นพ.ประกิตเผ่า ทมชิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันแอพพลายพิสิกส์ หลังจากถูกแม่และพี่ชายนำส่งโรงพยาบาลศรีธัญญา และส่งต่อไปรักษาที่สถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ ต่อมาเพื่อนหญิงแจงความว่าเป็นการลักพอตัวจนทำให้เป็นข่าวใหญ่โตมานาน
วันนี้ (15มิ.ย.) เป็นวันครบรอบ 36 ปี ของสถาบันกัลยาณ์ราชนครินทร์ จ.นครปฐม นพ.ประกิตเผ่า ได้ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกร่วมในรายการเสวนาวิชาการเรื่อง “การพิทักษ์สิทธิผู้ป่วยจิตเวช” พร้อมกับแจกแถลงการณ์ 6 ข้อ คือ
1. ผมป่วยเป็นโรคอารมณ์แปรปรวน (Bipolar) มาประมาณ 4 เดือนก่อนได้รับการรักษา ซึ่งโรคนี้มีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมาก อาจเนื่องมาจากการได้รับยาบางประเภทที่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท รวมถึงถูกกระทำด้วยจิตวิทยาหมู่จากคนบางกลุ่ม โดยหัวหน้ากลุ่มแสดงตนเป็นคนหลายบุคลิก คล้ายร่างทรง
2. ขณะที่ป่วย อาจมีการเห็นภาพหลอน หรือหู่แว่ว และอาจมีความคิดและการตัดสินใจที่ไม่สมเหตุสมผลเช่น การขอหย่ากับภรรยา ทั้งที่ทุกคนที่รู้จักผมจะทราบว่าผมเป็นคนที่รักภรรยาและลูก ๆ มาก
3. ผมอยากให้ทุกคนเข้าใจว่า โรคทางจิตเวชอย่างที่ผมเป็น สามารถรักษาให้หายเป็นปกติได้คล้ายโรคเจ็บป่วยทางกาย เช่น โรคเบาหวาน ความดันสูง ซึ่งขณะนี้ผมหายเป็นปกติ 100% แล้ว แต่ที่ยังไม่เข้าไปสอนนักเรียน เพราะอยู่ในช่วงปรับยาให้เหมาะสม เพราะยาบางตัวทำให้ง่วงนอน เสียงแหบ ชีพจรเต้นเร็ว ถ้าเปรับได้เหมาะสมเมื่อใด จะรีบไปสอนนักเรียนทันที เพราะขณะนี้นักเรียนและผู้ปกครองก็เป็นห่วงกันมาก
4. ผมขอยืนยันว่า ภายในครอบครัว “ทมทิตชงค์” ไม่มีความขัดแยงกัน กิจการของสถาบันแอพพลายด์ฟิสิกส์ เป็นกิจการของครอบครัวที่ช่วยกันทำงานเป็นกงสี ไม่ได้เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง ใครทำงานมาก ก็ได้ผลตอบแทนมาก ใครทำน้อยก็ได้น้อย และตัวผมเองก็เป็นเพียงฟันเฟืองคนหนึ่งของแอพพลายด์ฟิสิกส์เท่านั้น เนื่องจากคุณพ่อคุณแม่ท่านวางรากฐานมาดีตั้งแต่ต้นแล้ว ฟมเพียงแต่มารต่อยอด ช่วยพัฒนางานให้ดีขึ้นเท่านั้น การเจ็บป่วยของผมไม่มีผลต่อเชื่อเสียงของแอพพลายด์ฟิสิกส์แต่อย่างใด
