วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552

เอนฟาฯจัดทริปมหัศจรรย์พัฒนาการลูกน้อยสู่อัจฉริยะ

เอนฟา สมาร์ท คลับ คลับเพื่อยอดคุณแม่และอัจฉริยะตัวน้อย จัดกิจกรรมสัมมนามหัศจรรย์แห่งพัฒนาการ ครั้งที่ 4 ภายใต้ชื่องาน Enfa A+ Miracle Trip การเดินทางสู่งานสัมมนามหัศจรรย์แห่งพัฒนาการ A+ เพื่อการพัฒนาลูกน้อยสู่ความเป็นอัจฉริยะ โดยในการเสวนาครั้งนี้ เอนฟา สมาร์ท คลับ นำสมาชิกครอบครัวอัจฉริยะจำนวน 30 ครอบครัว มุ่งหน้าสู่หัวหิน เพื่อเข้าร่วมเสวนาในหัวข้อ “เอนฟา รหัสอัจฉริยะ พัฒนาลูกน้อยสู่ความเป็นอัจฉริยะ”
สำหรับการร่วมกิจกรรมครั้งนี้ คุณพ่อคุณแม่และอัจฉริยะตัวน้อยจะได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์การเรียนรู้ของลูกน้อย ผ่านกิจกรรมที่จะช่วยสร้างให้ลูกเป็นอัจฉริยภาพที่สมบูรณ์แบบ โดยเฉพาะในช่วง 1,365 วันแรกหรือ 3 ขวบปีแรก ซึ่งถือเป็นโอกาสเดียวของชีวิตที่สมองของลูกน้อยจะมีพัฒนาการสูงสุด จึงเป็นโอกาสเดียวที่จะช่วยเสริมสร้างศักยภาพสมองอย่างเต็มระบบด้วย “เอนฟา รหัสอัจฉริยะ” ซึ่งประกอบไปด้วย Smart Nutrition คุณค่าอาหารเพื่อการพัฒนาสมองและกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อมได้แก่ Smart Symphonies เสียงดนตรี สื่อดีๆ เพิ่มไอคิว, Smart Play เล่นดี สมองดี มีศักยภาพ และ Smart Language พูดคุยสื่อภาษา พัฒนาการเรียนรู้
โดยมีวิทยากรคนเก่งร่วมเสวนาให้ความรู้ อาทิ พญ.ชนิกา ตู้จินดา ที่ปรึกษาคณะแพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล และ อาจารย์ธิดา พิทักษ์สินสุข อาจารย์ใหญ่โรงเรียนสาธิตพัฒนา ทั้งสองท่านได้ให้แนวทางกับคุณพ่อคุณแม่ที่ร่วมฟังการเสวนาว่า...
“สมองของเด็กในช่วงเวลา 1,365 วันแรก หรือ 3 ขวบปีแรก ถือเป็นนาทีทองของการพัฒนาสมองต้นทุนสมองลูกได้มาจากพ่อแม่คือ DHA หรือพันธุกรรม เมื่อได้ต้นทุนที่ดีมาแล้วต้องทำให้ดียิ่งขึ้น เพราะเด็กทุกคนเกิดมาพร้อมที่จะพัฒนาเป็นอัจฉริยะได้ ปิกัสโซ่กล่าวไว้ว่าเด็กทุกคนพร้อมที่จะเป็นศิลปินได้ ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมและการเลี้ยงดูที่ดีของพ่อแม่ คุณพ่อคุณแม่ก็สามารถต่อยอดพัฒนาให้ลูกน้อยเป็นอัจฉริยะในอนาคต โดยเริ่มตั้งแต่ลูกน้อยอยู่ในครรภ์ คุณแม่ควรรับประทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ(Smart Nutrition) เพราะลูกต้องการสารอาหารไปสร้างเซลล์สมอง เพราะสมองถือเป็นแม่ทัพของการควบคุมการทำงานของร่างกาย เด็กไทยในยุคใหม่รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ลดน้อยลงส่วนใหญ่อาหารที่เด็กๆ ชอบรับประทานในปัจจุบันจะเน้นแป้ง น้ำตาล และอาหารทอดกรอบ ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ และทำให้พัฒนาการทางด้านร่างกายและสมองเติบโตไม่เต็มที่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องสร้างวินัยในการรับประทานให้กับลูกโดยเฉพาะเด็กในช่วงวัย 1 - 3 ปี ซึ่งในวัยนี้จะเป็นวัยที่คุณพ่อคุณแม่สามารถเลือกโภชนาการที่ดีให้กับลูก และสามารถสร้างนิสัยที่ดีในการรับประทานอาหารให้กับ
