วันจันทร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2552

อภิสิทธิ์ร่วมประชุมยูเอ็น-จี20ไร้ค่าจริงหากไม่ชูพอเพียง

กลับมาตุภูมิเป็นที่เรียบร้อยแล้วสำหรับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานอาเซียน ที่เดินทางไปร่วมประชุมกลุ่มประเทศจี 20 ณ นครพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา และการประชุมสหประชาชาติ ที่นครนิวยอร์ค ท่ามกลางการหวาดหวั่นก่อนหน้านี้ว่าอาจจะไม่ได้กลับเหมือนกับอดีตนายกรัฐนตรีคนหนึ่ง

เมื่อกลับมาแล้วก็มีทั้งดอกไม้และก้อนกรวด ก็เป็นที่น่าสังเกตก็คือกรวดนั้นมาจากคนไทยด้วยกันเองคือจากพรรคเพื่อไทยได้ออกแถลงการณ์ตำหนิว่าการเดินทางไปครั้งนี้ของนายอภิสิทธิ์ไร้ประโยชน์ ล้มเหลว สูญเปล่า สิ้นเปลืองงบประมาณ ไม่คุ้มค่า

พรรคเพื่อไทยมองว่า นายอภิสิทธิ์เล่นการเมืองตลอดเวลา ใช้เวทีโลกบิดเบือดข้อเท็จจริง ใส่ร้ายคู่แข่งทางการเมือง จ้องทำลายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีในทุกโอกาส เอาการเมืองในประเทศไปประจานทำให้เทศเสียหาย

แต่ดอกไม้กลับได้รับจากนายรูดี เฟชเตรเทิน เอกอัครราชทูตราชอาณาจักรเบลเยี่ยมประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะโอกาสเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดยบอกว่าได้ทราบข่าวจากเพื่อนร่วมงานที่สหรัฐอเมริกาว่าสุนทรพจน์และกิจกรรม ที่นายกรัฐมนตรีได้เข้าร่วม ณ สหรัฐอเมริกา นั้นช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีและเพิ่มพูนความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย

ก็ไม่แปลกใจที่ผลจะออกมาเช่นนี้เพราะนักการเมืองไทยไม่มีขอบเขตในการเล่นอยู่แล้ว มักจะตำหนิฝ่ายตรงกันข้ามและยกย่องฝ่ายตัวเอง ลองพรรคเพื่อไทยได้ร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์ซิมีหรือจะพูดแบบนี้ นี้เบ้าที่หล่อหล่อมการเมืองไทยไม่ใช่เฉพาะระดับชาติเท่านั้นแม้นแต่เลือกหัวหน้าชั้นเรียนก็มีลักษณะอย่างนี้เลย

แต่ก็มีความคิดว่าการที่พรรคเพื่อไทยมองการเดินทางไปครั้งนี้ไร้ค่ามีส่วนที่เป็นความจริงอยู่บ้างหากนายอภิสิทธิ์กล่าวสุนทรพจน์ในที่ประชุมยูเอ็นไม่น้อมนำหลักเศรษฐกิจพอเพียงไปนำเสนอให้นานาประเทศได้ทราบ เพราะหลักเศรษฐกิจพอเพียงนี้ไม่ใช่หรือที่ทำให้คนไทยอยู่ในภาวะของวิกฤติเศรษฐกิจโลกอย่างมีความสุข ค่อยๆประคับประคองตัวเองฟันฝ่าวิกฤติมาได้โดยไม่ทำร้ายตัวเองและคนรอบข้างเสียก่อน


หากไม่มีหลักนี้แล้วก็ไม่ทราบว่าคนไทยจะตกอยู่ในสภาพอย่างไรเพราะมีคนสูบเลือดสูบเนื้อก็หนีไปอยู่ต่างประเทศแล้ว

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2552

ไฟเขียวเพลง"บีหาย"คำกำกวมของ"บิ๊กวัน กันทรลักษ์"หรือ

ปกติแล้วไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ฟังเพลงเท่าใดนัก แต่เมื่อคืนวันที่ 26 กันยายนประมาณ 02.00น.ได้ฟังเพลง"บีหาย" ทางโมเดิร์นไนน์ทีวี ขับร้องโดย "บิ๊กวัน กันทรลักษ์" นักร้องลูกทุ่งชาวอีสาน เกิดที่จังหวัดศรีสะเกษ ทำให้สงสัยว่า กบว.ปล่อยให้เพลงนี้ออกอากาศได้อย่างไรเพราะมีคำที่กำกวมอยู่

จึงได้หาข้อมูลพบจากเว็บไซต์
http://www.esanclick.com/newses_art.php?No=15271 ทราบว่าสำหรับ "บิ๊กวัน กันทรลักษ์" นั้นได้ สั่งสมประสบการณ์ทำเพลงมาไม่น้อย ซึ่งก่อนหน้านี้เคยทำเพลงจนเพลงเริ่มมีกระแส ต่อมาจึงได้มาอยู่ค่ายเพลงท็อปไลน์ ไดมอนด์ และออกอัลบั้ม ชุด “อิสาน แตกปอก” ส่งบทเพลงเพราะๆอย่าง “เฮาบ่สมกัน” ฮิตติดชาร์ทตามคลื่นวิทยุต่างๆ ล่าสุดกับงานเพลงชุดใหม่ “บีหาย” เป็นอัลบั้มที่ บิ๊กวันได้มีส่วนร่วมเต็มตัว ทั้งแต่งเพลงเอง ดูแลการผลิตเอง

"บิ๊กวัน กันทรลักษ์" ได้กล่าวถึงอัลบั้มชุดนี้ว่า “ในอัลบั้ม ชุดใหม่ “บีหาย” ผมได้แต่งเพลงเอง ซึ่งก็ยังคงเป็นเพลงแนวลูกทุ่งเพื่อชีวิตอยู่ แต่จะเป็นเพลงภาษากลาง 70% และเพลงอิสาน 30% ซึ่งตอนนี้ก็ได้มีมิวสิคฯออกมาให้ชมกันแล้วในเพลง “บีหาย” คำว่า บีหาย เป็นภาษาอิสาน ถ้าเรียกเป็นภาษากลาง ก็คือ ดีหาย ดีก็คือดีวัว ที่เอาไว้ใส่พวกลาบ ก้อย เนื้อหาในเพลงก็ประมาณว่า บี(ดี)หายไป จึงโมโห และทำให้เกิดเรื่องราวต่างๆเนื้อหาจะออกแนวสนุกๆ ซึ่งเป็นมิวสิคฯเปิดตัวเพลงแรกในอัลบั้มชุดใหม่นี้ ฝากให้แฟนๆช่วยติดตาม และเป็นกำลังใจให้ผมด้วยนะครับ”

หาก "บิ๊กวัน กันทรลักษ์" อธิบายคำว่า "บีหาย" เพียงเท่านั้น ถ้าคนทั่วไปที่ไม่ใช่คนอิสานและไม่คุ้นเคยกับคำผวนแล้ว ก็คงไม่คิดอะไรมาก แต่คำว่า "บีหาย" นี้เป็นคำผวนกลับก็จะเป็น "บาย...." ซึ่งคำว่า "บาย" นี้ภาษาอีสานแปลว่า "จับ"

เมื่อ กบว.ทราบเช่นนี้แล้วก็ไม่รู้จะปล่อยให้ออกมาเผยแพร่หรือไม่ และสอดคล้องกับนโยสร้างของรัฐบาลที่สนับสนุนธุรกิจเชิงสร้างสรรค์หรือ หากเป็นไปได้มากกว่านี้ก็ควรจะบวก "ธุรกิจเชิงคุณธรรม" หรือ "น่านน้ำสีขาย" ตามที่ "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ได้เขียนหนังสือไว้


วันพฤหัสบดีที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2552

หลักการดู"ส.ส.-ส.ว."คนใดไหว้แล้วเป็นมงคล

"ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง" บูชาคนที่ควรบูชา เป็นมงคลสูงสุดข้อที่ 3 ในมงคล 38 ประการ คงจะได้ฟังกันเป็นประจำเวลาพระเจริญพระพุทธมนต์

สาเหตุที่ต้องยกพุทธภาษิตขึ้นมาเช่นนี้ก็เนื่องจากว่าเมื่อวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมามีการวิพากษ์วิจารณ์ในวงสนทนาของข้าราชการสภาผู้แทนราษฎรเนื่องจากมีหนังสือเวียนจากผู้อำนวยการสำนักบริหารกลาง กลุ่มงานบริหารงานบุคคล สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ไปยังหน่วยงานในสังกัดต่างๆ มีเนื้อหาระบุให้ข้าราชการสภาทุกคนต้องไหว้แสดงความเคารพต่อ ส.ส.ทุกครั้งที่พบ

