรือเล่นเกมต่างๆที่มีการพนันอยู่ด้วย
-ชักชวนเล่นการพนัน หมายถึง การเล่นการพนันล้วนๆ

เมื่อทราบหลักเช่นนี้แล้วพอจะทำให้ตาสว่างขึ้นมาบ้าง

วันอังคารที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ทมยันตีวิภาคเหลือง-แดงอวิชชาครอบหวังทางที่สาม

หน้าวรรณกรรมหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจฉบับวันที่ 11 ตุลาคม ได้นำเนื่องเรื่อง"ถนนสู่ดวงดาว ทมยันตี อะวอร์ด 2552" ถ้าคนที่ได้อ่านผ่านๆก็คงไม่จะทราบว่าในหน้านี้มีการกล่าวถึงการเมืองสังคมไทยในปัจจุบันนี้ของ"ทมยันตี" หรือคุณหญิงวิมล ศิริไพบูลย์ นักเขียนเจ้าของนามปากกาอันโด่งดัง ทมยันตี, ลักษณวดี, กนกเรขา, โรสลาเรน และมายาวดี อยู่

"พรชัย จันทโสก" ผู้เขียนบทความเรื่องนี้ได้แนบเนื้อหาดังกล่าวอยู่ด้านขวามือ โดยให้ชื่อเรื่องว่า"วิมล ศิริไพบูลย์กับการรอคอยทิศทางที่สาม" โดยมองสถานการณ์ความแตกแยกบนผืนแผ่นดินขวานทองขณะนี้ ด้วยการรอคอยอย่างมีความหวังว่า...จากนี้ไปจะก่อเกิดความคิดใหม่ๆ หรือทิศทางที่สามขึ้น

"ถ้าสมัยยังเป็นสาวคงจะตอบถึงความแบ่งแยก แต่สมัยนี้อายุ 73 พอเข้าสู่ปฏิบัติธรรม ดิฉันอาจจะพูดในสิ่งที่คุณหัวเราะเยาะ 'อนิจจัง' เป็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 เป็นต้นมา ดิฉันพูดอย่างพระพุทธเจ้าสอนได้ไหม ปรกติเถอะ ความคิดเห็นของคนแตกแยกกันเป็นอย่างนี้เสมอ แต่ความแตกแยกนี้คุณรู้ไหมมันก่อให้เกิดสิ่งใหม่ คุณรู้ว่าเปลือกโลกส่วนหนึ่งมันพุ่งเข้ามาชนเปลือกโลกอีกส่วนหนึ่งอย่างเช่นเปลือกโลกพม่าและเปลือกโลกอื่นๆ จะซ้อนขึ้นมา เปลือกโลกที่พุ่งเข้าไปนั้นพุ่งเข้าไปหาความร้อนนะ และความร้อนมันจะทะลักออกมา ถ้าคุณเรียนธรณีวิทยาคุณรู้ไหมมันจะก่อให้เกิดสิ่งใหม่ๆ

ทุกวันนี้มันมีสองทิศทางถูกไหม แต่มันจะมีทิศทางที่สาม ดิฉันนั่งคอยทิศทางที่สามที่นักวิทยาศาสตร์บอกว่าเมื่อไรแรงสองแรงปะทะกันมันจะมีแรงที่สามเกิดขึ้นทันที และแรงที่สามซึ่งได้ความคิดจากสองด้านจะได้ความคิดใหม่และดีที่สุด ดิฉันคิดว่าทิศทางที่สามกำลังเริ่มก่อตัวเหมือนกับที่ดิฉันนั่งมองอยู่เหมือนกัน ดิฉันไม่ได้ไปว่าใครเลวนะ มันอวิชชาทั้งนั้นแหละ พูดด้วยความไม่รู้

มนุษย์ต้องมีความหวัง ถ้ามนุษย์หมดหวังมันจะไม่มีอะไรเลย ดิฉันมีความหวัง ตอนนี้ความหวังสูงสุดของดิฉันคืออะไรรู้ไหม ฟังแถลงการณ์สำนักพระราชวังทุกวัน นั่นแหละความหวังอันสูงสุด ดิฉันอาจจะเรียก 'พ่อหลวง' มานานก่อนที่ใครจะมานิยม ถ้าพ่อยังอยู่ ถ้าพ่อยังดี ดิฉันรู้ว่าประเทศไทยจะไม่หมดหวังเป็นอันขาด ประเทศไทยมีทางออก คนไทยไม่เคยโง่เลย แต่คนไทยนี้แปลกอย่างหนึ่ง อ่อนโยน และไม่ค่อยพูดความจริง ใครมาพูดก็เออออห่อหมกไปอย่างนั้นแหละ คือห่อแล้วหมกเอาไว้ แต่คนไทยฉลาด คุณอย่าไปคิดว่าคนต่างจังหวัดโง่นะคะ ในฐานะที่ดิฉันไปนั่งช่วยเขาดำนาไปเรียนมาจากเขา

แต่ขอให้คุณแน่ใจและขอให้คนไทยทุกคนมีความหวังว่าเราจะมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นแน่นอน ถ้าดิฉันพูดแบบนักพยากรณ์ดิฉันขอตอบว่าประเทศไทยกำลังจะย่างก้าวเข้าสู่ยุคที่ดีกว่าที่ผ่านมา จะได้คนที่คิดให้ประเทศดีกว่ายุคที่ผ่านมา เพราะฉะนั้นต้องรอ ดิฉันบอกแล้วว่าทำอะไรอย่ารีบ ถ้าคุณรีบคุณจะคว้าอะไรไม่ได้เลย พระพุทธองค์รับสั่ง 'เราหยุดแล้ว...พวกเจ้าหยุดกันหรือยัง' องคุลีมาลก็นึกขึ้นได้เอง คอยดูสิ คุณจำคำป้าอี๊ดไว้นะ อย่าไปคิดว่าองคุลีมาลโง่นะ ถ้าโง่จะนึกไม่ได้เลยว่าพระพุทธเจ้ารับสั่งถึงอะไร ดิฉันเชื่อว่าพวกที่โย่ๆ กันอยู่มันฉลาด แต่มันรอใครสักคน คนเรามันจะเชื่ออะไร ด้วยรักและศรัทธา ศรัทธาอย่างเดียวก็ไม่ได้ รักอย่างเดียวก็ไม่ได้ กำลังรอใครที่เขารักและศรัทธาพูดประโยคนี้ เขาจะหยุดและเราจะได้สิ่งที่ดีเกิดขึ้น

'ทมยันตี' เป็นคนที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ดูถูกใครเลย ไม่ดูถูกเหลือง ไม่ดูถูกแดง ฟังความคิดความเห็นและกรองเอาสิ่งที่ดีที่ได้พูดมาใช้กับวิธีคิดของตน ดิฉันเชื่อมั่นเสมอว่าทุกอย่างเป็น 'อนิจจัง' ต้องแปรเปลี่ยนไป ท้ายสุดระหว่างที่มันแปรเปลี่ยนคนไทยจะทุกข์เพราะความแปรเปลี่ยนนั้น แต่เชื่อเถอะวันหนึ่งมัน 'อนัตตา' แต่อนัตตาไม่ใช่ว่าไม่มีอะไร อนัตตาแปลว่ามันมีอะไร แต่ยึดไม่ได้ ถ้านั่งมองทุกสิ่งทุกอย่างว่าวันนี้ทั้งสองข้างจะพาเราไปสู่จุดจุดหนึ่ง และวันหนึ่งจุดนั้นมันจะแตกอีก ทุกคนเป็นอย่างไร เชื่อพระพุทธเจ้าดีที่สุด ไม่ต้องไปเชื่อใคร เชื่อพระพุทธองค์ดีที่สุด

"ดิฉันหวังว่าคนไทยทุกคนจะยืนอยู่บนหลักที่พระพุทธองค์ตรัส"

(http://www.bangkokbiznews.com/home/detail/life-style/read-write/20091012/81171/ถนนสู่ดวงดาว-ทมยันตี-อะวอร์ด-2552.html)

คนที่ติดตามการเมืองมาตลอดก็คงจะอนุมานออกว่า ทมยันตี พูดหมายถึงใครและอะไร แต่ในช่วงที่ยังมาไม่ถึงนั้นจะทำอย่างไรให้คนไทยมีความขัดแย้งกันแบบสร้างสรรค์เหมือนอย่างที่พระพรหมคุณาภรณ์ได้เสนอไว้

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ธรรมพารวย-เงินทองกับธรรมะใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้

พิจิตรา บุษย์ปราชญ์ ได้เขียนหนังสือ "ธรรมาพารวยขึ้น" บทที่สี่เรื่อง"เงินทองกับธรรมะใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้" เป็นการยกหลักธรรมในนวโกวาทที่ว่าด้วยฆราวาสธรรม ต่อมาพระพรหมคุณาภรณ์ได้เรียบเรียงเพื่อให้เข้าใจง่ายเรียกว่าธรรมนูญชีวิต

นวโกวาทนั้นเป็นชื่อหนังสือที่เป็นพระนิพนธ์ของ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นหนังสือที่ประมวลหัวข้อธรรมจากพระไตรปิฎกสำหรับสั่งสอนอบรมและศึกษาเล่าเรียนของพระนวกะโดยเฉพาะ ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ง่ายต่อมาใช้เป็นหลักสูตรนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี

หลักธรรมพารวยดังกล่าวโดยเริ่มจากชั้นของการหาและรักษาทรัพย์คือ ทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์ในปัจจุบัน 4 ประการ คือ