ลูกได้ อาทิเช่น การฝึกให้ลูกรับประทานผักต่างๆ โดยคุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเริ่มต้นรับประทานผักให้ดูเป็นแบบอย่าง จากนั้นก็ค่อยๆ ฝึกให้เขาหัดรับประทานผักด้วยการผสมในอาหารที่เขาชอบทีละน้อยๆ คุณพ่อคุณแม่ต้องไม่เข้มงวด ไม่จุกจิกกับการรับประทานอาหารของลูก ต้องค่อยๆ บอกและสอนเขาระหว่างรับประทานอาหารคุณพ่อคุณแม่อาจจะเล่านิทานไปด้วยหรือถ้าลูกสามารถรับประทานผักก็ต้องชื่นชมเขา เพื่อที่เขาจะได้รู้สึกภูมิใจและอยากจะรับประทานผักต่อไปเรื่อยๆ เพราะเด็กในวัยนี้สามารถเปลี่ยนแปลงนิสัยการกินได้ แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องฝึกให้ลูกติดจนเป็นนิสัย
ประการที่สองคือการพักผ่อนนอนหลับที่เพียงพอ การนอนที่ดีคือการนอนหลับให้สนิท เพราะจะทำให้เซลส์สมองของลูกน้อยเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ที่อยากให้ลูกน้อยฉลาดไม่ควรให้ลูกนอนดึก และระหว่างที่ลูกนอนหลับก็ไม่ควรที่จะให้ลูกต้องตื่นมาบ่อยๆ เพราะถ้าลูกตื่นเป็นระยะฮอร์โมนจะหลั่งออกมาไม่ดี คุณพ่อคุณแม่ควรให้ลูกหลับให้สนิทนานเพราะการนอนหลับเพียง 90 นาที พบว่า Growth Hormone หลั่งออกมามากซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้ลูกเติบโตและช่วยเพิ่มเซลล์สมอง
ประการที่สามคือ ต้องให้ลูกดื่มน้ำเยอะๆ เพราะสัดส่วนของร่างกายร้อยละ 70 คือ น้ำ สมองลอยอยู่ในน้ำ หล่อเลี้ยงด้วยน้ำ และ ประการสุดท้ายคือการออกกำลังกาย คุณพ่อคุณแม่ต้องพยายามให้ลูกได้เคลื่อนไหวร่างกาย เพราะนอกจากจะทำให้ลูกได้พัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ แล้ว สมองก็จะพัฒนาตามไปด้วย สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือตัวคุณพ่อคุณแม่ เพราะคุณพ่อคุณแม่เป็นเสมือนกระจกเงาของลูกๆ พฤติกรรมต่างๆ ที่เด็กๆ ลอกเลียนแบบ จดจำเรียนรู้ก็ล้วนมาจากคุณพ่อคุณแม่ ถ้าอยากรู้ว่าลูกเป็นอย่างไรก็ให้มองที่ตัวเอง ดังนั้นถ้าต้องการให้ลูกจดจำและเรียนรู้สิ่งดีๆ คุณพ่อคุณแม่ก็ต้องเป็นเซลส์กระจกเงาที่ดี เลี้ยงลูกด้วยความอ่อนโยน เขาก็จะมีจิตใจที่อ่อนโยนด้วยเช่นกัน
นอกจากเรื่องของโภชนาการที่ดี คุณหมอชนิกาและอาจารย์ธิดายังเสริมถึงกลวิธีที่จะสร้างให้ลูกน้อยในช่วงมหัศจรรย์แห่งพัฒนาการของสมองลูกน้อยให้มีความสามารถทางด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาด้วยเสียงดนตรี (Smart Symphonies) ลูกน้อยจะสามารถได้ยินเสียงตั้งแต่อยู่ในท้องได้ 5 เดือน หากคุณแม่ที่ร้องเพลงให้ลูกฟังตั้งแต่อยู่ในท้อง เขาจะคุ้นเคยกับเสียงเพลงที่ได้ฟังและพอเขางอแงร้องไห้แต่เมื่อเขาได้ยินเสียงดนตรีที่คุ้นเคยเขาก็จะหยุดและยิ้ม จะเห็นว่าลูกมีความมหัศจรรย์มากกับการเรียนรู้ ลูกเรียนรู้ได้เร็ว สังเกตได้ดี พ่อแม่ต้องอยู่ใกล้ชิดกับลูก ผลวิจัยชี้ชัดว่าการที่ให้เด็กได้ฟังดนตรี โดยเฉพาะดนตรีซิมโฟนี่จะทำให้สมองของเด็กสามารถจดจำและทำข้อสอบได้ดีกว่าเด็กที่ฟังดนตรีร็อก ดนตรีจึงช่วยสร้างสุนทรียะได้ ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรส่งเสริมให้ลูกรักในเสียงดนตรี คุณพ่อคุณแม่สามารถที่จะเป็นนักดนตรีและร้องเพลงกับลูกๆได้ เป็นการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวอีกด้วย