ตามข้อสังเกตและข้อเสนอแนะคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2553 ต่างก็ไม่พอใจกับคำสั่งนี้และดังไปถึงหูสื่อมวลชนล่าสุดเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรก็ได้แจ้งว่าได้มีการยกเลิกคำสั่งนี้แล้ว

ตามปกติตามธรรมเนียมไทยแล้วเราก็ให้ความเคารพกับผู้ที่ควรเคารพอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นการยกมือไหว้ หลีกทางให้เป็นต้น อย่างน้อยๆก็เป็นการให้เกียรติ

แม้นว่าคำสั่งนั้นจะยกเลิกไปแล้วหรือจะชี้แจ้งว่าเป็นการเข้าใจคลาดเคลื่อนก็ตาม แต่ประเด็นที่ตามมาก็คือว่า ส.ส.คนใดลักษณะอย่างไรบ้างที่น่าไหว้น่าเคารพ ซึ่งส่วนใหญ่ก็พอจะรู้กันอยู่บ้าง

แต่ตามหลักพระพุทธศาสนาแล้ว การไหว้เคารพคนที่ควรเคารพนั้นถือว่าเป็นมงคงสู่สุดประการหนึ่งในมงคล 38 ประการ และเป็นมงคลข้อต้นๆด้วย

บุคคลที่ควรเคารพบูชาก็ได้แก่มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ บิดา มารดา ครู อุปัชฌาย์อาจารย์ และท่านผู้มีอุปการแก่ตน ด้วยบูชา 2 ประการคือ

1. อามิสบูชาได้แก่การให้วัตถุต่างๆ มีดอกไม้ธูปเทียนของหอม และข้าวน้ำผ้านุ่ง ผ้าห่ม ยารักษาโรค ที่อยู่อาศัย ปัจจัยลาภทั้งหลาย พร้อมเครื่องใช้ไม้สอยที่จำเป็น เป็นต้นขุดสระบ่อ และทำถนน สร้างพุทธรูป สถูปเจดีย์ เป็นต้น

2. ปฏิบัติบูชาได้แก่การปฏิบัติตามคำสั่งสอน เชื่อถ้อยฟังคำ ทำตามจนเห็นผลประจักษ์แจ้งแก่ตนจนเชื่อใจ วางใจ เบาใจแก่ผู้รับการบูชา พร้อมผู้บูชาเอง

แต่ท่านจะสรรเสริญผู้ปฎิบัติบูชามากกว่าการบูชาด้วยอามิส

บุคคลที่ควรบูชาที่กล่าวมาข้างต้นนั้นก็มีความชัดเจนอยู่แล้วว่าน่าเคารพบูชา แล้วสำหรับ ส.ส.หละมีลักษณะอย่างไรถึงจะน่าเคารพ ก็มีการอธิบายไว้ว่าไม่ต้องไปหาหลักไกลก็ในมงคลข้อที่ 2 ที่ว่า ปัณฑิตานัญจะ เสวนา เอตัมมังคลมุตตมัง ก็คือไหว้คนที่เป็นบัณฑิตนั้นเอง แล้วบัณฑิตมีลักษณะอย่างไรหละท่านก็อภิบายไว้ในสัปุริสธรรม 7 ประการเช่นเป็นผู้รู้จักเหตุ ผล ตน ประมาณ กาล และที่สำคัญก็คือเป็นคนที่ตั้งอยู่ในธรรม ก็คือไม่เป็นคนอันธพาล ซึ่งตรงกับมงคลข้อแรกก็คือ อเสวนา จะ พาลานัง เอตัมมังคลมุตตมัง ไม่คบคนชั่วเป็นมงคลสู่สุดประการหนึ่ง

ก็พอจะมีหลักไปจับ ส.ส.หรือ ส.ว.หรือหละว่า คนไหนเป็นคนพาล และคนไหนเป็นบัณฑิต ประเภทที่ชอบแจกกล้วย พูดจากร้าวร้าว หยาบคาย มุ่งแต่ให้ฝ่ายตนชนะปากก็บอกว่าประชาธิปไตย โดยไม่ฟังเหตุฟังผลแบบนี้คงจะไม่น่าไหว้มั้ง

สื่อออนไลน์ทำSEOสู้มากกว่าตั้งชมรมป้องลิขสิทธิ์ตัว

ทันทีที่ผู้บริหารเว็บไซต์ผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ประกอบด้วยเว็บไซต์ในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ ไทยรัฐออนไลน์ เดลินิวส์ออนไลน์ เครือมติชน เครือโพสต์พับลิชชิ่ง เครือเนชั่น เครือสยามสปอร์ต ไอเอ็นเอ็นออนไลน์ ฐานเศรษฐกิจออนไลน์ ดาราเดลี่ออนไลน์ แนวหน้าออนไลน์ สยามรัฐออนไลน์ และไทยโพสต์ออนไลน์ ได้ประชุมกันที่อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ถ.สามเสน เมื่อวันที่ 24 ก.ย.แล้วร่วมกันลงนามในคำประกาศเจตนารมณ์จัดตั้ง “ชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์”

เพื่อกำหนดข้อบังคับให้เป็นกติกาดำเนินการร่วมกัน เพื่อประโยชน์ต่อผู้ผลิตข่าวสารและสาธารณชนทั่วไป ดังต่อไปนี้

1.สมาชิกชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ทุกราย มุ่งมั่นส่งเสริมและสนับสนุนสิทธิในการรับรู้ข้อมูลข่าวสารของประชาชน ตามระบอบประชาธิปไตย โดยปราศจากการปิดกั้นจากอำนาจใดๆ

2.สมาชิกชมรมเชื่อมั่นว่า ประชาชนผู้รับรู้ข้อมูลข่าวสารออนไลน์ผ่านทางเครือข่าวอินเทอร์เน็ตตระหนักในคุณค่างานสร้างสรรค์ ผ่านกระบวนการทางวารสารศาสตร์ และสนใจติดตามข่าวสารดังกล่าวจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตข่าวสารแต่ละรายโดยตรง

3.ในกรณีที่มีการนำเนื้อหาจากเว็บไซต์ของผู้ผลิตข่าวออนไลน์ไปเผยแพร่ในช่องทางเว็บไซต์อื่น ในลักษณะเชิงพาณิชย์หรือเจ้าของเว็บไซต์ได้ประโยชน์ทางธุรกิจ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยนำไปผลิตซ้ำต้องเคารพในความมีลิขสิทธิ์งานสร้างสรรค์ที่ผลิตโดยเว็บไซต์สมาชิก

4.ชมรมส่งเสริมให้มีการทำข้อตกลงร่วมกันระหว่างสมาชิกกับผู้ประกอบการเว็บไซต์ที่ต้องการนำข่าวสารจากเว็บไซต์สมาชิกไปเผยแพร่ต่อ โดยยึดหลักความเคารพและคำนึงถึงลิขสิทธิ์ในการสร้างสรรค์งานเขียนและจริยธรรมทางธุรกิจ และประโยชน์ที่ผู้ผลิตข่าวออนไลน์จะได้รับด้วย

ทั้งนี้นายอดิศักดิ์ ลิมปรุ่งพัฒนกิจ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เนชั่น บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ตัวแทนผู้บริหารจากสมาชิกชมรมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ระบุว่า ทางชมรมไม่มีเจตนาปิดกั้นการเผยแพร่ หรือทำซ้ำข้อมูลข่าวสารที่นำเสนอข้อมูลไปเผยแพร่เป็นวิทยาทาน หรือเพื่อการศึกษา แต่ต้องการขอความร่วมมือกับเว็บไซต์ที่ประกอบกิจการเชิงพาณิชย์ ได้ดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมและมีความเป็นมืออาชีพ

ในเบื้องต้น ทางชมรมขอให้เว็บไซต์ที่นำเอาเนื้อหาข่าว ภาพข่าวและเนื้อหาอื่นๆ ซึ่งผลิตขึ้นโดยเว็บไซต์ผู้ผลิตข่าวออนไลน์ไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตและผลิตซ้ำเพื่อเผยแพร่อย่างไม่เหมาะสม ดำเนินการให้ถูกต้องเหมาะสมด้วยการนำหัวข้อข่าวที่ถูกส่งผ่านระบบ RSS Feed ไปติดตั้งเพื่อให้ผู้อ่านสามารถลิ้งค์กลับมาอ่านข่าวจากเว็บไซต์ของผลิตข่าวได้โอยตรง จากนั้น ทางชมรมฯ ก็จะวางมาตรฐานกลางเพื่อให้สมาชิกไปทำข้อตกลงเรื่องการนำเนื้อหาข่าวไปใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับเว็บไซต์เหล่านั้นต่อไป