1.อุฏฐานสัมปทา ถึงพร้อมด้วยความหมั่น เช่นขยันหมั่นเพียร เลี้ยงชีพด้วยการหมั่นประกอบการงาน เป็นผู้ขยันไม่เกียจคร้านในการงานนั้น ประกอบด้วยปัญญาเครื่องสอดส่อง อันเป็นอุบายในการงานนั้น ให้สามารถทำได้สำเร็จ

2.อารักขสัมปทา ถึงพร้อมด้วยการรักษาโภคทรัพย์ (ที่หามาได้ด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยชอบธรรม) เขารักษาคุ้มครองโภคทรัพย์เหล่านั้นไว้ได้พร้อมมูล ไม่ให้ถูกลัก หรือทำลายไปโดยภัยต่างๆ

3.กัลยาณมิตตตา คบคนดี ไม่คบคบชั่ว อยู่อาศัยในบ้านหรือนิคมใด ย่อมดำรงตน เจรจา สนทนากับบุคคลในบ้านหรือนิคมนั้น ซึ่งเป็นผู้มีสมาจารบริสุทธิ์ ผู้ถึงพร้อมด้วยศรัทธา ศีล จาคะ ปัญญา

4.สมชีวิตา อยู่อย่างพอเพียง รู้ทางเจริญทรัพย์และทางเสื่อมแห่งโภคทรัพย์ แล้วเลี้ยงชีพพอเหมาะ ไม่ให้สุรุ่ยสุร่ายฟูมฟายนัก ไม่ให้ฝืดเคืองนัก ด้วยคิดว่า รายได้ของเราจักต้องเหนือรายจ่าย และรายจ่ายของเราจักต้องไม่เหนือรายได้

อักษรตัวแรกของทิฏฐธัมมิกัตถประโยชน์นี้คือ อุ อา กะ ท่านเรียกว่า คาถาหัวใจเศรษฐี เพื่อเป็นอุบายให้คนปฏิบัติไม่ใช่มัวแต่นั่งสวดหรือเสก

ขั้นที่ 2 คือขั้นของการจัดสรรทรัพย์เป็นส่วนๆหรือเรียกว่าโภควิภาค 4 คือ หรือแบ่งทรัพย์เป็น 4 ส่วนคือ 1 ส่วน ใช้จ่ายเลี้ยงตน เลี้ยงคนที่ควรบำรุงเลี้ยง และทำประโยชน์2 ส่วน ใช้เป็นทุนประกอบการงาน 1 ส่วน เก็บไว้ใช้ในคราวจำเป็น

และขั้นที่ 3 คือขั้นของการใช้จ่ายทรัพย์หรือเรียกว่า โภคาทิยะ 5 ประการคือได้แก่1. ใช้เลี้ยงตัว มารดา บิดา บุตร ภรรยา และคนในปกครองทั้งหลายให้เป็นสุข 2. บำรุงมิตรสหาย และผู้ร่วมกิจการงานให้เป็นสุข 3. ใช้ปกป้องรักษาสวัสดิภาพ ทำตนให้มั่นคงปลอดจากภัยอันตราย ได้แก่ซื้อหาปัจจัย เพื่อการยังชีพคือ ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค ยานพาหนะ เป็นต้น

4. ทำพลี คือ การสละเพื่อบำรุงและบูชา 5 อย่าง คือ4.1 ญาติพลี การสงเคราะห์ญาติ 4.2 อติถิพลี การต้อนรับแขก 4.3 ปุพพเปตพลี การทำบุญหรือสักการะอุทิศผู้ล่วงลับ 4.4 ราชพลี การบำรุงราชการด้วยการเสียภาษีอากร เป็นต้น 4.5 เทวตาพลี ถวายเทวดา คือ การทำบุญอุทิศสิ่งที่เคารพบูชาตามความเชื่อถือ

5. อุปถัมภ์บำรุงพระสงฆ์ และเหล่าบรรพชิตผู้ประพฤติดี ปฏิบัติชอบ ผู้ไม่ประมาทมัวเมาในไสยศาสตร์ พิธีกรรม ลัทธิอื่นที่ไม่ใช่หลักธรรมคำสอนในพุทธศาสนา หรือ ล่อลวงให้หลงไปในอบายภูมิ

ทำให้เกิดความรู้สึกว่าหลักธรรมพารวยนั้นได้ก็เคยเรียนมาตั้งแต่นักธรรมชั้นตรีแล้วและทำไรเราถึงยังไม่รวยหละหว่า แต่ก็ไม่เป็นไรเราไม่รวยแต่เราก็มีพออยู่พอกินแบบพอเพียง

ธรรมพารวย-เมื่อเจ้านายกลายเป็นเทวดาบริหารองค์กรด้วยทิศ6

พิจิตรา บุษย์ปราชญ์ ได้เขียนหนังสือ "ธรรมาพารวยขึ้น" บทที่สามเรื่อง"เมื่อเจ้านายกลายเป็นเทวดา" เป็นการยกหลักของการบริหารบุคลากรในองค์กรระหว่างเจ้านายกับลูกน้องที่ดีซึ่งต้องประกอบด้วยทิศที่ 5 ในทิศ 6 ถึงจะทำให้บริษัทมีความจริงก้าวหน้า สิ้นปีมีโบนัสจ่ายลูกน้องเป็นขวัญกำลังใจ

ไม่ใช่เจ้านายจะมุ่งแต่ผลงานหรือรายได้ของบริษัทโดยไม่สนใจว่าลูกน้องหรือบริษัทงานจะเป็นอย่างไร เมื่อรายได้ไม่เข้าเป้าก็โทษลูกน้องหรือพนักงานไม่มีใจไม่ให้ความร่วมมือ โดยไม่ได้พิจารณาตัวเองว่ามีวิสัยทัศน์ในการบริหารองค์กรตามหลักทิศ 6 หรือไม่

หลักธรรมในทิศ 6 ที่เกี่ยวกับเจ้านายและลูกน้องนั้นคือ ทิศเบื้องล่าง หรือ เหฏฐิมทิศ ได้แก่ คนรับใช้และคนงาน เพราะเป็นผู้ช่วยทำการงานต่างๆ เป็นฐานกำลังให้ โดยอันดับแรกนายพึงบำรุงคนรับใช้และคนงาน ผู้เป็นทิศเบื้องล่าง ดังนี้

1. จัดการงานให้ทำตามความเหมาะสมกับกำลังความสามารถ 2.ให้ค่าจ้างรางวัลสมควรแก่งานและความเป็นอยู่ 3.จัดสวัสดิการดี มีช่วยรักษาพยาบาลในยามเจ็บไข้ เป็นต้น 4.ได้ของแปลกๆ พิเศษมา ก็แบ่งปันให้ 5.ให้มีวันหยุดและพักผ่อนหย่อนใจตามโอกาสอันควร

ขณะเดียวกันคนรับใช้และคนงานย่อมอนุเคราะห์นาย ดังนี้ 1.เริ่มการงานก่อนนาย 2.เลิกงานหลังนาย 3.ถือเอาแต่ของที่นายให้ 4.ทำการงานให้เรียบร้อยและดียิ่งขึ้น 5.นำเกียรติคุณของนายไปเผยแพร่

ธรรมพารวย-ยึด-มั่นถือกะลายึด-ไม่มั่นถือเงินตรา(พาชาติวิกฤติ)

พิจิตรา บุษย์ปราชญ์ ได้เขียนหนังสือ "ธรรมาพารวยขึ้น" บทที่สองเรื่อง"ยึด-มั่นถือกะลา ยึด-ไม่มั่นถือเงินตรา" ในลักษณะของการเล่านิทานเพื่อให้เข้าใจถึงหลักของอนิจจังและโลกธรรม 8 ประการ คือมีรายได้ก็มีโอกาสเสียเงินได้เช่นกัน หากประมาทขาดสติ และตกอยู่ภายใต้ของอุปาทาน 4 ประการคือการยึดมั่นถือมั่นในสิ่ง 4 ประการ

1. กามุปาทาน (ความยึนมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ - clinging to sensuality) 2. ทิฏฐุปาทาน (ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ - clinging to views) 3. สีลัพพตุปาทาน (ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล - clinging to mere rule and ritual)

4. อัตตวาทุปาทาน (ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆ ได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่าเป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ

ลองพิจารณาดูว่าคนไทยทุกวันนี้ยึดมั่นอยู่ในอุปาทาน 4 ประการนี้หรือไม่ เรามีความต้องการให้มีชีวิตที่ดีขึ้น เมื่อมีคนโยนเศษอาหารมาให้เรากินในเวลาที่หิวโหย เราก็พากินกันและก็ยึดติดในรสแห่งอาหารนั้น มีความโกรธกับคนที่ออกมาเตือนว่าอาหารนั้นมีพิษนะแต่ก็ไม่ฟัง พากันแบ่งสีแบ่งฝ่าย โดยไม่ได้คิดว่าเราก็คือคนไทยด้วยกัน

และยกมือท่วมหัวว่าบุคคลที่โยนเศษอาหารมาให้เรานั้นเป็นคนดี มีบุญคุณ โดยไม่ได้พิจารณาในระยะยาวว่าเศษอาหารนั้นอาจจะมีพิษในระยะยาวทำให้เราเป็นมะเร็งและตายในที่สุดก็เป็นได้