เรื่องการเล่นก็สำคัญ (Smart Play) ว่ากันว่าจินตนาการสำคัญยิ่งกว่าความรู้ การเล่นจะทำให้เด็กเกิดจินตนาการ เด็กๆที่ได้เล่นอย่างมีความสุขจะทำให้การเรียนรู้มีประสิทธิภาพ คุณพ่อคุณแม่ต้องเข้าใจก่อนว่าบทบาทในชีวิตประจำวันของเด็กๆ คือการเล่น เช่นเดียวกับบทบาทหนึ่งในชีวิตประจำของคุณพ่อคุณแม่ก็คือการทำงาน การเล่นที่มีความสุขไม่จำเป็นต้องเล่นของเล่นที่มีราคาแพง เด็กๆ จะมีความสุขจากการเล่นเมื่อเวลาที่มีเพื่อนเล่น และเพื่อนเล่นที่ดีที่สุดก็คือคุณพ่อคุณแม่ คุณพ่อคุณแม่ควรจะแบ่งเวลามาเล่นกับลูก เด็กๆ สามารถเรียนรู้ได้ทุกเรื่อง แต่คุณพ่อคุณแม่ต้องรู้วิธีที่จะสอนและควรทำทุกเรื่องที่สอนให้เป็นเรื่องสนุก เพราะเด็กๆ จะเรียนรู้ผ่านการเล่น ดังนั้นอย่าเลี้ยงลูกด้วยทีวี โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 2 ปี ไม่ควรให้เด็กดูทีวีเลย เนื่องจากเด็กที่นั่งอยู่กับทีวีนานๆ จะทำให้เขาไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกาย กล้ามเนื้ออ่อนแรง มีพฤติกรรมเฉื่อยชา เพราะเวลาเด็กดูทีวีจะเหมือนถูกสะกดจิต หรือเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น และทีวียังเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กสายตาผิดปกติได้
คุณหมอชนิกาและอาจารย์ธิดาบอกกับคุณพ่อคุณแม่ผู้ร่วมเสวนาว่า รหัสอัจฉริยะตัวสุดท้าย คือ Smart Language ปกติเด็กจะเริ่มส่งเสียงเมื่ออายุ 7-8 เดือน พออายุ 1 ปี ก็จะเริ่มพูดยิ่งพอเด็กเริ่มหัดเดินเมื่อมีอายุ 2-3 ปี เขาก็จะยิ่งพูดได้มากขึ้น ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ควรพูดกับลูกบ่อยๆ เพราะจะทำให้ลูกมีไอคิวที่ดี คำพูดของลูกก็จะแสดงถึงศักยภาพสมองของลูกอย่างชัดเจน
นอกจากภาษาพูดแล้ว คุณพ่อคุณแม่ต้องไวกับการทำความเข้าใจเรียนรู้ภาษาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ภาษาพูด นั่นคือภาษาท่าทางของลูก เพราะเป็นเรื่องสำคัญสุดของการสื่อสาร คุณพ่อคุณแม่ต้องช่างสังเกตพฤติกรรมของลูก การพูดคุย การกอด การจับมือ การพยักหน้า การสัมผัส จะทำให้ลูกเข้าใจสิ่งที่พ่อแม่สื่อสาร ขณะเดียวกันพ่อแม่เองก็เข้าใจในอารมณ์และความรู้สึกของลูกด้วย คุณพ่อคุณแม่ต้องฝึกที่จะพูดถึงความรู้สึกที่จะทำให้เกิดการสื่อสารกันในเชิงหมู่ภายในครอบครัว ซึ่งการที่พ่อแม่และลูกสามารถทำความเข้าใจกันได้ทั้งภาษาพูดและภาษากายก็จะลดปัญหาการทะเลาะ การปะทะ การไม่เข้าใจกันที่จะเกิดขึ้นได้เมื่อเขาโตขึ้นนั่นเอง
นอกจากเสวนาที่ให้แนวทางที่จะช่วยพัฒนาลูกน้อยสู่ความเป็นอัจฉริยะกับกิจกรรม “Enfa A+ Miracle Trip” ทริปสำหรับครอบครัวอัจฉริยะ A+ แล้วยังมีกิจกรรม Smart Symphonies for Smart Brain โดย ดร.ดนีญา อุทัยสุข อาจารย์ประจำสาขาวิชาดนตรีศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นวิทยากรให้ความรู้และเปิดโอกาสให้คุณพ่อคุณแม่ผู้ร่วมเสวนาได้สนุกสนานกับการร้องเพลงและทำท่าทางประกอบน่ารักๆ ร่วมกัน ซึ่งกิจกรรมนี้จะช่วยพัฒนาสมองของลูกน้อยทั้งซีกซ้าย และซีกขวา ทำให้สมองของลูกน้อยผ่อนคลาย พร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆได้ดี ซึ่งเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมดีๆ ที่ เอนฟา สมาร์ท คลับ คลับเพื่อยอดคุณแม่และอัจฉริยะตัวน้อย จัดขึ้นเพื่อมอบสิทธิประโยชน์และสาระด้านพัฒนาการเพื่อคุณพ่อคุณแม่และอัจฉริยะตัวน้อยนั้นเอง สำหรับครอบครัวไหนที่พลาดโอกาสในการร่วมกิจกรรมดีๆ ในครั้งนี้ สามารถติดตามข่าวสารหรือสอบถามรายละเอียดกิจกรรมครั้งต่อไปได้ที่โทร. 0-2351-8080 หรือ http://www.enfababy.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google