ได้มีการโยนประเด็นนี้ในวงสนทนาผู้ใช้เว็บไซต์ทวิตเตอร์ก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ฝ่ายที่เห็นด้วยก็มองว่ากระบวนการที่จะได้มาซึ่งเนื้อหาของสื่อนั้นย่อมมีต้นทุนในการผลิตทั้งประสบการณ์และทุนทรัพย์ หากผู้นำไปใช้ในเชิงพาณิชย์ก็ต้องตีค่าในเชิงพาณิชย์ด้วย

ขณะเดียวกันฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็มองว่าการที่สื่อออนไลน์ที่เป็นกระแสหลักที่ตั้งชมรมมาเช่นนี้เพราะพ่ายแพ้เชิงพาณิชย์จึงต้องวางกรอบขึ้นมาปกป้องลิขสิทธิ์ตัวเอง ความจริงน่าจะคิดใหม่แทนที่จะทำเช่นนี้ และบางครั้งสื่อกระแสหลักยังได้ประเด็นจากเว็บบอร์ดไปหาข้อมูลเพิ่มเติมแล้วนำเสนอ

ความคิดที่ว่าสื่อออนไลน์ควรจะคิดใหม่นี้เป็นจุดที่น่าสนใจแล้วจะทำอย่างไรหละ ในชั้นนี้น่าจะเป็นการนำหลัก SEO และนิวมีเดีย มาบริหารสื่อออนไลน์ในเชิงพาณิชย์ เชื่อแน่ว่าจะสามารถก้าวมาอยู่ด้านหน้าได้ น่าจะเกิดผลเป็นรูปธรรมการตั้งชมรม

อย่างไรก็ตามการนำสื่อทั่วไปหรือสื่อออนไลน์มาต่อสู้กันในเชิงธุรกิจแล้วหากไม่ใช่เป็น "น่านน้ำสีขาว" ตามที่ "ดนัย จันทร์เจ้าฉาย" ได้เขียนเป็นหนังสือไว้แล้ว หรือเป็นธุรกิจแบบสร้างสรรค์ตามนโยบายของรัฐบาล สื่อจะต่างอะไรกับธุรกิจด้านอื่นทั่วๆไป ที่มุ่งแต่ปริมาณของผู้บริโภคเพื่อที่จะได้มาซึ่งรายได้เป็นสำคัญ โดยไม่ได้คำนึงความพอเพียง คุณธรรม จริยธรรมของสังคม





วันพฤหัสบดีที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2552

ซูซานโชว์เพลงWild Horsesฮอตบูมคลอดอัลบั้มแรก

คุณป้าเสียงเสน่ห์ "ซูซาน บอยล์" โด่งดังจากเรียลลิตี้ยอดฮิตของอังกฤษ Britain's Got Talent แม้นว่าจะห่างหายไปบ้างในช่วงของการเสียชีวิตของราชาเพลงป๊อบ "ไมเคิล แจ็คสัน" แต่การเคลื่อนไหวของเธอก็มีอย่างต่อเนื่องอย่างเช่นได้แปลงโฉมขึ้นปกนิตยสารไฮโซดังแห่งเมืองมะกันเมื่อไม่นานมานี้

ถึงกระนั้น "ซูซาน บอยล์" ก็ได้ซุ่มทำอัลบั้มชุดแรกในชีวิตชุด “ไอ ดรีม อะ ดรีม” I Dreamed a Dream และเตรียมคลอดอย่างเป็นทางการวันที่ 24 เดือนพฤศจิกายนนี้

ทันทีที่มีข่าวออกมาเช่นนี้ส่งผลให้ยอดจองอัลบั้มชุด I Dreamed a Dream ทางอินเทอร์เน็ต ถล่มทลาย จนทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ของเว็บไซต์ขายของ Amazon.com แล้ว ชนิดมากกว่า ยอดขายอัลบั้ม I Look to You ของนักร้องเสียงทรงพลัง วิทนีย์ ฮุสตั้น ที่กลับมาจับไมค์อีกครั้งในรอบ 7 ปีอีกด้วย

ล่าสุด ซูซาน บอยล์ ได้ข้ามทวีปโชว์พลังเสียง ในรายการเรียลลิตี้ America"s Got Talent โดยนำเพลงเก่า Wild Horses ของวง Rolling Stones มาร้องใหม่ ซึ่งพลังเสียงของเธอก็ยังสร้างความประทับใจให้แฟนเพลงได้ไม่เปลี่ยน และมีการนำคลิปขึ้นเว็บไซต์ยูทูปและมีการทำเอ็มวีประกอบด้วยก็ได้รับความสนใจติดอันดับยอดฮิตอยู่ขนะนี้


ดูคลิป http://www.mhanation.net/susan1809.html

ทวิตเตอร์(Twitter)สีขาว....หัวใจใฝ่ธรรมะ

ทุกวันนี้คงเป็นที่ย่อมรับเกือบทุกวงการแล้วว่า ทวิตเตอร์ (Twitter) เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน การงาน นักการตลาดและภาคธุรกิจทั่วโลกต้องจับตามองและรีบลงมาเล่น หรือแม้นแต่เป็นเครื่องมีทางการเมือง

สำหรับประเทศไทยนั้นเริ่มจากผู้เชี่ยวชาญและคนในวงการไอที เช่น สุกรี พัฒนภิรมย์, อภิศิลป์ ตรุงคกานนท์, ปรเมศวร์ มินศิริ ต่อด้วยดาราหลายคน เช่น กิ๊บซี่ วนิดา เติมธนาภรณ์, เจ มณฑล, พอลล่าเทเลอร์ ก่อนที่จะดังเป็นข่าวไปทั่วทันทีเมื่อนักการเมือง เช่น กรณ์ จาติกวณิ, อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและทักษิณ ชินวัตร กระโดดเข้าสู่กระแส ทวิตเตอร์ (Twitter)

ทั้งนี้เนื่องจาก ทวิตเตอร์ (Twitter) สามารถตอบโจทย์พฤติกรรมการพูดคุยปกติของมนุษย์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพูดสั้นๆ แต่บ่อยๆทั้งวัน เพราะการจะส่ง Email Chat หรือการเขียน Blog ไม่สามารถสนองความต้องการได้เหมือนกับ ทวิตเตอร์ (Twitter)

อย่างไรก็ตาม ทวิตเตอร์ (Twitter) แม้นจะมีประโยชน์แต่ก็แฝงไว้ด้วยโทษ เพราะมีงานวิจัยชิ้นนี้เป็นของ ดร.เทรซีย์ อัลโลเวย์ (Dr.Tracy Alloway) นักจิตวิทยาที่เชี่ยวชาญด้านความจำระดับใช้งาน (Working Memory) เป็นความจำระยะสั้นชนิดหนึ่ง จากมหาวิทยาลัยสเตอร์ลิ่ง (University of Stirling) ประเทศสกอตแลนด์ สรุปว่า อาจจะทำให้ผู้เล่นมี "สมาธิสั้น" ก็เป็นได้ เพราะทำให้สมองไม่มีการประมวลผล

ทำให้ผู้เล่น ทวิตเตอร์ (Twitter) ตัวยงอย่าง "สุกรี พัฒนภิรมย์" ออกมาค้านเสียงแข็งผ่านเว็บไซต์คมชัดลึกว่า ไม่เชื่อว่าการเล่นทวิตเตอร์ (Twitter) จะมีส่วนทำให้สมาธิสั้น สาเหตุของสมาธิสั้นอาจเกิดจากนิสัยดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเรียนหนังสือ ที่ถูกยัดเยียดให้เรียนเยอะ หรือทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน ตลอดจนการดูโทรทัศน์ที่ถูดยัดเยียดด้วยข้อมูลที่เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว

ขณะที่ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต และรองประธานมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว มองว่า ปัจจุบันผลกระทบจากเทคโนโลยีสมัยใหม่ทำให้เด็กไทยสมาธิสั้นมากขึ้น ไม่จำกัดเพียงแค่ทวิตเตอร์เท่านั้น ยังรวมถึงการเล่นเกมคอมพิวเตอร์ การแชทเอ็มเอสเอ็นบ่อยๆ ด้วย เนื่องจากธรรมชาติของเทคโนโลยีมันจะเปลี่ยนแปลงความสนใจไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คนเรามีความสามารถ หรือสมาธิในการแยกแยะข้อมูลได้ลดน้อยลง