เมื่อคนไทยถูกอุปาทาน 4 ประการแล้วจะเป็นประชาธิปไตยได้อย่าง และออกมาโพนทนาใส่กันหรืออวดกันว่าตัวเองนั้นเป็นประชาธิปไตยมากกว่า ทั้งๆที่ความเป็นจริงว่าสิ่งที่พูด กระทำ และยึดติดกันอยู่นั้นไม่ใช่ประชาธิปไตย หรือธรรมาธิปไตยแต่อย่างใด ซึ่งการจะออกจากอุปาทาน 4 ประการนี้ต้องใช้ปัญญาและรู้เท่าทัน

ธรรมพารวย-รวยเท่าใดก็ไร้ค่าหากปัญหาสุขภาพมาเยือน

พิจิตรา บุษย์ปราชญ์ ได้เริ่มต้นของการเขียนหนังสือ "ธรรมาพารวยขึ้น" ด้วยเรื่อง"สร้างสุขภาพให้ดีก่อนที่จะสร้างความรวย" อันดับแรก โดยแยกลักษณะของพนักงานของบริษัทเป็น 3 ประเภทคือ

ประเภทแรกเป็นคนมีนิสัยร่าเริง มนุ ษยสัมพันธ์ดี แต่ไม่ค่อยสนใจการงานมักจะลางานอยู่เสมอเพราะตกเย็นก็ไปสังสรรค์กับเพื่อน

ประเภทที่สองคือ เป็นคนมุ่งมั่นทำงานหามรุ่งหามค่ำ ไม่มีคำว่า "ลา" ก็มีความเจริญในหน้าที่การงานดี เป็นที่ยกย่อง แต่ว่าเป็นคนที่สนใจสุขภาพในที่สุดก็เข้าโรงพยาบาลแต่ตายก่อนเวลาอันควร

ประเภทที่สามคือเป็นที่คนมีลักษณะเหมือนกับประเภทที่สองแต่ว่าเป็นคนสนใจเรื่องสุขภาพมาเป็นที่หนึ่งแต่การงานไม่เสีย ปฏิบัติตามหลักบัญญัติของกระทรวงสาธารณสุข 5 อ. คือ อาหารดี อากาศดี อารมณ์ดี ออกกำลังกาย และอุจจาระดี

ตอนท้ายของบทนี้ พิจิตรา ได้ยกหลักธรรมว่าด้วย โพชฌงค์ 7 คือธรรมที่ช่วยกำจัดกิเลสและโรคภัยให้พ้นไปคือ 1. สติ ความระลึกได้ 2. ธรรมวิจยะ การวินิจฉัยธรรม 3. วิริยะ ความเพียร 4. ปีติ ความอิ่มใจ 5. ปัสสัทธิ ความสงบ 6. สมาธิ จิตตั้งมั่น 7. อุเบกขา ความวางเฉย

และท้ายสุดได้ยกถึงสาเหตุของโรคคือ เกิดตามฤดูกาล เกิดเพราะพันธุกรรม เกิดเพราะจิตคิดไปเอง เกิดเพราะผลแห่งกรรม และเกิดจากภายในของบุคคลนั้นๆเอง

ก็มีจุดที่น่าพิจารณาก็คือว่า ชาวพุทธทั่วไปแล้วจะสนใจเกี่ยวกับหลักโพชฌงค์ 7 ประการในแง่ของการนิมนต์พระมาสวดให้ผู้ป่วยได้ฟังบางคนก็หายบางคนก็ไม่หาย แต่ความเป็นจริงแล้วหากนำโพชฌงค์ 7 ประการไปกำกับหลัก 5 อ. ก็จะได้ประโยชน์ยิ่ง ซึ่งถือว่าเป็นหลักธรรมที่รักษาสุขภาพชั้นยอด

อันดับแรกก็คือใช้สติและธรรมวิจยะกำกับอาหารและอากาศว่าสิ่งใดที่เกิดประโยชน์ต่อร่างกาย หลังจากนั้นก็ใช้ วิริยะและสมาธิกำกับไม่ให้หลงไปในสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกาย ก็ย่อมจะเกิดปีติและปัสสัทธิ แต่ถ้าหากได้รับสิ่งที่เป็นโทษต่อร่างกายโดยที่เราไม่ตั้งใจบ้างก็ต้องใช้อุเบกขาและหาทางหลีกเลี่ยงอย่างชาญฉลาดโดยที่ไม่ใช้ความโกรธครอบงำ

หากเราใช้หลักโพชฌงค์ 7 ประการมาใช้ในการรักษาสุขภาพของเราเช่นนี้แล้วก็ไม่จำเป็นต้องรอให้พระมาสวดให้ฟังหรือเวลาที่พระสวดแต่ไม่ได้ยินแล้ว

นอกจากนี้ยังมีหลักธรรมที่เกี่ยวกับการบริโภคของชาวพุทธโดยรู้จักค่าแท้และคุณค่าเทียมของอาหารและก่อนที่เราจะเอาอะไรเข้าร่างกายก็ต้องพิจารณาก่อนเสมอว่ามีคุณค่าต่อร่างกายหรือไม่ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแม้นแต่เรื่องการกินพระพุทธองค์ก็ยังไม่ให้ความสำคัญ ไม่ใช่จะมุ่งแต่จะไปนิพพานแบบโลกุตตระเท่านั้นนะ

ธรรมพารวยแบบพิจิตรา บุษย์ปราชญ์

พิจิตรา บุษย์ปราชญ์ ผู้มีผลงานเล่มแรกคือ"ธรรมะกับชีวิตประจำวัน" ได้เขียนหนังสือ "ธรรมาพารวยขึ้น" เมื่อปี 2551 จัดจำหน่ายโดยบริษัทอัมรินทร์ บุ๊ค เซ็นเตอร์ จำกัด ก็ต้องบอกว่าพบหนังสือเล่นนี้โดยบังเอิญก็ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มาอย่างไร จึงทำให้เกิดความคิดที่จะเขียนเรื่องธรรมพารวยขึ้นเผื่อจะได้รวยกับเขาบ้าง

พิจิตรา ได้เขียนหนังสือเล่มนี้ในลักษณะเรื่องเล่าการประกอบธุรกิจด้วยการนำหลักของธรรมะในพระพุทธศาสนามาประกอบโดยแบ่งออกเป็นหัวข้อทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ดังนี้

สร้างสุขภาพให้ดีก่อนที่จะสร้างความรวย
ยึด-มั่นถือกะลา ยึด-ไม่มั่นถือเงินตรา
เมื่อเจ้านายกลายเป็นเทวดา
เงินทองกับธรรมะใช่ว่าจะอยู่ร่วมกันไม่ได้
รู้...เพื่อร่ำรวย
มีปัญญาดีไม่มีดับ
หูไม่เบากระเป๋าหนัก
คุณธรรมนำรวย
เพื่อนพารวย - เพื่อนพาจน
คาถาแก้จน
คนโลภไมีมีวันร่ำรวย
คู่บุญบารมี
ยาจกสู่เศรษฐีเพราะมีความกตัญญู
สักวันคนโง่จะฉลาดขึ้น(และรวยขึ้น)
ยิ่งให้ยิ่งได้กลับคืนมาเท่าทวีคูณ



รวมมิตรธรรมพารวยช่วยฟื้นวิกฤติแบบพอเพียง

คำว่า "รวย" นับได้ว่าเป็นคำยอดปารถนาของคนทั่วไป บางคนก็สมปารถนาด้วยระยะเวลาอันรวดเร็วและอายุยังน้อย แต่หลายคนก็ไม่เคยประสบเลยตลอดชีวิตหรือเรียกว่า "จนจนตาย"

จนกระทั้งเป็นสาเหตุให้นักการเมืองใช้เป็นวิธีในการเรียกคะแนนเสนอสูตรแก้จนพารวยในระยะเวลาเท่านั้นเท่านี้ หรือแม้กระทั้งประกาศว่า "หากไม่สามารถทำให้คนไทยหายจนได้ก็จะไปกระโดดแม่น้ำโขงตาย" นี้ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เปลี่ยนฐานะไปก็หลายตำแหน่งและก็กลับมาประกาศใหม่อีก หรือที่เขาเรียกว่า "สร้างความต้องการแบบลมแล้งๆๆ" หรือ "โฆษณาชวนเชื่อ" ไปเรื่อยๆ

บางคนเกิดมาจจนแล้วรวยก็มี บางคนเกิดมารวยแล้วตกอัพจนมีก็มาก ดังนั้นจะทำอย่างไรให้เรารวยแล้วรวยแบบหยั่งยืนอย่างไร หรือรวยแบบเพียงพอหรือไม่รวยแต่ก็เป็นอยู่อย่างพอเพียงอย่างไร

วิธีการหรือสูตรที่จะนำไปสู่ความรวยก็มีบุคคลนำเสนอวิธีหรือสูตรหลายแนวด้วยกันแต่มันไม่หยั่งยืน คำว่าวิกฤติเศรษฐกิจก็เวียนมาประกบกับชาวโลกอีกครั้งหนึ่งหลักจากเคยประสบมาแล้วเมื่อปี 2540 หรือว่าวิกฤติมันมาทุกครั้งเมื่อครบ 10 ปี จึงทำให้มีผู้เสนอสู่รวยแบบหยั่งยืน

