ทุกวันนี้เกิดข้อสงสัยว่า พระเดินขบวนประท้วงกลายเป็นกิจวัตรของพระสงฆ์ไปแล้วหรือ ไม่มีวิธีการอย่างอื่นแล้วหรือไร
พระพม่าเดินขบวนประท้วงรัฐบาลที่ขึ้นค่าน้ำมันร้อยเท่าทำให้ประชาชนเดือดร้อน เป็นวันที่ 8 แล้ว นับเป็นการประท้วงครั้งใหญ่ของพระพม่าอีกครั้งในครอบ 20 ปี ทำให้มหาอำนาจทั้งสหรัฐ จีบ จับตาอย่างใกล้ชิดหวั่นเกิดเหตุนองเลือด
การประท้วงของพระพม่าพอจะรับได้เพราะมีเป้าหมายอยู่ที่ "อนัตตา" หาใช่ "อัตตา" ไม่ แม้นว่าจะการเมืองเข้ามาเกี่ยวบ้างก็ตาม ก็ถือว่าเป้าหมายอยู่ที่ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนเป็นหลัก
ขณะที่พระไทยก่อนหน้านี้ชุมนุมประท้วงที่รัฐสภา กดดันให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญถึงขั้นอดข้าว เดชบุญไม่มีพระรูปใดมรณภาพ ในที่สุดก็ยุติไปและไม่ได้มีการบรรจุดั่งเป้าหมาย
มาวันนี้ (25ก.ย.) พระไทยก็รวมตัวประท้วงอีกครั้ง แต่เป็นการประท้วงให้มหาวิทยาลัยศิลปากร ระงับการแพร่ภาพ "ภิกษุสันดานกา" ของ "อนุพงษ์ จันทร" ที่ชนะเลิศเหรียญทอง งานศิลปกรรมแห่งชาติ ซึ่งเป็นภาพวาดลักษณะพระสงฆ์เอาหัวชนกันมีปากแหลมเหมือนอีกา แสดงกิริยาแย่งด้ายสายสิญจน์และตะกรุดในบาตร
ดูกลุ่มพระที่ประท้วงอาทิ พระมหา ดร.โชว์ ทัสสนีโย รอง ผอ.สำนักส่งเสริมพระพุทธศาสนาและบริหารสังคม หนึ่งในการแกนนำประท้วงขอให้บรรจุพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
ผศ.เสถียร วิพรมหา เลขาธิการเครือข่ายภาคประชาชนพิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่ชุมนุมสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และถูกจับ คราวศาลพิจารณาคดี 3 อดีต กกต.
หากพิจารณาภาพแล้ว จะเห็นได้ว่า หาใช่เป็นการลบหลู่พระสุปฏิปันโน ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบไม่ แต่ตำหนิบุคคลที่ไม่หาใช่พระไม่ แต่อยู่คราบพระหรือที่ชาวบ้านเรียกว่า "กาฝาก" หรือ เหลือบ
กลุ่มผู้ประท้วงควรที่จะยกย่องผู้ที่วาดภาพนี้ด้วยซ้ำไป เพราะเป็นการสะท้อนให้เห็นภาพของคณะสงฆ์ปัจจุบันนี้ยังมี "เหลือบ" หรือ "กาฝาก" อยู่อีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคที่จตุคามฯฟีเวอร์ สิ่งที่ควรทำคือ เข้ามามีส่วนร่วมในการกำจัดกลุ่มบุคคลที่มีภาพ "กาฝาก" ให้หมดไปจากคณะสงฆ์โดยเร็ว หรือไม่กล้า
นอกจากนี้พฤติกรรมของการประท้วงต้องบอกว่ารับไม่ได้จริงๆๆ ดังภาพจากศูนย์ภาพเนชั่นที่นำมาเสนอ ไม่มีคำว่า "สรณสารูป" เอาเสียเลย ทำไม่ถึงต้องลงทุนนอนกลางถนนขนาดนั้น
วิธีการคัดค้านไม่เห็นด้วยนั้นมีหลายวิธีที่เหมาะกับสมณสารูป ไม่ใช่มีแต่การประท้วงเท่านั้น ยิ่งในยุคไอทีด้วยแล้วสามารถที่จะกระจายข้อมูลข่าวสารหรือความเห็นให้กับสาธารณชนได้ทราบง่ายมาก
นอกจากนี้ประเด็นหรือเป้าหมายในการประท้วงนั้นดูเหมือนจะตั้งอยู่บน "เหตุผลส่วนตัวเป็นหลัก" แม้นว่าจะอ้างว่าเป็นการหลบหลู่พระพุทธศาสนาก็ตามที นั้นก็แสดงให้เห็นว่าผู้ประท้วงยังยึดแต่กับคำว่า "ศาสนาของกู" อยู่ "ทองแม้นมีคนเอาโคลนมาสาดทองก็ยังเป็นทอง" ไม่ต้องกลัวว่าพุทธศาสนาจะสูญไปจากโลกตราบใดที่คนยังมี "พุทธะ" ในหัวใจอยู่
สิ่งที่กลุ่มผู้ประท้วงควรที่จะกระทำก็คือ ร่วมกับกรมการศาสนากระทรวงวัฒนธรรม กดดันให้เจ้าของเวบไซต์ขายเสื้อ-กางเกงรูปพระพุทธเจ้าหน้าสุนัขยุติการกระทำดังกล่าวเสีย ดูจะสมเหตุสมผลกับคำว่าปกป้องพระพุทธศาสนามากกว่าไปประท้วงภาพวาดดังกล่าวเสียอีก
พระไทยจะประท้วงอะไรควรที่จะคิดรูปแบบให้เหมาะสมกับ "สมณสารูป" พิจารณาเหตุผลเป้าหมายการประท้วงให้ชัดว่าขัดกับหลัก "อนัตตา" หรือไม่ หรือจะศึกษาการประท้วงของพระพม่าเป็นแบบก็ไม่เสียหายอะไร
ผมว่าพระพุทธศาสนาจะเสื่อมก็เพราะพวกท่านออกมาประท้วงนี้หละ
วันพุธ ที่ 26 กันยายน 2550
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น