ดังนั้นคงจะพูดได้ว่า ทวิตเตอร์ (Twitter) นั้นมีทั้งด้านดำและด้านขาว ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ว่าจะใช้ในด้านใด อย่างเช่นเจ้าพ่อธรรมะอย่าง ดนัย จันทร์เจ้าฉาย ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เข้ามาใช้บริการเปิดแอ็กเคานท์ อย่าง
http://twitter.com/dc_danai เพื่อเป็นการแชร์ธรรมะประสาชาวพุทธ ทำให้แฟนคลับเข้ามาติดตาม (Follower) ไม่น้อย @Dungtrin ดังตฤณ นักธรรมะเช่นเดียวกันทวิตธรรมเจือหลักเซน

@paisalvision อาจารย์ไพศาล พืชมงคล อดีตสมาชิกวุฒิสภา คนสนิทของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตร์ แม้นว่าจะทวิตใส่สีอยู่บ้างทั้งการเมือง สุขภาพ โหราศาสตร์ แต่บ่อยครั้งอาจารย์ก็ใส่ธรรมลงไปด้วย หรือแม้นแต่ @mhanation แม้นจะทวิตลักษณะเช่นเดียวกัน @paisalvision ที่ให้ความเห็นความเคลื่อนไหวด้านการเมือง ข่าว
สารต่างๆ แต่ก็พยายามที่จะสอดแทรกธรรมะเข้าไป

นอกจากนี้ยังมีแอ็กเคานท์ลักษณะเช่นนี้อาทิ @DhammasalaNEWS @namassakan @dhammavoice @buddhatrance @tinybuddha รวมถึงแอ็กเคานท์ขององค์ดะไล ลามะ เช่น @HisHoliness @OHHDLInfo

อย่างนี้คงจะพูดได้ว่าเป็นการใช้ ทวิตเตอร์ (witter) สีขาว โดยแท้


วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

ภูมิใจไทยยก"ทิศ6"สอนมารยาทพรรคร่วมปชป.

คงปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี มีเรื่องกระทบกระทั้งกันระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคภูมิใจไทยภายใต้ผู้นำตัวจริงคือนายเนวิน ชิดชอบ ลูกพ่อชัย ชิดชอบ ประธานรัฐสภา

ทั้งเรื่องการแต่งตั้งตำแหน่ง ผบ.ตร. ส่งผลให้พรรคภูมิใจไทยไม่พอใจอย่างมาก ที่พรรคประชาธิปัตย์เล่นเกมโดยการขุดคุ้ยคดีที่ดินอัลไพน์ขึ้นมาต่อรอง ทั้งๆที่นายถาวร เสนเนียม รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย จากพรรคประชาธิปัตย์ ดูแลกรมที่ดิน ก็ปล่อยให้ลูกพรรคออกมาจี้ให้ดำเนินการเรื่องนี้ พร้อมกันนี้ยังมีความขัดแย้งในกระทรวงพาณิชย์มาตลอดทั้งการประกันราคาข้าวการแต่งตั้งปลัดกระทรวง

ส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลบีบให้มีการปรับครม.ในบางตำแหน่งที่เป็นปมขัดแย้ง รวมทั้งเร่งให้มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เร็วยิ่งขึ้นหลังจากงบประมาณปี 2553 ผ่านรัฐสภาแล้ว แม้นว่าแกนนำของทั้งสองพรรคจะออกมาปฏิเสธการกดดันก็ตามที แต่สำเนียงการพูดออกมาสู่สาธารณะมันฟ้อง

ดูอย่างการให้สัมภาษณ์ของนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะโฆษกพรรคภูมิใจไทยว่าเป็นเพียงข่าวลือ พรรคภูมิใจไทยในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล ก็จะทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เพื่อช่วยแก้ปัญหาให้ผ่านไปได้ด้วย และยืนยันว่า ยังเป็นพรรคร่วมรัฐบาลที่ดี

"ทั้งนี้ คาดหวังว่า พรรคร่วมอื่น ๆ จะมองเราอย่างเป็นมิตร ดูแลกันฉันท์มิตรต่อไป หากพรรคใดมีพฤติกรรมที่เลยเถิด จนส่งผลให้พรรคร่วมรัฐบาลอึดอัด คงต้องไปทำความเข้าใจกันภายใน ซึ่งเขามองว่า เรื่องส่วนบุคคล ไม่ใช่มติของพรรค"
แล้วที่ว่า"มองเราอย่างเป็นมิตร ดูแลกันฉันท์มิตร" เป็นอย่างไร หากเห็นเพื่อนทำผิดแล้วทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ถ้าเป็นพวกกูถูกหมก ถ้าเป็นฝ่ายตรงกันข้ามผิดหมดอย่างนั้นหรือ แล้วผลประโยชน์ของชาติอยู่ตรงไหน


ถ้ายังไม่รู้ว่า"ดูแลกันฉันท์มิตร" เป็นอย่างไร คำพระท่านก็ได้สอนไว้ในเรื่อง "ทิศ 6" ที่ว่าด้วยหลักของการคบมิตร พระพุทธเจ้าทรงจัดมิตรสหายเป็นทิศเบื้องซ้ายที่ต้องพบปะพึ่งพาอาศัยแสดงน้ำใจเกื้อกูลกันอยู่เสมอ พึงสงเคราะห์แสดงความกตัญญูต่อกัน ดังนี้

หน้าที่ของกัลยาณมิตรพึงมีมิตร

1.เผื่อแผ่แบ่งปัน 2.พูดจามีน้ำใจ 3.ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน 4.วางตนเสมอ ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วย 5.ซื่อสัตย์จริงใจ

ขณะที่หน้าที่ของมิตรพึงมีต่อกัลยาณมิตร

1.เมื่อเพื่อนประมาท ช่วยรักษาป้องกัน 2.เมื่อเพื่อนประมาทช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของเพื่อน 3.ในคราวมีภัยเป็นที่พึ่งได้ 4.ไม่ละทิ้งในยามทุกข์ยาก 5.นับถือกันตลอดถึงวงศ์ญาติของมิตร

ขณะเดียวกันท่านจัดมิตรเทียมไว้ 4 ประเภท

มิตรเทียม มาจากคำว่า มิตรปฏิรูป ซึ่งอาจมีความหมายว่า คนเทียมเป็นมิตรหรือคนปลอมเป็นมิตร ซึ่งมี 4 ประเภทคือ

1.คนปอกลอก คนประเภทนี้ไม่ใช่มิตรแต่แสดงตัวว่าเป็นมิตร ซึ่งหวังผลประโยชน์จากคนที่คบด้วย ซึ่งมี 4 ประเภทคือ

-คิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว คือ คนที่เอาเปรียบ -เสียน้อย คิดเอาให้มาก คือ เมื่อในกรณีที่ทีการลงทุนจะเสียน้อยแต่พอได้รับประโยชน์หรือผลตอบแทนแล้ว จะรับเอาแต่มาก
-เมื่อมีภัยแก่ตัว จึงรับทำกิจของเพื่อน คือ ตามปกติคนประเภทนี้จะไม่ยอมข่วยเหลือใคร แต่เมื่อตนประสบปัญญาแล้วจึงมาแกล้งแสดงตัวเป็นมิตร
-คบเพื่อนเพราะเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว คือ คนประเภทนี้เป็นคนเห็นแก่ตัวเมื่อคบเพื่อนคนใดแล้วก็จะเห็นแต่ประโยชน์ส่วนเท่านั้น

2.คนดีแต่พูด คนดีแต่พูดไม่ถึงกับใช่คนหลอกลวง แต่เป็นกะล่อน ขอให้ได้พูดพูดในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ ส่วนมากเป็นเรื่องไร้สาระมี 4 ประเภทคือ
-เก็บของล่วงแล้วมาปราศรัย คือ พววกที่คอยเรียกร้องความสนใจ ส่วนใหญ่แล้วจะเอาเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตมาพูด
-อ้างเอาของที่ยังไม่มีมาปราศรัย คือ พวกที่ชอบพูดในเรื่องของอนาคต พูดในทำนองการพยากรณ์ ทำตัวเป็นผู้รอบรู้
-สงเคราะด้วยสิ่งที่หาประโยชน์มิได้ คือ ถ้าช่วยเหลือคนที่คบกันอยู่ก็จะช่วยเหลือแบบเล่น ให้สิ่งที่ไม่มีประโยชน์
-ออกปากพึ่งมิได้ คืด เมื่อเพื่อนต้องการพึ่งเพราะมีความเดือดร้อนบางอย่าง ก็บ่ายเบี่ยงแบ่งรับแบ่งสู้