เชื่อแน่ว่าสูตรที่ทำให้รวยแบบหยั่งยืนนั้นก็คือเศรษฐกิจแบบพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทำให้คนอยู่ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจเป็นอยู่ได้แบบพอเพียงไม่มีความทุกข์มากนักมีความสุขแบบพอประมาณ ส่วนคนที่ไม่หลักพอเพียงก็ตกเป็นเหยื่อของวิกฤติเศรษฐกิจตามหลักของทุนนิยมไปจะเจ็บน้อยหรือเอาชีวิตไม่รอดก็ตามภาวะของแต่ละบุคคล

นอกจากหลักพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและยังมีผู้ที่จะเสนอหลักธรรมพารวยที่เชื่อแน่ว่าจะทำให้รวยแบบยั่งยืนได้โดยเสนอเป็นรูปแบบของหนังสือ จะได้นำมาเล่าแบบสรุปและใส่ความเห็นที่เป็นก้อนกรวดลงในช่องว่างช่องในแก้วที่เจียรนัยดีแล้วบ้างก็มีความสุขแล้ว อาทิ

ธรรมพารวยแบบพิจิตรา บุษย์ปราชญ์
ธรรมพารวยแบบพระว.วชิรเมธี
ธรรมพารวยแบบ อัจฉรา โยมสินธุ์
ธรรมพารวยแบบWhite Oceanดนัย จันทร์เจ้าฉาย
ทวิตเตอร์พารวย

วันพฤหัสบดีที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2552

โชค"ดี-เลือด"ทวิตเตอร์จะขายข้อมูลให้กูเกิล-ไมโครซอฟท์

ต้องยอมรับว่าเข้ามาสมัครเล่นทวิตเตอร์เพราะกระแสนักการเมืองเข้ามาเช่น เพื่อที่จะได้ติดตามการเคลื่อนไหว และเล่นจนกระทั้งนักการเมืองคนนั้นบล็อกไม่ให้เราติดตามแต่ก็ไม่เป็นไรเรามีวิธีทั้งทางตรงและทางอ้อม

การเล่นทวิตเตอร์นั้นต้องยอมรับว่าทำให้เราได้รู้การเคลื่อนไหวของวงการไอทีโดยตรงเพราะบุคคลที่เราติดตามนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นเจ้าของเว็บไซต์ดังๆๆ คนเขียนหนังสือเกี่ยวกับทวิตเตอร์แม้นว่าเราจะแอบน้อยใจนิดๆว่าเราแอบติดตามเขาอยู่ข้างเดียวแต่ก็ไม่เป็นไรเราได้ความรู้มาพัฒนาหน้าที่การงานของเรา

อีกส่วนหนึ่งก็มีความหวังลึกๆว่า อาจจะมีรายได้เสริมเข้ามาบ้างจากตัวเว็บไซต์ทวิตเตอร์โดยตรงเพราะเห็นคนมีชื่อเสียงบ้างคนทำได้ก็ให้นึกอิจฉาเล็กน้อยโดยการนำโฆษณามาเป็นฉากหลังหน้าทวิตเตอร์ของเขา ก็พยายามอยู่ว่าจะทำอย่างไรเราถึงจะทำได้เหมือนเขาบ้าง

ขณะเดียวกันก็ได้ทราบว่าการที่เราสมัครเข้าไปเล่นในบล็อก สมัครอีเมล์ค่ายต่างๆ หรือแม้นแต่จำนวนคนที่เข้าตามติดตามเราในทวิตเตอร์ก็สามารถนำไปขายได้ จนกระทั้งมีการจัดรายการทางวิทยุ อสมท เรื่องการขายเพื่อนในโลกออนไลน์ ประมาณนี้ ก็ทำให้ใจหายอยู่เหมือนกัน และเมื่อวันสองวันมานี้ก็ได้ข้อมูลว่าให้เปลี่ยนพลาดเวิร์ดอีเมล์ค่ายดังๆทั้งหลายไม่เช่นนั้นจะโดนแฮคข้อมูล

และใจหายเข้าไปใหญ่เมื่อวันนี้(9ต.ค.) ได้ทราบว่าจากทาง ASTVผู้จัดการออนไลน์ว่า "ทวิตเตอร์อาจขายข้อมูลให้กูเกิล-ไมโครซอฟท์" นี่เขาเอาข้อมูลเราไปเสนอขายกันแล้วหรือนึกว่าจะให้เล่นฟรีหาเงินได้ฟรีๆๆ นี่น่าที่เขาว่า "ของฟรีไม่มีในโลก"

จากการรายงานข่าวดังกล่าวอ้างอิง วอลล์สตรีทเจอร์นอล (Wall Street Journal) ที่รายงานว่ากูเกิล(Google) และไมโครซอฟท์ (Microsoft)นั้นผลัดกันเข้าเจรจากับทวิตเตอร์บนความหวังให้นักท่องเน็ตสามารถเห็นข้อความทวีตที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดที่ต้องการสืบค้นได้ รายงานระบุว่าการนำข้อความทวีตมาเป็นผลสืบค้นจะทำให้ผู้บริโภคทราบความเคลื่อนไหวของคำที่ต้องการได้อย่างทันเหตุการณ์ ซึ่งจะนำไปสู่การเป็นเรียลไทม์เสิร์ช (real time search) เช่นเดียวกับข้อความทวีตที่มีการสื่อสารกันแบบเรียลไทม์

"การเจรจาระหว่างกูเกิล ไมโครซอฟท์ และทวิตเตอร์นั้นถูกรายงานโดยไม่เปิดเผยชื่อแหล่งข่าวในบล็อก AllThingsDigital เชื่อว่าการเจรจาจะครอลคลุมถึงส่วนแบ่งรายได้โฆษณาจากการสืบค้นที่ทวิตเตอร์จะได้รับในหลายรูปแบบ" วอลล์สตรีทเจอร์นอล รายงาน

จากแนวทางของการหารายได้ของกูเกิล และไมโครซอฟท์ในทวิตเตอร์นั้น เป็นไปได้หรือไม่ว่า คนที่เข้ามาเล่นทวิตเตอร์จะสามารถมีส่วนแบ่งรายได้ในทวิตเตอร์ด้วยโดยสามารถเปิดโอกาสให้นำโค้ตโฆษณาของกูเกิลหรือจากแห่งอื่นมาแปะอย่างเช่นเว็บบลอค bogger.com ของ กูเกิล อย่างทุกวันนี้ ซึ่งจะทำให้เกิดความเป็นธรรมทั้งสองฝ่าย แต่ถ้าไม่เปิดโอกาสแล้ว ก็ต้องวัดกันที่ระยะเวลาและปัจจัยต่างๆว่าทวิตเตอร์จะดำรงความนิยมไว้ได้นานเท่าใด

วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พระว.วชิรเมธีตอบ"วู้ดดี้"เกิดมาคุยมิลินทจินดาปัญหา

รายการ"วู้ดดี้เกิดมาคุย"ทางโมเดิร์นไนด์ทีวีวันออกพรรษาที่ 4 ตุลาคม "วู้ดดี้"วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรได้เดินทางไปสัมภาษณ์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธีถึงจังหวัดเชียงราย

"วู้ดดี้" ได้เกริ่นตอนแรกว่า พระว.เป็นบุคคลที่มีการเสนอให้มาเป็นแขกร่วมรายการอันดับต้นๆ แต่ก็ได้ปฏิเสธมาตลอดเพราะไม่รู้จริงๆว่าจะคุยเรื่องอะไร แต่เมื่อไปถึงสถานที่แล้วก็ยังสงสัยลึกๆว่าพระว.เป็นแขกรับเชิญได้จริงหรือ เพราะเข้าใจว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ไกล "วู้ดดี้" เหลือเกิน


คำถามแรกที่ "วู้ดดี้" ถามก็คือว่า มีหลายคนบอกว่าผมไม่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์พระท่านมองว่าอย่างไร พระว.ตอบว่าก็ต้องย้อนกลับไปว่าคุณเอาอะไรมาวัดว่าคนอย่าง "วู้ดดี้" ไม่เหมาะสมที่จะคุยกับพระ พระอาจารย์มองว่าเวลานี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ"วู้ดดี้"อีกแล้ว ถ้า"วู้ดดี้" ไม่มาคุยกับพระก็เท่ากับว่า"เกิดมาคุย" ไม่สมบูรณ์แบบ


"วู้ดดี้" ถามต่อว่า กร้าวร้าว พูดตรง ถามตรง มีความรุนแรงบ้างในวาจาไม่เหมาะสมที่จะคุยกับพระ พระว.ตอบว่า พระไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ เราไปดูที่เนื้อหาสาระได้หรือไม่ บ้างครั้งที่เปิดดู "วู้ดดี้" สัมภาษณ์ดีกว่าพระบางรูปเทศน์ ถ้าเราก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอกพูดในเรื่องเนื้อหาสาระก็ไม่มีปัญหาที่จะคุยกับ "วู้ดดี้" ไม่ได้


"วู้ดดี้" ถามว่าอย่างนั้นก็หมายความว่าผมสามารถที่จะถามพระอาจารย์ได้ทุกเรื่อง พระว.ตอบว่าก็แล้วแต่จะถามส่วนพระอาจารย์จะตอบหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


หลังจากนั้น "วู้ดดี้" ก็ได้ถามถึงประวัติความเป็นมาแล้วเข้าในเนื้อหาสาระต่างๆ เมื่อฟังโดยตลอดแล้วทำให้มีความรู้สึกว่า พระว.กราดไม่ตกจะการเป็นพุทธะจริงๆ ท้ายที่สุดของรายการทำให้ "วู้ดดี้" ซาบซึ้งจนกระทั้งน้ำตาไหล


แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดความรู้สึกจากการชมรายการก็คือทำให้นึกถึงพระนาคเสนตอบปัญหาของพระเจ้ามิลินท์จนเกิดมิลินทปัญหาสูตรให้ได้ศึกษากันทุกวันนี้ และในครั้งนี้ก็พอจะกล่าวได้ว่าได้เกิดมิลินทจินดาปัญหาขึ้นจริงๆ เพราะคำถามคำตอบก็ละม้ายคล้ายกับเนื้อหาในมิลินทปัญหา ลองดูลีลาพระเจ้ามิลินท์ถามพระนาคเสนตอนแรกๆของมิลินทปัญหาดูว่าจะจริงหรือไม่


ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์


ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย”


พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า


“เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง”


“โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด”


“อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด”


“พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร”


“ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร”


“โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า”


“จงถามเถิด มหาบพิตร”


“โยมถามแล้ว”


“อาตมภาพก็แก้แล้ว”


“พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร”


“ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร”



เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระนาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า

“ข้าแต่มหาราชเจ้า คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า"



เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ


ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้น เรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร”


พระนาคเสนตอบว่า


“ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มี วีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี

ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” นี้เพียงเป็นชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น”

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

“ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้ และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า “นาคเสน”นั้น ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ

ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า

ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฎก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน

ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕

เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มี ผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี

ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี

คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่

พระนาคเสนตอบว่า

“ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่”

“ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า “นาคเสน” ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ”

“ไม่มี มหาบพิตร”

“ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ...เป็นนาคเสน”

“ไม่ใช่ มหาบพิตร”

นี้เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น

ทักษิณอย่าอิงกระแสออกพรรษาอโหสิกรรมแต่ปาก

วันที่ 4 ต.ค. พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ส่งข้อความผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ ความว่า "วันนี้เป็นวันพระใหญ่พรุ่งนี้ออกพรรษาผมเป็นคนพุทธและได้ปฏิบัติธรรมมาตลอดพรรษาขอฝากบอกคนที่เคยคิดและทำร้ายผมว่าผมขออโหสิกรรมและจะไม่จองเวรใคร"
ต่อมาก็ได้ส่งข้อความสนทนากับผู้ใช้นามว่า @kengkaj_s อีกความว่า "การต่อสู้เพื่อความเป็นธรรมกับการอโหสิกรรมเป็นคนละส่วนครับต้องตามหาจนถึงที่สุดเพียงแต่ไม่คิดจะไปชำระแค้นกับใคร ใครมีกรรมก็ไปรับเอง"
หากพ.ต.ท.ทักษิณปฏิบัติตามข้อความที่โพสต์ก็ต้องขออนุโมทนาบุญด้วย เพราะว่าการ "อโหสิกรรม" ก็ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่งก็คือการให้ทานที่เรียกว่า "อภัยทาน" ซึ่งเป็นการยุติผลกรรมข้ามภพข้ามชาติด้วย
ขณะเดียวกันก็ถือว่าสอดคล้องกับนัยยะสำคัญของวันออกพรรษาที่พระพุทธองค์ที่บัญญัติให้พระสงค์ที่จำพรรษาได้ว่ากล่าวตักเตือนกันด้วยเมตตาซึ่งเรียกว่าการทำ "ปวารณากรรม"
เพราะบ้างครั้งเราก็ไม่ทราบว่าเรามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง จำเป็นต้องให้คนอื่นชี้แนะตักเตือน เท่ากับเป็นแนวทางของการแก้ปัญหาความขัดแย้งในสังคมไทยได้อีกทางหนึ่ง
แต่ประเด็นก็มีอยู่ว่าพ.ต.ท.ทักษิณจะปฏิบัติตามที่ได้ประกาศไว้ได้นานเพียงใด เพราะที่ผ่านมาพ.ต.ท.ทักษิณก็เคยประกาศเช่นนี้อยู่แต่พฤติกรรมที่แสดงออกไม่ได้เป็นตามที่ได้ประกาศไว้
เพราะผู้เขียนเองก็เป็นชาวพุทธครับและปฏิบัติธรรมเป็นประจำช่วงเช้าพรรษา และสิ่งที่ปฏิบัติเสมอคือพูดหรือทวิตตรงกับใจไม่มีอะไรแอบแฝง และการปฏิบัติธรรมของผู้เขียนอีกประการหนึ่งก็คือเห็นผลประโยชน์ชาติส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ตน ไม่เคยอวดความดีที่ทำไปเพื่อหวังแต้ม และผู้เขีนไม่เคยอโหสิกรรมแต่ปาก ซึ่งมิจฉาทิฐินั้นไม่ได้แก้ด้วยอโหสิกรรม ต้องแก้ด้วยคำว่าพอ
ที่นี้ก็อยู่ที่ว่าเมื่อเราบอกว่าขออโหสิกรรมให้แล้วเราจะไม่จองเวร ทำร้ายกันอีกได้อย่างไร ก็มีทางเดียวก็คือเราต้องมีเมตตาต่อกันฝึกแผ่เมตตาทุกวัน หรือไม่ก็ฟังเพลง "อโหสิกรรม" ก็แล้วกัน

ออกพรรษาแนะสถานที่ปฏิบัติธรรมยอดนิยมทั่วไทย

เห็นเว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมที่จังหวัดหนองคายคือวัดหินหมากเป้งบ้านไทยเจริญ หมู่ 4 ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ (วิปัสสนาจารย์หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) และวัดเจติยาคีรีวิหาร(ภูทอก) อำเภอบึงกาฬ ทำให้เกิดความคิดรวบรวมสถานที่ปฏิบัติธรรมทั่วประเทศไทยมาแนะนำในช่วงวันออกพรรษา
อันดับแรกก็จะเว็บไซต์นี้เลยฟังธรรมดอดคอม (
http://www.fungdham.com/place.html) ได้รวบรวมสถานที่ปฏิบัติกรรมฐานยอดนิยม 40 แห่งพร้อมทั้งแนวทางปฏิบัติและอาจารย์ที่สอน ขณะที่เว็บไซต์ลานธรรมจักรได้เพิ่มจากเว็บไซต์ฟังธรรมดอดเป็น56 แห่งที่ http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=9 ขณะเดียวก็ยังได้แนะนำรายชื่อสำนักปฏิบัติธรรมประจำจังหวัดที่เข้าร่วมโครงการปฏิบัติธรรม ของสำนังานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ด้วย
ขณะเดียวกันมีการแนะนำสถานที่ปฏิบัติธรรมสำหรับสาวออฟฟิศที่มีปัญหาอาการต่างๆ อย่างเช่น
สาวที่มีปัญหาขี้วีน หงุดหงิดง่าย หรือเพิ่งประสบปัญหาหนักในชีวิต วัดอินทรวิหารถนนวิสุทธิกษัตริย์ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0-2628-5550 - 4
สาวที่ไม่เคยศึกษาธรรมมะและไม่มีเวลาทำบุญ วัดปทุมวนารามราชวรวิหารถนนพระราม 1 เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ โทร. 0-2658-3885, 0-2251-6478
สาวที่มีปัญหาเรื่องความอยากและบ้าช็อปปิ้งวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหารเลขที่ 3 ถนนมหาราช เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0-2222-6011, 0-2222-4981
สาวที่ย้ำคิดย้ำทำ มีปัญหาเรื่องการจดจำและสมาธิสั้น วัดยานนาวาถนนเจริญกรุง แขวงยานนาวา กรุงเทพฯ โทร. 0-2672-3216
สาวเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน และจับจด วัดธรรมมงคล เถาบุญญนนท์วิหารถนนสุขุมวิท 101 เขตพระโขนง กรุงเทพฯ โทร. 0-2311-1387, 0-2741-3552 และ 0-2311-3903
สาวที่มีปัญหาในการนั่งสมาธิ จิตไม่สงบ ทำงานผิดพลาดประจำ เสถียรธรรมสถานซอยวัชรพล กรุงเทพฯ โทร. 0-2510-6697, 0-2509-0085
สาวที่เป็นโรคเครียด มีปัญหารุมเร้า และอยากหลีกหนีความวุ่นวาย วัดพิชยญาติการามวรวิหารถนนสมเด็จเจ้าพระยา เขตคลองสาน กรุงเทพฯ โทร.0-2861-4530, 0-2861-5425, 0-2861-4319
สาวที่มีปัญหาขาดที่พึ่งทางใจ เพื่อนไม่รัก อกหัก กำลังเคว้ง และต้องการหาที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ วัดบวรนิเวศวิหารราชวรมหาวิหารถนนพระสุเมรุ เขตพระนคร กรุงเทพฯ โทร. 0-2282-2665, 0-2282-8303, 0-2281-6427
สาวที่มีปัญหาโรคซึมเศร้า เครียด เจอเรื่องผิดหวัง และมีคนอิจฉานินทา วัดชลประทานรังสฤษฏ์ ถนนติวานนท์ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี โทร.0-2583-8845, 0-2583-4243 และ 0-2584-3074
สาวที่มีปัญหาทุกข์ใจ ท้อแท้ และอับจนหนทางแก้ไขปัญหา วัดสังฆทานบ้านบางไผ่น้อย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี โทร. 0-2447-0799, 0-2447-2363 และ 0-2447-0800
สาวใดที่มีปัญหาใดก็ลองไปแก้ปัญหาตามที่วัดที่แนะนำก็แล้วกันว่าจะได้ผลหรือไม่