5. ผมขอเชิญชวนท่านผู้มีจิตศรัทธา ร่วมกันบริจากเงินให้มูลนิธิกัลยาณ์ราชนครินทร์ เพราะจากการที่ไปรักษาตัวอยู่ที่สถาบันกลัยาฯ พบว่า ยังมีคนไข้อีกมาก ที่ไม่สามารถรับภาระค่าใช้จ่ายยาทางจิตเวช ซึ่งยาบางตัวมีคราค่อนข้างสูง หากมีคนช่วยกันหลาย ๆ คน คนไข้เหล่านี้จะมีโอกาสได้รับยาที่ดีขึ้น มีโอกาสหายเร็วขึ้น ถือเป็นการทำบุญที่เห็นผลชัดเจนเหล่านี้ ซึ่งในวันนี้ครอบครัวผมได้บริจาคเงิน 50,000 บาท ให้แก่มูลนิธิฯ ด้วย รวมถึงคอมพิวเตอร์อีกหนึ่งเครื่อง
6. เรื่องคดีความ ผมพูดได้เพียงว่า ไม่มีการเจรจายอมความกัน ผมและครอบครัวจะดำเนินคดีจนถึงที่สุด และจะยุติการให้สัมภาษณ์ที่พาดพิงถึงคดีต่าง ๆ ในทุกคดี
ประเด็นที่นพ.ประกิตเผ่า กล่าวในการเสวนาครั้งนี้เกี่ยวกับเรื่องการรักษาและคดีจะเป็นอย่างไรนั้นขอละไว้ในฐานะที่เข้าใจ แต่จะขอกล่าวเฉพาะประเด็นที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ยิ่งต่อสังคมไทยขณะนี้
ประเด็นแรก นพ.ประกิตเผ่า บอกว่า ผู้ป่วยเป็นโรคจิตมักจะไม่รู้ว่าตัวเองเป็น
ประเด็นที่สอง การนั่งสมาธิควรจะต้องมีอาจารย์คอยสอบอารมณ์ เพราะปฏิบัติถึงขึ้นหนึ่งจะทำให้เห็นภาพต่าง ๆ ซึ่งอาจจะทำให้ยึดติดกับภาพนั้นโดยหลงตัวเองเป็นผู้วิเศษไปได้
ประเด็นที่สามหลักการครองเรือน นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า มีข้อตกลงก่อนแต่งงานกับภรรยาว่าเราจะไม่ก้าวล้ำเส้นกัน ผมเป็นคนชอบสะสมปืน รถ และชอบพระ ขณะที่ภรรยาไม่ชอบให้นอกใจ จึงไม่ข้ามเส้นกัน ไม่นอกใจภรรยา
ประเด็นสุดท้าย พิธีกรได้ถามว่าสุดท้ายคุณหมอและครอบครัวได้รับบทเรียนอะไรจากเรื่องที่เกิดขั้น นพ.ประกิตเผ่า กล่าวว่า เรื่องการเลือกคบคน ถ้าเลือกคบบัณฑิต ๆ ก็พาไปหาผล คบคนพาล คนพาลก็พาไปหาผิด ซึ่งความผิดพลาดที่เกิดขึ้นทั้งหมด นอกจากกฎแห่งกรรมแล้วก็เป็นเรื่องของการเลือกคบคน
ประเด็นสุดท้ายนี้ถือว่าเป็นประเด็นที่สำคัญยิ่งหากเราไม่รู้เลือกคบคนหรือไม่รู้ว่าคนที่เราคบนั้นเป็นคนอย่างไรแล้ว อาจจะเกิดผลเสียในภายหลังได้
ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้สอบจัดมงคล 38 ประการ คือ หลักธรรมที่นำไปปฏิบัติแล้วให้เจริญรุงเรือง หมวดแรกเลยก็คือการคบคน ตามคำภาษาบาลีที่พระท่านสวดประจำคือ "อเสวนา จะ พาลานัง ปัณฑิตานัญจะ เสวนา ...เอตัมมังคลมุตตมัง"
หากคนไทยหยุดคิดสักนิดก่อนคิดจะเลือกฝ่ายเลือกคบคน พิจารณาคำแนะของ นพ.ประกิตเผ่าสักนิด ก็จะทำให้สังคมไทยไม่วุ่นวาย ยังความสามัคคีสมานฉันท์ให้เกิดขึ้นได้
วันศุกร์ ที่ 15 มิถุนายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น