3.คนหัวประจบ คนหัวประจบเป็นคนที่คอยตามใจเพื่อน ให้เพื่อนเป็นผู้นำส่วนตนนั้นทำตัวเป็นผู้ตาม เพราะหวังผลประโยชน์ไม่ว่าสิ่งใดก็สิ่งหนึ่งคนจำพวกนี้มีอยู่ 4 ประเภทคือ
-จะทำชั่วก็คล้อยตาม คือ เมื่อเห็นเพื่อนทำชั่วก็ไม่ห้ามปราม กลับช่วยสนับสนุน
-จะทำดีก็คลอยตาม คือ เมื่อเพื่อนทำดีก็เห็นด้วยคอยสนับสนุนเอาใจเพื่อน
-ต่อหน้าว่าสรรญเสริญ คือ คอยยกย่องเพื่อนต่อหน้าเพื่อเอาใจเพื่อน
-ลับหลังนินทาเพื่อน คือ เมื่อเพื่อนไม่เห็น ไม่ได้ยิน กลับนินทาว่าร้ายต่างๆ

4.คนชักชวนในทางฉิบหาย คนชักชวนในทางฉิบหาย คบเพื่อนเพื่ออาศัยเพื่อนเป็นเครื่องมือหาความสนุกเพลิดเพลินของตน มีลักษณะ 4 ประการคือ

-ชักชวนดื่มน้ำเมา คือ ชักชวนให้เพื่อนดื่มสุราเมรัยซึ่งเป็นโทษทั้งต่อตนเองและผู้อื่น -ชักชวนเที่ยวกลางคืน เช่น เที่ยวตามสถานบริการบันเทิงต่างๆ
-ชักชวนให้มัวเมาในการเล่น คือ เล่นกีฬาหรือเล่นเกมต่างๆที่มีการพนันอยู่ด้วย
-ชักชวนเล่นการพนัน หมายถึง การเล่นการพนันล้วนๆ

หลักธรรมเหล่านี้สามารถนำมาคอยตรวจสอบว่าคนที่เราคบอยู่นั้นเป็นมิตรแท้หรือมิตรเทียมที่คอยแต่จะแสวงหาผลประโยชน์จากเรา เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้



วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2552

"สตีเฟน ยัง"ผู้ค้นพบบ้านเชียงมองทักษิณทะลุ

"สตีเฟน ยัง" ในฐานะนักศึกษาฮาร์วาร์ดที่ค้นพบบ้านเชียง แหล่งโบราณคดีแห่งที่ราบสูง อ.หนองหาน จ.อุดรธานี และในฐานะลูกชายทูตสหรัฐประจำประเทศไทย เติบโตและศึกษาเล่าเรียนอยู่ในเมืองไทย เฝ้ามองดูความเปลี่ยนแปลงทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และการปกครองไทยมานาน ได้ให้สัมภาษณ์ สุทธิชัย หยุ่น ทางรายการชีพจรโลก ออนแอร์ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท วันที่ 8 กันยายนและตีพิมพ์ทางหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์คมชัดลึกความว่า

"สตีเฟน ยัง" ได้ติดตามการเคลื่อนไหนของ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" ตั้งแต่เริ่มทำชิน คอร์เปอเรชั่นฯ กับการได้มาซึ่งสัมปทานโทรศัพท์จากรัฐบาลโดยระบบ "ผูกขาด" และวิเคราะห์แนวคิดของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นแบบจักรพรรดิของจีน ซึ่งถูกนำมาใช้ครั้งแรกโดย "ฉิน จื่อ หวาง" แบ่งเป็นเบื้องบนคือสวรรค์ ถัดลงมาเป็นคนคนหนึ่ง ส่วนเบื้องล่างคือคนที่เหลือ แล้วเข้าควบคุมรัฐบาล ตำรวจ ผู้พิพากษา นักธุรกิจ โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ ฯลฯ ทำให้ทุกสิ่งอยู่ใต้เขา ซึ่งไม่เคยมีผู้นำไทยคนไหนในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่พยายามทำเช่นนี้มาก่อนเลย (จุดนี้เข้าใจว่ายังไม่มีใครพูดถึงชัดนัก)

เขาชี้ว่าในเมืองไทยคนตัวเล็กๆ มักจะแหงนมองคนสำคัญ เพราะพวกเขามีความรู้สึกของระบบอุปถัมภ์อยู่ ทว่าทักษิณเข้าไปตัดลำดับขั้นต่างๆ เพื่อเข้าไปปกครองโดยตรง ทุกคนทำงานภายใต้ตัวผู้นำ ไม่ใช่ความร่วมมือแบบเก่าๆ แต่คนส่วนใหญ่ทำงานให้ทักษิณและเชื่อว่าทักษิณจะใช้เงินดูแลพวกเขา เมื่อถามว่าลักษณะเช่นนี้เป็นประชาธิปไตยหรือไม่ สตีเฟนบอกว่าประชาธิปไตยที่ปราศจากศีลธรรมจะย่ำแย่ แต่ความยุติธรรมต่างหากคือสิ่งจำเป็น

"ย้อนกลับไปที่ อริสโตเติล หากคุณเป็นประชาธิปไตย แต่คุณฉ้อโกง ทำร้ายผู้อื่น เราเรียกว่าทรราช คุณไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม นั่นเป็นระบบที่เลวร้าย อริสโตเติลกล่าวไว้ว่าทุกๆ ระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ขุนนาง หรือประชาธิปไตย ต้องมีกฎหมาย มีศีลธรรม และเป็นธรรม ที่จะควบคุมอำนาจในทางมิชอบ" (น้อยคนนักที่จะอ้างอิงเช่นนี้)

อย่างไรก็ดี สตีเฟนได้ตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยเดินไปผิดทางคือ การปกครองลักษณะเดียวกับอาร์เจนตินา ภายใต้การนำของ "ฮวน เปรอง" ที่ไปหาคนจนแล้วโทษคนรวย บอกให้คนจนโหวตเขาแล้วเขาจะลงโทษคนรวย เอาเงินจากคนรวยมาให้คนจน เอาคนจนไปต่อสู้กับคนรวย ทั้งที่ปี 1930 ก่อนยุคฮวน เปรอง อาร์เจนตินาได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่ร่ำรวย แต่ผู้นำเผด็จการได้ทำลายเศรษฐกิจและสร้างพรรคเผด็จการ 70 ปีต่อมาอาร์เจนตินาก็เผชิญกับความยากจนและแตกแยก สตีเฟนมองว่าหากไทยยังปล่อยให้เป็นแบบนี้ก็จะประสบชะตากรรมเดียวกัน

สตีเฟนย้ำว่า ระบบที่ดีอยู่ที่ใครจะสร้างความยุติธรรมในสังคมได้ ใครที่ปกครองอย่างมีศีลธรรม สามารถตรวจสอบควบคุมซึ่งกันและกันได้ รัฐธรรมนูญปี 2540 เป็นรัฐธรรมนูญที่ดี แต่บางคนที่มีเงินเข้ามาแล้วทำตัวเหมือนหนูที่เอาเนยแข็งทั้งก้อนไป คุณความดีของรัฐธรรมนูญสูญหายไป ผู้คนไม่พอใจ ประท้วง ปฏิเสธการประนีประนอม ที่ผ่านมาสตีเฟนได้ยินทักษิณพูดว่า รัฐประหาร 19 กันยายน 49 ล้มล้างเขา ตั้งแต่นั้นเขาถูกข่มเหงมาโดยตลอด ทั้งที่ก่อนหน้าทักษิณได้ฝ่าฝืนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและทำลายกฎหมาย สร้างความชอบธรรมและอะลุ้มอล่วยทางกฎหมาย คือ เขาได้เริ่มกระบวนการล่มสลายเอง และรัฐประหารก็เป็นส่วนหนึ่งของการล่มสลาย

"ตอนนั้นผมรู้สึกเศร้าใจ อะไรคือทางออกของไทย ถ้าเดินหน้าต่อกับทักษิณก็จะจบลงด้วยเผด็จการแบบจีน ซึ่งไม่ดีกับประเทศไทย แต่ถ้าเลือกรัฐประหารมันก็ขัดรัฐธรรมนูญ ประเทศไทยไม่ควรอยู่ในจุดนั้น ไม่ใช่เพราะกองทัพ ไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ใช่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ แต่เป็นเพราะคนคนหนึ่งกับทีมของเขาเอง"