วันเสาร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ออกพรรษากี่ฝนสังคมไทยถึงจะลดปัญหาความขัดแย้ง

เที่ยงคืนวันที่ 4 ต.ค. ก็จะหมดเวลาติดคุกของพระแล้ว และออกพรรษาดีอย่างไร คนที่งดเหล้าก็กลับมากินเหมือนเดิม สังคมไทยก็มีความขัดแย้งกันอยู่เหมือนเดิม แล้วนัยยะของวันออกพรรษามากกว่านี้หละเป็นอย่างไร

ปกติแล้วเป็นคนที่ไม่ค่อยเน้นเรื่องพิธีกรรมเท่าใดหนัก เวลาถึงวันออกพรรษาก็ให้หวนนึกถึงและต้องเขียนเรื่องนี้อีกว่าความหมายที่แท้จริงของวันออกพรรษาตามหลักพระพุทธศาสนาคืออะไร และจะสามารถแก้ปัญหาให้กับสังคมไทยได้อย่างไรในช่วงที่มีความขัดแย้งทางการเมืองกันอย่างรุ่นแรงอยู่ขณะนี้

เช้าวันที่ 4 ต.ค.ซึ่งเป็นวันออกษาพอตื่นขึ้นมาชาวพุทธส่วนใหญ่เสื้อสีต่างๆก็ไปวัดทำบุญไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และฟังพระเทศน์ถึงความสำคัญของวันนี้เป็นอย่างไร
พอกลับไปบ้านพวกเราก็มีความขัดแย้งกันเหมือนเดิม ที่เคยด่ากันก็ด่าเหมือนเดิม แล้วแบบนี้วันออกพรรษาจะมีประโยชน์อะไรมากกว่านี้ ทั้งๆ ที่วันออกพรรษานี้มีนัยยะสำคัญที่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในสังคมไทยได้ ทั้งนี้ไม่ได้ไม่เห็นด้วยกับการไปวัดทำบุญในวันสำคัญทางศาสนา ก็ต้องขออนุโมทนาบุญด้วย แต่คิดว่ามันน่าจะมีประโยชน์มากกว่านี้


นัยยะที่สำคัญของวันออกพรรษาอยู่ที่การแก้ปัญหาความขัดแย้งในหมู่สงฆ์ ซึ่งญาติโยมทั้งหลายจะนำไปประยุกต์ใช้ก็จะเกิดประโยชน์ยิ่ง พระพุทธองค์จะเรียกวันออกพรรษว่า "วันมหาปวารณา" (อ่านว่า ปะ-วา-ระ-นา) คือ วันที่เปิดโอกาสให้เพื่อนพระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันได้ด้วยเมตตาจิต เมื่อได้เห็น ได้ฟังหรือสงสัยในพฤติกรรมของกันและกัน
ความเป็นมาของการทำปวารณากรรม หรือการให้พระภิกษุว่ากล่าวตักเตือนกันและกันในวันออกพรรษานี้


สืบเนื่องมาจากในสมัยพุทธกาล พุทธสาวกจะมีธรรมเนียมปฏิบัติอยู่อย่างหนึ่ง คือ เมื่อออกพรรษาหมดฤดูฝน แม้จะจำพรรษาอยู่ที่ใกล้ไกลแค่ไหนก็จะพากันเดินทางมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ครั้นได้เฝ้าแล้ว พระพุทธองค์จะทรงตรัสถามถึงสิ่งที่พระภิกษุได้ประพฤติปฏิบัติในระหว่างจำพรรษา ปรากฏว่ามีพระภิกษุกลุ่มหนึ่งเกรงว่าในช่วงจำพรรษาด้วยกัน จะเกิดการขัดแย้งทะเลาะวิวาท จนอยู่ไม่สุขตลอดพรรษา จึงได้ตั้งกติกากันเองว่าจะไม่พูดจากัน

เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบเรื่องนี้จึงทรงตำหนิว่าการประพฤติมูควัตร (ทำตนเป็นใบ้เงียบไม่พูดจากัน) เป็นเรื่องเหลวไหลไร้ประโยชน์ที่พึงมีพึงได้ เพราะประพฤติเหมือนพฤติกรรมของสัตว์ เช่น แพะ แกะ ไก่ วัว ที่อยู่ด้วยกันก็ไม่ถามไถ่ทุกข์สุขของกันและกัน แล้วทรงสั่งสอนภิกษุทั้งหลายว่า ความประพฤติเช่นนั้นไม่สมควรแก่คนทั้งหลายหรือผู้ที่มีความเจริญแล้ว

จึงทรงวางระเบียบวินัยให้เป็นหลักปฏิบัติสืบต่อมาว่าให้ภิกษุที่จำพรรษาครบสามเดือนแล้วทำปวารณาแทนอุโบสถสังฆกรรมในวันออกพรรษา การปวารณาหรือการว่ากล่าวตักเตือนในหมู่สงฆ์นี้ ผู้ว่ากล่าวตักเตือนจะต้องทำด้วยความเมตตา ปรารถนาดีต่อผู้ถูกตักเตือนทั้งกาย วาจา และใจ

ส่วนผู้ถูกว่ากล่าวตักเตือนก็ต้องมีใจกว้าง มองเห็นความปรารถนาดีของผู้ตักเตือน ถ้าเป็นจริงตามคำกล่าวก็ปรับปรุงตัวใหม่ หากไม่จริงก็สามารถชี้แจงแสดงเหตุผลให้กระจ่าง ทั้งสองฝ่ายต้องคิดว่าทักท้วงเพื่อก่อ ฟังเพื่อแก้ไข จึงจะได้ประโยชน์และตรงกับความมุ่งหมายของการปวารณาที่จะสร้างความสมัครสมานสามัคคีและดำรงความบริสุทธิ์หมดจดไว้ในสังคมพระสงฆ์

สำหรับฆราวาสหรือพุทธศาสนิกชนก็สามารถนำหลักการปวารณาในวันออกพรรษานี้มาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิตได้ทั้งในครอบครัว สถานศึกษาหรือในสถานที่ทำงานโดยการเปิดโอกาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งนักการเมือง เปิดใจให้มีการว่ากล่าวตักเตือนซึ่งกันและกัน ทั้งนี้ จะต้องยึดหลักความเมตตาต่อกันเป็นที่ตั้ง กล่าวคือ ถ้าจะติก็ติด้วยความหวังดีมิใช่ทำลายอีกฝ่าย ส่วนผู้ถูกติก็ควรรับฟังด้วยดีและมองเห็นความหวังดีของผู้ว่ากล่าว หากจริงก็แก้ไข ไม่จริงก็ปรับความเข้าใจซึ่งกันและกัน เช่นนี้ย่อมทำให้สังคมเกิดความสงบสุข สามารถแก้ไขปัญหา และพร้อมจะพัฒนาไปด้วยกันทุกฝ่าย

เรื่องความขัดแย้งในหมู่ชนผู้นับถือในพระบวรพุทธศาสนา นับเป็นเรื่องที่ลำบากในพระทัยของพระพุทธองค์ไม่น้อยเลยกว่าที่พระองค์จะทรงระงับความบาดหมางในพระศาสนาของพระองค์ได้โดยสวัสดีก็ต้องใช้เวลา


ขณะเดียวกันหากพระหรือฆราวาสเป็นสาเหตุสร้างความแตกแยกแล้ว ถ้าเป็นโทษทางวินัยก็ปรับขั้นปราชิกต้องขาดจากความเป็นพระและถือเป็นบาปหนักขึ้นสังฆเภท มีตัวอย่างสมัยที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนคร โกสัมพี ครั้งนั้น ยังมีภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติแล้ว มีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ แต่ภิกษุ เหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ สมัยต่อมา ภิกษุรูปนั้นกลับมีความเห็นใน อาบัตินั้นว่าไม่เป็นอาบัติ แต่ภิกษุเหล่าอื่นมีความเห็นในอาบัตินั้นว่าเป็นอาบัติ จนกระทั้งแตกออกเป็นสองฝ่ายรวมถึงญาติโยมก็แตกแยกกันด้วย พระพุทธองค์ทรงแนะนำให้ยึดหลัก "ปวารณา" แต่พระทั้งสองฝ่ายก็ยังไม่นำพา พระพุทธองค์จึงปลีกวิเวกในป่าให้ช้าง ลิง รับใช้

เมื่อชาวบ้านเห็นว่าพระเป็นสาเหตุให้พระพุทธเจ้าปลีกวิเวก จึงลงโทษด้วยการไม่ใส่บาตร เมื่อพระไม่มีข้าวฉันก็ยอมลดทิฐิหันมาสามัคคีกันเช่นเดียวปฏิบัติตามหลัก "ปวารณา"

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.ปยุตโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ได้เสนอความคิดเกี่ยวกับความขัดแย้งแบบสร้างสรรค์ว่า ความขัดแย้งนั้นในแง่หนึ่งก็เป็นเรื่องธรรมดา คือ มันเป็นธรรมชาติของสิ่งทั้งหลายที่มีความแตกต่างกันเป็นธรรมดาอยู่แล้ว ซึ่งความแตกต่างนั้นก็ขัดกันบ้าง เข้ากันบ้าง แล้วทำให้เกิดความหลากหลายและความสมบูรณ์ แต่มนุษย์เป็นธรรมชาติส่วนพิเศษที่สามารถจัดสรรความเป็นไปต่างๆ ให้เป็นไปตามเจตนาของตนได้ มนุษย์จึงเอาประโยชน์จากความขัดแย้งก็ได้ ปรับเปลี่ยนความขัดแย้งให้เป็นความประสานเสริมกันก็ได้ แม้แต่ความแตกต่าง แทนที่จะให้เป็นความขัดแย้ง มนุษย์ที่ฉลาดก็อาจทำให้กลายเป็นส่วนเติมเต็มของกันและกัน ซึ่งท่านได้ตั้งข้อสังเกตไว้ดังนี้

