วันเสาร์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ต้องกระตุ้นต่อมพันท้ายนรสิงห์ให้กระหึ่มทั้งแผ่นดิน

ช่วงนี้อยู่ระหว่างกระบวนการตรวจสอบความถูกต้องการล่ารายชื่อถวายฎีกาช่วย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ชื่อว่าเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ถูกศาลตัดสินจำคุก 2 ปีจากคดีที่ดินรัชดา แทนที่จะยอมรับคำตัดสินรับโทษตามกระบวนการยุติธรรม ตามหลักสากลของประเทศประชาธิปไตยทั่วไปที่ให้ความสำคัญและยอมรับคำตัดสินของศาล แต่พ.ต.ท.ทักษิณหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับเร่ร่อนเป็นสัมภเวสีอยู่ต่างประเทศ เป็นนักโทษหนีคดี

ขณะเดียวกันก็กล่าวให้ร้ายกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันสนับสนุนให้กลุ่มคนเสื้อแดงล่าชื่อเพื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับตัวเองทั้งๆที่ยังไม่ได้รับโทษ แต่ก็ต้องบอกว่าแปลกหรือไม่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลในคดีที่ดินรัชดาแต่ยอมรับคดีคาร์บอมบ์ลอบสังหารตัวเอง นี้แสดงให้เห็นว่าเป็นการตีความเข้าข้างตัวเองหรือไม่ หรือจะเลือกยอมรับคำตัดสินที่เป็นประโชน์ตัวเองอย่างนั้นหรือไม่ ขณะเดียวกันก็ใช้กระบวนการยุติธรรมที่ตัวเองใส่ร้ายจ้างทนายความฟ้องร้องฝ่ายตรงข้าม

ทำให้นึกถึง "พันท้ายนรสิงห์" เมื่อวันที่ 5 สิงหาคมที่ผ่านมา ที่มีโทษถึงประหารชีวิตเนื่องจากปฏิบัติหน้าที่เป็นนายท้ายเรื่อพระที่นั่งพระเจ้าเสือสด็จประพาสปากน้ำสาครบุรีในครั้งนี้ เมื่อเรือพระที่นั่งไปถึงตำบลโคกขามคลองบริเวณดังกล่าวมีความคดเคี้ยวมาก พันท้ายนรสิงห์พยายามคัดท้ายเรือพระที่นั่งอย่างระมัดระวังแต่ไม่อาจหลบเลี่ยงอุบัติเหตุได้ หัวเรือพระที่นั่งชนกิ่งไม้ใหญ่หักตกลงไปในน้ำ

"พันท้ายนรสิงห์" ยังกราบบังคมยืนยันขอให้ตัดศีรษะตนเพื่อรักษาขนบธรรมเนียมในพระราชกำหนดกฎหมายไว้ ขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณมีโทษเพียงจำคุก 2 ปี กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แล้ววิญญูชนอนุชนรุ่นหลังจะใช้หลักอันใดในการรักษาชาติ ก็ได้แต่ปลงสังเวชอะนะ "กัมมุนา วัตติ โลโก"

หลังจากนั้นคำว่า "พันท้ายนรสิงห์" ที่โด่งดังมาในอดีตเป็นอนุสสติเตือนอนุชนรุ่นหลังมีการสร้างเป็นหนังและละครก็หลายครั้ง อย่างเช่นวันที่ วันที่ 11 สิงหาคม 2552 ศ.นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผู้ทรงคุณวุฒิ สถาบันพระปกเกล้า ได้แสดงความเห็นในบทสัมภาษณ์พิเศษโดย ปกรณ์ พึ่งเนตร เผยแพร่ผ่านทางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ถึงกรณีการถวายฎีกาช่วยพ.ต.ท.ทักษิณของกลุ่มคนเสื้อแดง