เมื่อถามย้ำว่าทักษิณโทษป๋าเปรมว่าเป็นต้นเหตุของความเดือดร้อนทั้งหมด สตีเฟนตอบว่าทักษิณเป็นคนฉลาดพูด เขารู้จักหัวใจของคนไทยดี รู้ว่าควรจะพูดอะไรให้คนไทยคิดเหมือนเขา ในตะวันตกเรียกว่า "ผู้ปลุกปั่น" เขาจะศึกษาตัวคนฟังและอารมณ์ แล้วพูดในสิ่งที่คนอยากได้ยิน ไม่ใช่ชอบหรือห่วงใย แต่เพราะต้องการบางอย่างคือ เสียงโหวตและความภักดี

ท้ายที่สุดแล้วสตีเฟนยังมีความหวังว่า ความแตกแยกทางการเมืองในไทยแก้ไขได้ ถ้าทุกฝ่ายนั่งลงแล้วคุยกันถึงวิธีแก้ปัญหาแบบไทยๆ แล้วทำงานร่วมกัน เช่น โครงการพัฒนาเศรษฐกิจและพัฒนาการศึกษา ฯลฯ ทุกคนควรมีจิตสำนึกของสิ่งถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จริยธรรม และความภาคภูมิใจที่เป็นคนไทย ที่ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหรือต้องฟังใคร ที่สำคัญหากความทะเยอทะยานของทักษิณถูกนำออกไปจากบริบทปัญหานี้ก็น่าจะมีทางออกสักทาง

(คลิป) เมธีดาราเสื้อแดงชกคนกันเองแย่งเรตติ้งทักษิณ

เหตุการณ์วุ่นวายถึงขั้นชกต่อยกันที่หน้าที่ทำการพรรคเพื่อไทย อาคารบีบีดี บิวดิ้ง ถนนพระรามสี่ เมื่อช่วงเช้าวันที่ 8 กันยายน คงจะสร้างความหงุดหงิดไม่น้อยให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี

เพราะว่าข่าวเด่นวันที่ 8 กันยายน แทนที่จะเป็นประเด็นการโพสต์ข้อความลงในเว็บไซต์ทวิตเตอร์ที่ระบุต้องการจะพูดคุยกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี หลังจากนายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์กับ "สุทธิชัย หยุ่น" ทางทวิตเตอร์เมื่อคืนวันที่ 7 กันยายน ถึงโอกาสที่บุคคลทั้งสองจะพูดคุยกันเพื่อยุติปัญหาการเมืองที่วุ่นวายกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ กลับเป็นประเด็นการชกต่อยที่หน้าพรรคเพื่อไทยที่ได้รับความสนใจมากกว่า

ถ้าการชกต่อยกันของบุคคลทั่วๆไปหรือเป็นอันธพาลข้างถนนอย่างที่เกิดขึ้นเป็นประจำก็คงไม่น่าสนใจเท่าใดนัก แต่เหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการชกต่อยกันระหว่างนายเมธี อมรวุฒิกุล นักแสดงและนายแบบ ซึ่งเคยขึ้นเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงและเข้าร่วมกิจกรรมกับพรรคเพื่อไทยอยู่บ่อยครั้ง กับนายอดิศราช ธรรมพิทักษ์ ผู้อำนวยการศูนย์เลือกตั้งสุราษฎร์ธานี ที่เดินทางมาทวงเงินหาเสียงเลือกตั้งซ่อมส.ส.สุราษฎร์ธานี แม้นว่าทางพรรคเพื่อไทนจะออกมาปฏิเสธเป็นเรื่องส่วนบุคคล และฝ่ายนายเมธีจะได้ขอโทษแล้วก็ตาม

คงไม่ต้องวิจารณ์ว่าพฤติกรรมเยี่ยงนี้เป็นอย่างไร แต่ทันทีที่พฤติกรรมครั้งนี้ปรากฏต่อสื่อก็ได้รับความสนใจติดตามและเป็นข่าวใหญ่หัวหนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็มีคำถามตามมาก็คือว่านายเมธีควรที่จะก่อเหตุครั้งนี้หรือไม่ไปถามใครก็คงไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอนถึงมีการปฏิเสธการมีส่วนร่วมเกี่ยวข้อง

สำหรับนายเมธีนั้นเคยขึ้นเวทีคนเสื้อแดงโดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านจนกระทั้งถูกตำรวจจับร่วมกับแกนนำ นปช. ซึ่งเจ้าตัวบอกว่า เคยไปขึ้นเวทีอยู่ 2 ครั้ง คือก่อนรัฐบาลประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ 1 ครั้ง และหลังประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯอีก 1 ครั้ง ส่วนที่บอกว่าเป็นนายแบบนั้นเคยขึ้นบกนิตยสารแนวเซ็กซี่ และขึ้นปกหนังสือเพาะกาย สไตล์นายแบบ อย่างไรก็ตามพฤติกรรมครั้งนี้ทำให้นายเมธีโดงดังอีกครั้งหลังจากถูกจับดังกล่าว

ดูคลิป-http://www.mhanation.net/red0909.html

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

"สุทธิชัย หยุ่น"สร้างปรากฎการณ์หารายได้ผ่านทวิตเตอร์

ผ่านไปแล้วสำหรับการที่ "สุทธิชัย หยุ่น" @suthichai บรรณาธิการอำนวยการเครือเนชั่น สัมภาษณ์ "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" @ PM_Abhisit นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ผ่านเว็บไซต์ทวิตเตอร์ (Twitter.com) และมีการถ่ายทอดสอดผ่านทางเนชั่นทีวีและช่อง 9 เมื่อคืนวันที่ 7 กันยายน ซึ่ง "สุทธิชัย หยุ่น" บอกว่านี้นับเป็นหน้าหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่สัมภาษณ์ผู้นำประเทศผ่านทวิตเตอร์ซึ่งเป็นครั้งแรกของโลก

ส่วนประเด็นทางการเมืองที่สัมภาษณ์กันนั้นคงจะได้ทราบกันไปแล้วว่าระหว่าง "อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ" กับ "ทักษิณ ชินวัตร" จะมีหนทางหันหน้ามาคุยกันเพื่อยุติปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองได้หรือไม่

แต่มีประเด็นที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งสำหรับปรากฏการณ์ครั้งนี้ก็คือการหารายได้ผ่านทางทวิตเตอร์ หลายคนคงจะได้สังเกตุแบ็คกราวน์ twitter account ของ @suthichai ช่วงที่มีการสัมภาษณ์จะเปลี่ยนไปจากปกติที่ผ่านมา ซึ่งในช่วงนั้นก็มีชาวทวิตเตอร์บางคนตั้งข้อสังเหตุว่ามีการเปลี่ยนแปลงจุดนี้ และมีรายการจบ แบ็คกราวน์ดังกล่าวก็หายไปกลับมาเหมือนเดิม

แต่เมื่อเวลาประมาณ 01.00น.ก็ได้รับความกระจ่างจากชาวทวิตเตอร์นาม @kengdotcom โดยโฟสต์ของความว่า"twitter กับการโฆษณาในไทย"พร้อมลิงค์อธิบายรายละเอียดคือ http://bit.ly/1fOzRr จึงทำให้ทราบว่านี้เป็นแนวทางหนึ่งของการหารายได้จากกานำโฆษณาสิ้นค้ามาเป็นแบ็คกราวน์ใน "twitter account" แทนที่จะอาศรัยเพียงการฝากลิงค์กับทวิตเตอร์ไปหาเว็บไซต์ที่ลงโฆษณาโดยตรง ส่วนมีรายได้มากน้อยเพียงใดนั้นก็คงจะขึ้นอยู่เจ้าของ twitter account นั้นๆว่ามีจำนวนคนติดตามมากน้อยเพียงใด

ทั้งนี้ @kengdotcom ได้อธิบายที่เว็บไซต์ว่า"สินค้าทีว่าก็คือ สายการบินนกแอร์ ซึ่งผมเองสังเกตุเห็นว่า โฆษณาโผล่มาอยู่แป๊บเดียว อาจจะอยู่ไม่กี่นาที เมื่อการสัมภาษณ์เริ่มต้นไปได้สักพัก ผมพบว่า รูปภาพแบ็คกราวน์ที่มีโลโก้ สายการบินนกแอร์นั้น ได้หายไป และกลายเป็นภาพแบ็คกราวน์ปกติ ไม่รู้ว่าเกิดจากอะไรเหมือนกันครับ แต่สิ่งที่เห็น เราพบว่าการโฆษณา สามารถทำกับ twitter ได้ด้วย โดยสามารถสร้างรายได้จาก twitter account ของตัวเองนั่นเองครับ"