ขั้นแรก มนุษย์ต้องขัดแย้งเป็น จึงจะเกิดประโยชน์ เช่น แทนที่จะให้เป็นการกระทบกระทั่งระหว่างกันทางสังคมหรือแม้แต่การกระทบทางจิตใจ ก็ให้เป็นการมาช่วยกระทบทางปัญญา แล้วทำให้เกิดแง่คิด มุมมอง และเกิดสติปัญญาอะไรใหม่ๆ

ขั้นที่สอง ความขัดแย้งนั้น ต้องมาจากเจตนาที่ดี คือมาจากเจตนาที่เป็นกุศล โดยปรารถนาดีต่อกัน มีความมุ่งหมายเพื่อความดีงามความเจริญ เพื่อความก้าวหน้าของประเทศชาติ เพื่อให้สังคมส่วนรวมมีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่คิดเบียดเบียนใคร ข้อสังเกตในที่นี้คือ ความขัดแย้งที่เป็นปัญหานั้น ก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดจากเจตนาที่ไม่ดี

ในทางปฏิบัติแล้ว วิธีการในการจัดการกับความขัดแย้งนั้น จะต้องใช้วิธีการในเชิงปฏิบัติที่ดี คือ ด้านที่เป็นการแสดงออกทางกาย ก็ต้องทำด้วยเมตตา มีกิริยาอาการที่เอื้อเฟื้อทั้งต่อคนนั้นและต่อสังคมทั้งหมด ด้านวาจา ก็พูดด้วยเจตนาที่ดี มีถ้อยคำสุภาพ และในด้านจิตใจ ในที่สุดก็เริ่มจากใจที่มีเมตตา โดยมีความปรารถนาดีเป็นที่ตั้ง

แนวทางนี้ จึงเป็นแนวทางที่จะช่ว ยทำให้การขัดแย้งแม้แต่ในทางความคิด ให้กลายเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเสริมเติมความรู้ และทำให้เกิดการสร้างสรรค์ โดยการแลกเปลี่ยนความรู้กับคนอื่นที่อาจรู้แตกต่างไปจากเรา

ดังนั้นเมื่อนักการเมืองทั้งหลายยังแตกแยกแบ่งฝ่ายกันอยู่เช่นนี้ คนไทยน่าจะมีมาตรการไม่สนับสนุนนักการเมืองเหล่านี้ ดูซิว่านักการเมืองเหล่านี้จะอยู่ได้หรือ เพื่อให้หันมามองความขัดแย้งแบบสร้างสรรค์ตามที่พระพรหมคุณาภรณ์แนะนำนานแล้ว

เคอิโงะสมหวังพบพ่อญี่ปุ่นสมใจเหตุมีสื่อ-ผู้ว่าฯดีดัน

ภาพที่ ด.ช.เคอิโงะ ซาโต วัย 9 ขวบ ที่ถือรูปถ่ายพ่อชาวญี่ปุ่นติดตามหาพ่อหน้าพระอุโบสถวัดท่าหลวง อำเภอเมือง จังหวัดพิจิตร โผเข้าไปหานายคัตซูมิ ซาโตทันทีที่ลงเครื่องบินสายการบินเจแปนแอร์ไลน์ เที่ยวบินที่ JO/JL 717 ถึงสนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 15.30น.ของวันที่ 2 ตุลาคม เมื่อสองพ่อลูกได้พบกันต่างกอดกันร่ำไห้ สร้างความตื้นตันใจให้กับผู้พบเห็นและทราบข่าวต่างยินดีกับด.ช.เคอิโงะที่สมหวัง และชื่นชมกับนายคัตซูมิที่ได้ชื่อว่าเป็นพ่อที่ดี

และวันที่ 3 ต.ค.ด.ช.เคอิโงะก็ได้พาพ่อและเพื่อนๆ ได้เดินทางมาเที่ยวสวนสยาม ทะเลกรุงเทพ โดยมีนายชัยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทสยามพาร์คซิตี้ จำกัด ได้ให้การต้อนรับท่ามกลางความสนใจของประชาชนที่เดินทางมาเที่ยวสวนสยาม ซึ่งนายชัยวัฒน์ ได้มอบบัตรสมาชิกกิตติมศักดิ์ ให้สองพ่อลูก เที่ยวฟรีสวนสยามเป็นระยะเวลา 10 ปี

ระหว่างที่เที่ยวสวนสยามด.ช.เคอิโงะมีสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส ร่าเริง ตื่นเต้นที่ได้เล่นเครื่องเล่น และว่ายน้ำเดินจูงมือพ่อให้อาหารปลา คงจะเดาออกว่าด.ช.เคอิโงะจะมีความสุขมากน้อยเพียงใด เพราะอย่างน้อยก็มีความอบอุ่นมีพ่อเหมือนกันคนทั่วไปไม่คิดยามเหงาว่าตัวเองนั้นอยู่เพียงลำพังในโลกนี้ลบปมด้อยที่มีอยู่ในใจ

ก่อนหน้านั้น ด.ช.เคอิโงะพร้อมนายคัทซึมิและเพื่อนๆได้เดินทางไปร่วมลงนามถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่โรงพยาบาลศิริราช หลังจากนั้นช่วงเย็นทั้งหมดก็จะเดินทางกลับ จ.พิจิตร เพื่อพาพ่อไปเคารพศพมารดา

แต่กว่าจะมีถึงวันนี้ ด.ช.เคอิโงะมีความมุ่งมั่น(ฉันทะ)ที่จะตามหาพ่อที่เป็นชาวญี่ปุ่นตามที่แม่ได้บอกไว้ก่อนจะจากลูกไป หลังจากนั้น ด.ช.เคอิโงะ มีความพยายาม (วิริยะ) ที่จะเข้าไปสอบถามพร้อมกับรูปถ่ายพ่อชาวญี่ปุ่นให้กับนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปเที่ยววัดท่าหลวงว่า "เห็นพ่อผมไหม" ทำเช่นนี้อยู่นานกว่า 2 ปี โดยไม่ล้มเลิกความตั้งใจ (จิตตะ) พร้อมกับค้นหาวิธีเพื่อที่จะสื่อไปถึงพ่อที่อยู่ประเทศญี่ปุ่นหรืออยู่ที่ไหนของโลกก็ตาม (วิมังสา)
หากด.ช.เคอิโงะไม่มี ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา ล้มเลิกความตั้งใจหรือไม่ขยันที่จะตามหาพ่อมีหรือจะมีวันนี้ เพราะหลักธรรม 4 ประการนี้เป็นเครื่องมือไปสู่ความสำเร็จ ที่พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า อิทธิบาท 2 ประการ เป็นแรงจูงใจให้กับลูกที่มีชะตากรรมเช่นเดียวกับ ด.ช.เคอิโงะต่อสู้ชีวิตต่อไป


ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีอยู่ในตัวของ ด.ช.เคอิโงะ ส่งผลให้ทราบไปถึงสื่อมวลชนจังหวัดพิจิตรมองว่าการตามหาพ่อชาวญี่ปุ่นเป็นประเด็นที่น่าสนใจและเป็นการช่วยเหลือด.ช.เคอิโงะอีกทางหนึ่งจึงเขียนข่าวถึงเป้าหมายและวิธีการของด.ช.เคอิโงะให้กับสาธารณชนได้ทราบและมีการนำเสนอข่าวของด.ช.เคอิโงะตั้งแต่นั้นมาจนถึงวันนี้

ขณะเดี่ยวกันด.ช.เคอิโงะอยู่จังหวัดพิจิตรมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่ชื่อนายสมชัย หทยตันติ ไม่ได้นิ่งนอนใจได้เข้ามาแลติดตามการเคลื่อนไหวของด.ช.เคอิโงะตลอด เพราะนอกจากเป็นการปฏิบัติตามหน้าที่แล้ว ยังแสดงให้เห็นว่านายสมชัยเป็นนักบริหารที่ดี
เนื่องจากมองออกว่าข่าวที่เกี่ยวข้องกับด.ช.เคอิโงะที่ถูกนำเสนอออกไปเท่ากับเป็นการประชาสัมพันธ์จังหวัดพิจิตรไปในตัว เมื่อมีการแถลงข่าวเกี่ยวกับท่องเที่ยวในจังหวัดพิจิตรอย่างเช่นการแข่งเรือก็จะนำด.ช.เคอิโงะไปร่วมแถลงข่าวด้วย ส่งผลให้ผู้ไปเที่ยวจังหวัดพิจิตรมากขึ้น ทำให้รายได้เข้าจังหวัดเพิ่มเป็นเงาตามตัว เท่ากับว่าด.ช.เคอิโงะเป็นพรีเซ็นเตอร์ชั้นดีของจังหวัดพิจิตรไปในตัว