ศ.นพ.วันชัย ได้ระบุว่า "พันท้ายนรสิงห์ คือ ต้นแบบของการมีสำนึกรับผิดชอบ เพราะแม้ว่าพระเจ้าเสือจะพระราชทานอภัยโทษให้ เมื่อเขาซึ่งเป็นนายท้ายเรือคัดท้ายเรือพระที่นั่งชนต้นไม้ แต่พันท้ายนรสิงห์ก็ยืนยันว่าจะรับโทษตามกฎมณเฑียรบาล เพื่อหวังให้เป็นเยี่ยงอย่างของการรักษากฎหมายต่อไป นี่คือหนึ่งในสิ่งที่เรียกว่าธรรมาภิบาล ภาษาอังกฤษเรียกว่า accountability หรือความสำนึกรับผิดชอบ แต่กระนั้น ในความเข้าใจของกลุ่มคนเสื้อแดง เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่มีความผิด เพราะถูกตัดสินโทษโดยกระบวนการยุติธรรมที่ไม่เป็นธรรม จึงต้องถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ แต่เหตุผลดังกล่าว หมอวันชัย ระบุว่าฟังไม่ขึ้น"

ต่อมาวันที่วันที่ 20 สิงหาคม 2552 นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ และนายเสงี่ยม บุญจันทร์ เลขาธิการสภาทนายความ แถลงชี้แจงเรื่องการยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ พ.ต.ท.ทักษิณที่เผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์คมชัดลึกก็ได้มีการยกกรณีของ "พันท้ายนรสิงห์" เป็นตัวอย่างตอนหนึ่งว่า

" กรณีของพ.ต.ท.ทักษิณเป็นคดีอาญาที่ถึงที่สุดแล้วต้องยอมรับระบบศาลยุติธรรม และคำพิพากษาก่อนขอรับพระราชทานอภัยโทษ ผู้รับราชการสนองคุณูปการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ดีย่อมต้องไม่หลีกเลี่ยงความผิดของตน ดังเช่น พันท้ายนรสิงห์ นักการเมืองต้องยอมรับผลแห่งการกระทำของตนเหมือนนานาอารยประเทศ เช่น นายโนห์ มู ฮยอน อดีตประธานาธิบดีประเทศเกาหลีใต้ที่ฆ่าตัวตาย เพราะถูกกล่าวหาว่าครอบครัวคอร์รัปชั่น เมื่ออาสามาบริหารแผ่นดิน หากผิดพลาดทั้งประมาทหรือเจตนาต้องกล้ารับผิด"
ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการกระตุ้นต่อม สำนึกรับผิดชอบหรือ "accountability" เฉกเช่น "พันท้ายนรสิงห์" ให้กระหึ่มทั้งแผ่นดิน สนองพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว วันที่ 21 สิงหาคม 2552 ความตอนหนึ่งว่า

"ข้าพเจ้าได้ยินมานานแล้วว่า การทำงานนั้นไม่ใช่ง่ายๆ โดยมากความก้าวหน้าจะต้องอาศัยคนที่มีความรู้ ความรอบรู้ ตั้งใจทำ โดยนำความรู้ของแต่ละภาคส่วนมาใช้ อย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงอื่นๆ รวมทั้งประชาชน มาร่วมมือกัน โดยไม่มีใครเอาเปรียบกัน อันนี้สำคัญที่สุด เราเชื่อว่าจะทำให้บ้านเมืองก้าวหน้าดี บ้านเมืองจะสามารถพัฒนาขึ้นมาได้ดี โดยเฉพาะในระยะนี้บ้านเมืองของเรา เรียกว่าบ้านเมืองกำลังลุ่มหลง ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไปอย่างไร

เราก็รู้สึกเป็นห่วงว่า ประเทศไทยกำลังล่มจม แต่พวกท่านจะทำให้ไม่จมได้ ซึ่งต้องมีการพัฒนาสร้างให้ดีขึ้น สร้างบ้านเมืองให้ก้าวหน้า ประชาชนมีความเจริญ เราก็มีความหวังมีความรู้สึกว่า บ้านเมืองจะไม่ล่มจม เพราะระยะเวลาที่ผ่านมา เรารู้สึกว่า บ้านเมืองเรากำลังล่มจม เพราะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างแย่งกัน ต่างคนต่างไม่เข้าใจว่าทำอะไร แต่ตอนนี้โชคดีที่มีผู้มีความรู้ต่างๆกัน มาร่วมมือกัน บัดนี้ขอยืนยันว่า ถ้าทุกคนที่มีความรู้ ความตั้งใจก็จะสามารถสร้างให้บ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าได้อย่างแท้จริง ขอให้ท่านจงช่วยกันทำให้สำเร็จตามที่มุ่งหวัง"
ทรงพระเจริญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google