เมื่อทราบเช่นนี้คงจะเป็นยาชูกำลังให้กับชาวทวิตเตอร์ไม่น้อยเลยทีเดียว คงจะมีวิริยะสร้างสรรค์ผลงานออกมา แทนที่มีไว้เพียงระบายอารมณ์หรือใช้เป็นประโยชน์ทางการเมืองเท่านั้น ถึงแม้นว่าอาจจะเป็นเม็ดเงินไม่มากนักแต่นั้นก็ถือว่าเป็นรายได้ที่สุจริต

วันเสาร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2552

จะมีใครสักกี่คนที่ได้รู้และทันเกมคนชื่อ"ทักษิณ"

"จะมีใครสักกี่คนที่ได้รู้ และทันเกม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี" อย่างที่ พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร อดีตรองอธิบดีกรมตำรวจ กล่าวในสัมมนา เรื่อง”การปฏิรูปการเมืองกับอนาคตของประ เทศไทย” ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ร่วมกับมูลนิธิองค์กรกลางเพื่อประชาธิปไตย จัดขึ้น เพราะเชื่อแน่ว่าทั้งแนวร่วมและฝ่ายตรงข้ามกับพ.ต.ท.ทักษิณน้อยคนหนักที่รู้เป้าหมายที่แท้จริงว่าคืออะไร

ทั้งนี้พล.ต.อ.วสิษฐบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณและกลุ่มทักษิณได้ใช้กลยุทธ์ทุกอย่าง เพื่อให้ได้ชัยชนะ โดยเฉพาะยุทธการที่ขัดกับศีลข้อที่สี่ นอกจากนี้ยังมีการใช้สื่อซึ่งสามารถกระจายออกไปได้ไกลและมีเครือข่ายมาก

จุดนี้พล.ต.อ.วสิษฐมองขาดเพราะกว่าที่ พ.ต.ท.ทักษิณ จะก้าวมาจุดทุกวันนี้ได้ใช้สื่อมาเป็นเครื่องมืออย่างต่อเนื่องอย่างล่าสุดคือโฟนอิน วิดีโอลิงค์ แม้นกระทั้งปัจจุบันนี้พ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้สื่อไอทีอย่างเต็มรูปแบบอย่างที่โด่งดังอยู่ทุกวันนี้ก็ทุกสื่อทางเว็บไซต์ทวิตเตอร์และเฟสบุ๊ครวมถึงสื่อทีวีวิทยุทางอินเตอร์เน็ต

ดังนั้นคนที่เมตตาต่อพ.ต.ท.ทักษิณและปรับทัศนคติได้ก็จะต้องรู้ทันพ.ต.ท.ทักษิณและต้องรู้จริตที่มีอยู่ในตัวพ.ต.ท.ทักษิณอย่างดีเยี่ยมโดยเฉพาะอย่างยิงพุทธจริตและโมหจริต และจะต้องเป็นผู้ที่ตื่นอยู่ทุกเมื่อถึงจะตามพ.ต.ท.ทักษิณทัน และปรับทัศนคติของพ.ต.ท.ทักษิณได้ และอีกจุดหนึ่งที่พล.ต.อ.วิสิษฐ มองก็คือว่า

"หากพ.ต.ท.ทักษิณทำสงครามแบบคอมมิวนิสต์ ซึ่งขาดปัจจัยหลายอย่าง คือ ขาดความเป็นผู้นำประชาธิปไตย เพราะพื้นเพเป็นนายทุนที่เข้ามาสู่ระบบมหาอำมาตย์ โดยใช้วิธีทางลัดเพื่อนำประชาชนมาต่อสู้ รู้จักใช้วิธีการที่ดึงประชาชนมาศรัทธาในตัวเอง ที่เป็นเช่นนี้เพราะอำนาจเผด็จการที่ยึดการปกครองประเทศมาอย่างยาวนานและผูกขาด โดยที่ไม่ให้การศึกษากับประชาชนให้เข้าใจการเมือง ไม่สร้างประชาชนให้เติบโตเพื่อดูแลบ้านเมืองและพัฒนาประชาธิปไตย ทำให้ประชาชนถูกกด เมื่อถึงยุคพ.ต.ท.ทักษิณก็สำเร็จ เพราะประชาชนเงยหน้ารับ พ.ต.ท.ทักษิณก็ไห้ ดังนั้นหากประชาชนรู้ทันนักการเมืองก็คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ แนวทางที่แก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือการให้การศึกษากับประชาชน"

นั้นก็แสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณพัฒนาตัวเองมาได้ทุกวันนี้ก็เพราะระบบอำมาตย์ที่ตัวเองและพวกพ้องตั้งเปล่าโจมตีอยู่ขณะนี้ และเมื่อประชาชนต่างสว่างรู้ทันพ.ต.ท.ทักษิณ ใช้พรหมทัณฑ์ปราบพ.ต.ท.ทักษิณอย่างเต็มรูปแบบแล้วในที่สุดพ.ต.ท.ทักษิณก็จะหายพยศไปเอง กลับตัวกลับใจเหมือนดังองคุลีมาลใช้สติปัญญาที่มีอยู่แทนคุณแผ่นดินก็จะยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นทั้งตัวเองและประเทศชาติที่ตัวเองอาศรัยเกิด

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

น้องหม่องหวังสร้างชื่อเสียงให้ไทยคนไทยบ้างคนกลับสร้างชื่อเสีย

ในที่สุด "น้องหม่อง" ด.ช.หม่อง ทองดี บุตรแรงงานต่าวด้าวพม่า นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านห้วยทราย ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ได้หนังสือเดินทางชั่วคราวสำหรับคนต่างด้าว (Travel Document for Alien) จากระทรวงต่างประเทศ ตามหนังสือแจ้งของนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สามารถเดินทางไปแข่งขันพับเครื่องบินกระดาษ ที่ประเทศญี่ปุ่นในนามประเทศไทยได้

แต่กว่า "น้องหม่อง" จะได้ตามความปรารถนาเช่นนี้ก็ใช้แรงดันพอสมควร ทั้งเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายนิติธร ล้ำเหลือ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านผู้ไร้สัญชาติ ชนชาติ ผู้พลัดถิ่น และแรงงานข้ามชาติ สภาทนายความ ยื่นฟ้องนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

จะด้วยเหตุผลทางกฎหมายเกี่ยวคนต่างด้าวที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ "น้องหม่อง" ต้องกดดันเช่นนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือความตั้งใจของ"น้องหม่อง" คือ ต้องการสู้เพื่อประเทศไทย ขอเพียงให้ประเทศไทยและคนไทยช่วยเชียร์ให้ได้รางวัลที่ 1 บ้างเท่านั้น

ทั้งนี้ "น้องหม่อง" ได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 5 รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ที่เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Japan Origami-Airplane Association ( JOAA ) ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน 2552และได้กำหนดให้เดินทางในวันที่ 16 กันยายนนี้ โดยทาง สวทช. และ เอ็มเทค กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แจ้งว่าต้องดำเนินการขอหนังสือเดินทางของคนต่างด้าว และนำหนังสือเดินทางไปขอวีซา ณ สถานทูตประเทศญี่ปุ่นภายในวันศุกร์ที่ 4 กันยายนนี้

"น้องหม่อง" บอกว่า ฝึกพับกระดาษมาประมาณ 1 ปี ตอนแรกสังเกตเครื่องบินที่บินขึ้นแล้วลองพับดู ต่อมาทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดการแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ครูจึงให้ลงสมัคร และชนะได้อันดับ 1 ต่อมาที่ไบเทคบางนา ก็ชนะได้ที่ 1 เช่นกัน เคล็ดลับการพับให้เครื่องบินกระดาษบินได้นาน หากหัวปักลงก็เอาหางขึ้นและทำให้ปีกทั้งสองข้างสมดุล รู้สึกดีใจเมื่อทราบว่าจะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่นและมั่นใจว่าจะชนะ จะทำเพื่อคนไทย และในอนาคตโตขึ้นอยากเป็นนักบิน

ความสำเร็จเบื้องต้นของ "น้องหม่อง" ครั้งนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังนอกจากนายดวงฤทธิ์ เภติมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยทรายแล้ว ยังมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ ส.ว.เชียงราย อดีต สนช.ที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กชาวเขา เด็กไร้สัญชาติในพื้นที่มาเป็นเวลานาน และพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