ไม่ใช่มีเฉพาะด.ช.เคอิโงะเป็นพรีเซ็นเตอร์ชั้นดีของจังหวัด แม้นแต่ ด.ช.หม่อง ทองดี เด็กไร้สัญชาติที่มีความสามารถในการพับกระดาษเครื่องบินไปแข่งที่ประเทศญี่ปุ่นพาทีมไทยชนะเลิศและตัวเองได้ที่ 3 สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองและประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง ก็นับได้ว่าเป็นพรีเซ็นเตอร์ชั้นดีของจังหวัด

หากผู้ว่าราชการจังหวัดนั้นๆมีวิสัยทัศน์นำเด็ก บุคคล และสถานที่ของจังหวัดที่ตัวเองมีอยู่เสริมกับรณรงค์ร้องเพลงชาติตามจังหวัดต่างๆ ก็เชื่อแน่ว่าจะสามารถโปรโมทการท่องเที่ยวจังหวัดนั้นๆ เชื่อแน่จะสามารถสร้างรายได้เข้าจังหวัดช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศได้อีกทาง


ดูคลิปที่ - http://www.mhanation.net/keingo0310.html

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นครริโอฯบราซิลเจ้าภาพจัดโอลิมปิก2016

ผลโหวตไอโอซี "นครริโอ เดอ จาเนโร" ประเทศบราซิลได้เป็นเจ้าภาพจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปี 2016 เฉือนชนะกรุงมาดริดของสเปน

คณะกรรมการโอลิมปิกสากล หรือ IOC ได้ลงคะแนนลับในวันศุกร์ที่ 4 ต.ค. ที่กรุงโคเปนเฮเกนของเดนมาร์ก ว่าจะเลือกเมืองใดจากทั้งหมด 4 เมืองได้แก่ นครชิคาโกของสหรัฐ นครริโอ เดอ จาเนโรของ บราซิล กรุงโตเกียวของญี่ปุ่น และกรุงมาดริดของสเปน เป็นเจ้าภาพจัดมหกรรมกีฬาครั้งใหญ่ที่สุดของโลก คือกีฬาโอลิมปิก 2016

ผลการลงคะแนนรอบแรกนครริโอ เดอ จาเนโร และกรุงมาดริด ได้คะแนนสูงสุด และการลงคะแนนรอบสุดท้ายปรากฏว่านครริโอ เดอ จาเนโร ได้คะแนนสูงสุดได้สิทธิ์จัดการแข่งกีฬาโอลิมปิก 2016 ไปครอง

รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ที่สุดของโลก หันหน้าออกสู่อ่าวนครริโอเดอจาเนโร นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งเมืองนี้ โดย ตั้งอยู่บนเนินเขาลูกใหญ่ของเมือง สามารถมองเห็นได้ในระยะไกล เป็นที่เคารพสักการะของชาวบราซิล และคริสตศาสนิกชนทั่วโลก เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญและจุดชมวิวของเมือง นับเป็นงานปั้นที่มีความมหัศจรรย์ของโลกอีกแห่งหนึ่ง

เป็นรูปปั้น มีความสูงราว 38 เมตร ได้รับการออกแบบโดยไฮตอร์ ดาซิลวา คอสตา ชาวบราซิล และสร้างโดยพอล ลันดอฟสกี้ ประติมากรชาวฝรั่งเศสเชื้อสายโปแลนด์ ใช้เวลาในการสร้าง 5 ปี เป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบราซิล มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังสถานที่แห่งนี้ราว 1,800,000 รายต่อปี

นครริโอ เดอ จาเนโร เป็นนครที่มีทิวทัศน์สวยงามและหลากหลาย ประกอบด้วยภูเขา ทะเล ป่าไม้ และทะเลสาบกลางเมือง แต่เป็นเมืองที่มีอาชญากรรมสูงมากแห่งหนึ่งในลาตินอเมริกา นักท่องเที่ยวไม่ควรใส่เครื่องประดับหรือนาฬิกาที่มีราคาแพง หรือพกเงินติดตัวเป็นจำนวนมากในระหว่างที่พำนักอยู่ในนครริโอฯ แต่ควรฝากไว้ในตู้นิรภัยของ โรงแรม การเดินเล่นตามชายหาดควรระมัดระวังและไม่ควรเดินเล่นในที่เปลี่ยว

นครริโอฯ เป็นศูนย์กลางการฉลองเทศกาล Carnival ของบราซิล นักท่องเที่ยวที่ประสงค์จะไปเที่ยวในช่วงเทศกาลนี้ ต้องจองที่พักล่วงหน้าเป็นเวลานาน และค่าที่พักโรงแรมต่าง ๆ จะสูงขึ้นมาก
การติดต่อธุรกิจกับนักธุรกิจในนครริโอเดอ จาเนโร มักจะไม่มีพิธีรีตองเท่ากับในนครเซาเปาโลซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทสบราซิล

นครริโอ เดอ จาเนโร มีประชากร 6 ล้านคน เคยจัดการแข่งขันกีฬารายการใหญ่ๆ มาแล้วหลายรายการ อาทิ สังเวียนร่วมศึกฟุตบอลโลก 1950, การแข่งขันฟอร์มูล่า วัน ปี 1978 และ 1981-89, ศึกแพน อเมริกันเกมส์ 2007 และในรอบทศวรรษหลังสุด ริโอยังเคยจัดการแข่งขันกีฬาระดับนานาชาติ 18 ชนิดกีฬา จาก 26 กีฬา ที่แข่งขันในโอลิมปิกฤดูร้อน ทีมเสนอตัวของริโอ เดอ จาเนโร จะใช้งบประมาณ 1.44 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 4.75 แสนล้านบาท เพื่อจัดการแข่งขัน โดยงบมหาศาลดังกล่าว ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลกลางอย่างเต็มที่อีกด้วย


วันพฤหัสบดีที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552

นักการเมืองคุณรู้หรือไม่ว่าเป็นตัวถ่วงฟื้นตัวเศรษฐกิจ

ช่วงสองเดือนที่ผ่านมาสำนักทำนายรวมถึงตัวเลขทางเศรษฐิจได้สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มเศรษฐกิของประเทศไทยมีโอกาสที่จะฟื้นตัว

ขณะเดียวกันก็มีปัจจัยที่น่าเป็นห่วงที่สรุปตรงกันก็คือความไม่แน่นอนทางการเมืองทั้งปัจจัยจากพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน

ลำพังพรรคร่วมฝ่ายค้านหากเล่นการเมืองในสภาก็คงจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก แต่ปัญหาก็คือมีการนำการเมืองลงไปเล่นกันในท้องถนนสร้างความรุนแรงในสายตาของชาวต่างชาติ

ขณะเดียวกันพรรคร่วมรัฐบาลเองก็มีความขัดแย้งกันเองจากการแต่งตั้ง ผบ.ตร.คนใหม่ที่ยังไม่ลงตัว นายกรัฐมนตรีจำต้องตั้งรักษาการแทนไปก่อน โดยพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยที่สนับสนุนบุคคลต่างกัน ขณะเดียวกันคนในพรรคประชาธิปัตย์ก็พลอยขัดกันอีก

จนล่าสุดมีกระแสแพร่สะพัดนายนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ ลาออกจากตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรีที่ไม่เห็นด้วยนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แต่งตั้งพล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจรักษาการแทน ผบ.ตร. ขณะเดียวกันก็มีกระแสว่านายนิพนธ์หนุนนายตำรวจที่พรรคภูมิใจไทยหนุน ยังเล่นการเมืองกันแบบเก่าๆอยู่นี้มันยุคไหนแล้ว

ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าบรรดานักการเมืองทั้งหลายที่ปากก็บอกว่าเข้ามาเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนเป็นหลัก แต่กับทำตัวเป็นตัวถ่วงในการพัฒนาประเทศ เป็นตัวถ่วงในการฟื้นฟูเศรษฐกิจทั้งๆที่เป็นปัญหาสำคัญอยู่ขณะนี้

แสดงว่าพวกคุณไม่รู้ตัวเองเสียเลย มุ่งแต่ประโยชน์ส่วนตนเป็นหลัก แบบนี้จะศรัทธามาจากไหนหรือศรัทธามันหาซื้อได้ด้วยกัน พอหมดเงินแม้นแต่หมาก็ไม่มอง ปากที่พูดออกมามันก็เห็นลิ้นไก่แล้วไม่จำเป็นต้องหาหลักฐานมาโชว์เพราะพฤติกรรมที่ผ่านมามันฟ้อง พูดได้คำเดียวว่าเอียน ที่บอกว่าจะสู้แม้นแต่จะแก้ผ้านั้นก็ได้แต่ขำๆ ทุกวันนี้แก้ผ้าเอาหน้ารอดอยู่แล้ว ไม่แก้ก็เหมือนแก้ เพราะคนที่เขารู้ทันเขามองพวกคุณเหมือนกับซากศพ ดูตัวอย่างที่ดีของอารยะประเทศบ้างไม่ได้หรืออย่างไร

ขณะเดี่ยวกันเรื่องรัฐธรรมนูญก็แก้กันไม่รู้จักจบจักสิ้น ร่างขึ้นมาแล้วก็ไม่เคารพและไม่ปฏิบัติตาม พยายามที่จะหลีกเลี่ยง ในที่สุดก็ฉีกเล่นกัน ก็พูดได้คำเดียวอีกว่า "เบื่อ" ที่เขาด่าว่า "มีเพียงประเทศไทยเท่านั้นที่ซื้อเสียง" ไม่อายเขาบ้างหรืออย่างไร
Google