โดยมีตัวอย่างเช่น นางอายุ นามเทพ อาจารย์ประจำภาควิชาดุริยศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ อาจารย์สอนดนตรีและนักเปียโนไร้สัญชาติ ผู้ลี้ภัยสงครามจากประเทศพม่า ที่ได้ยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติของตนนั้น หลังจากยื่นเรื่องไปตั้งแต่ปี 2548 จนผ่านขบวนการต่างๆหลายขั้นตอน ล่าสุดหลังผ่านการกรั่นกรองเมื่อเดือน พ.ย.2551 ล่าสุดเรื่องอยู่ที่หน้าห้องของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการส่งให้รัฐมนตรีใช้ดุลพินิจในการให้สัญชาติ ก่อนดำเนินการในขั้นตอนการให้สัญชาติ

ดังนั้นคนไทยและคนที่อาศรัยฟื้นแผ่นดินไทยเจริญเติบโต มียศถาบรรดาศักดิ์ควรที่จะสำนึกและแทนคุณแผ่นดิน ไม่ใช่มุ่งแต่จะใช้แผ่นดินไทยแสวงหาประโยชน์ สร้างชื่อเสียให้กับประเทศไทย เพราะไม่แทนคุณแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคน "หนักแผ่นดิน"


วันพฤหัสบดีที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2552

องคมนตรีไขธรรมของคนอยู่แดนไกลเตือนคนFollowing

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายอำพน เสนาณรงค์ องคมนตรี ได้เดินทางไปบรรยายหัวข้อ "การเสริมสร้างคุณธรรม จริยธรรม และความโปร่งใสนภาครัฐ" ที่ กพ. ตอนหนึ่งว่า "ท้ายที่สุดผมขอพูดถึงความไม่สำเร็จของผู้นำบางคน ซึ่งผมเขียนเรื่องนี้ไว้นานแล้ว เพราะตอนนั้นผมไม่พอใจท่านหนึ่งที่ท่านไปอยู่ต่างประเทศแล้วตอนนี้ ขอยกมาอ่านบางข้อ

-ทาน รวยแล้วไม่เคยทำบุญ วันมาฆบูชา วันหยุด คนอื่นเขาเข้าไปเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวัง ในโบสถ์ ก็ไปตีกอล์ฟเสีย ไปฮ่องกงเสีย สมัยนั้นมี

-ศีล ไม่ต้องฟังเสียง เพราะออกนโยบายผิดพลาดทั้งเรื่องยาเสพติด ไม่โปร่งใส มีการทุจริตในเชิงนโยบาย

-จาคะ ไม่เคยยอมสละความสุขส่วนตัว

-อาชชวะ ความซื่อตรงนี่เห็นชัดเลย เรื่องการแต่งตั้งอะไรต่างๆ

-มัททวะ ความอ่อนโยน มีการพูดจาก้าวร้าว ดูถูกผู้ไม่เห็นด้วย

-ตบะ มีกิเลสตัณหา อยากรวยต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด มีธุรกิจที่คิดมีกำไร ออกกฎหมายเพื่ออำนวยการโอนรัฐวิสาหกิจอะไรต่างๆ รวมถึงการทำเหมืองเพชรหรือเปล่า
ไม่ทราบ


-อโกธะ โกรธง่าย ไม่เชื่อคนอื่นเสนอแนะ เชื่อแต่คนรอบตัว บริวารเก่า

-อวหิงสา เบียดเบียนคู่แข่งอื่นด้วยเงิน อำนาจ ซื้อโฆษณาหนังสือพิมพ์ ซื้อหนังสือพิมพ์ บังคับให้เลิกรายการ ซื้อหุ้นคู่แข่งอะไรต่างๆ

-ขันติ ไม่มีความอดทน ใจร้อน วู่วาม ขาดความรอบคอบ อ้างว่าอยากเห็นการเปลี่ยนแปลงเร็ว ปรับปรุงระบบราชการให้เสร็จภายในปีเดียวเพราะอ้างว่าตั้งแต่รัช
การที่ 5 มาไม่เคยปรับปรุงเลย แต่บัดนี้เกือบ 10 ปีแล้วก็ยังปรับปรุงไม่เสร็จ


-อวิโรธนะ ไม่ตั้งมั่นในธรรม ไม่ยุติธรรม ไม่โปร่งใส มีพิรุธ

นี่คือสิ่งที่อยากเพิ่มเติม เพราะตอนที่เขียนเรื่องนี้ไว้เกษียณแล้ว มีสิทธิพูดได้

เมื่อไม่มีหลักทศพิธราชธรรมดังกล่าวแล้วจะให้วิญญูชน(คนมีปัญญา) เดินตาม (Following) ได้อย่างไร ก็ได้แต่ปลงสังเวชสัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม คงไม่พ้นหลักโลกธรรม 8 ประการ มีลาภก็ย่อมเสื่อมลาภถ้าไม่รู้หลักรักษา มียศถาบรรดาศักดิ์ก็ย่อมจะถูกปลัดถอดถอน มีคนยกย่องสรรเสริญก็ย่อมจะมีคนนินทาก็
อย่างที่เห็น เคยมีความสุขอยู่บนกองเงินกองทองก็ต้องทุกข์เป็นสัมภเวสี

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

ทักษิณไม่นิ่งแถลงปัดเอี่ยวคลิปอภิสิทธิ์ยากกลับไทย

เมื่อวันที่ 2 กันยายนโหรคมช.หรือโหรวารินทร์ บัววิรัตน์เลิศ โหรชื่อดังแห่งสำนักสุขิโต จ.เชียงใหม่ ได้ออกมาทำนายสถานการเมืองไทยว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงคงไม่เป็นสามารถให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ต้องประกาศยุบสภาเลือกตั้งใหม่ แม้นว่าจะมีคนพยายามปั่นป่วนก็ไม่รุนแรง สถานการณ์บ้านเมืองเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ปี 2553 และจะดีที่สุดในช่วงปี 2554 กลับมาสู่สภาวะปกติทั้งหมด เพราะพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวจะมีแต่ติดลบ

พร้อมกันนี้โหรวารินทร์ยังได้ทำนายโชคชะตาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ยังไม่หมดวิบากกรรม และยังไม่สามารถกลับเข้าประเทศไทยได้ในเวลานี้ มีทางเดียวที่พ.ต.ท.ทักษิณจะกลัลประเทศไทยได้คืออยู่นิ่งๆ หยุดการเคลื่อนไหว เพื่อวิบากกรรมจะได้ซาลง และอย่าไปฟังใคร อาจได้กลับไทยในปีหน้า หรืออย่างช้าก็ปลายปี 2553 ดังนั้นการที่พ.ต.ท.ทักษิณเคลื่อนไหวอะไรในช่วงนี้ก็ไม่มีผลอะไร

ทีนี้มาดูการเคลื่อนไหวของพ.ต.ท.ทักษิณนิ่งอย่างที่โหรวารินทร์แนะนำหรือไม่ วันเดียวกันนี้ พ.ต.ท.ทักษิณได้ออกแถลงการณ์ปฏิเสธไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคลิปเสียงของนายอภิสิทธิ์ เพราะไม่มีเวลาไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้ พร้อมทั้งกล่าวถึงฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองอีกมากมายในลักษณะถูกกลั่นแกล้ง

วันที่ 1 กันยายน เมื่อเวลา 20.30 น. พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เริ่มดำเนินรายการสถานีวิทยุอินเตอร์ทักษิณไลฟ์โดยระบุว่า "จะพยายามให้รายการนี้เป็นรายการสร้างสรรค์ จะแตะการเมืองเท่าที่จำเป็น ถ้าไม่โดนกลั่นแกล้งก็จะไม่พูดถึง" แต่วันที่ 2 กันยายน เวลา 20.30 น. ดูเหมือนว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้จัดรายการวิทยุแต่อย่างใด และในช่วงเวลาดังกล่าวเว็บไต์ thaksinlive จะขัดข้องไม่สามารถเข้าไปดูได้จนกระทั้งเวลา 04.00น.วันที่ 3 กันยายน เข้ามาดูอีกครั้งสามารถดูได้ตามปรกติ ซึ่งเนื้อหาใหม่ก็มีเพียงแถลงการณ์ดังกล่าว

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาแสดงให้เห็นว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่นิ่งทางการเมือง หากโหรวารินทร์ทายแม่นก็ยากที่จะได้กลับประเทศไทยตามที่กลุ่มสนับสนุนเรียกร้อง ลองทำอย่างที่โหรวารินทร์บอกหรือพล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ รองนายกรัฐมนตรี แนะนำคือ "เข้าวัด" บ้างก็ดีนะ
Google