นายสือ ล้ออุทัย ปลัดกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เปิดเผยว่า “ งาน ไทยแลนด์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์โป 2009 ซึ่งจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยและ ภูมิภาคเอเชียครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นสำคัญต่อการก้าวย่างต่อไปในอุตสาหกรรมสารสนเทศ และการสื่อสารของไทยในตลาดโลกได้อย่างเต็มภาคภูมิ ปัจจุบัน ภาพรวมตลาดอินเทอร์เน็ตมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องแบบก้าวกระโดด โดยผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ ได้นำมาใช้เพื่อสร้างพลังขับเคลื่อนทางธุรกิจ ประกอบกับการลดต้นทุน การบริหารจัดการขององค์กร จากการใช้แอพพลิเคชั่นต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต รวมไปถึงการใช้อินเทอร์เน็ตในภาคประชาชน เพื่อเป็นการสร้างองค์ความรู้ ซึ่งเหล่านี้จะเป็นโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาประเทศต่อไป
การจัดงานครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายไว้ร่วมกันว่า เราจะใช้งานนี้เป็นเวทีสำคัญในการแสดงนวัตกรรมด้านอินเทอร์เน็ตที่ทันสมัยและครบวงจรที่สุด โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้ และแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต รวมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจให้แก่ผู้ซื้อ ได้เข้าถึงสินค้าและบริการในธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ต อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดการใช้อินเทอร์เน็ตในธุรกิจและชีวิตประจำวันของคนไทยมากขึ้น ภายใต้แนวคิดการจัดงานที่ว่า “ ศูนย์กลางอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ครบวงจรครั้งแรกในเมืองไทย ; Thailand ' s 1 st Ultimate Internet & Technology Market Place ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
งานไทยแลนด์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์โป 2009 ในครั้งนี้ นับว่ามีความยิ่งใหญ่เป็นอย่างมากเพราะได้รวบรวมผู้ประกอบการอินเทอร์เน็ต ผู้ประกอบการฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ Content e-Business และ สื่อออนไลน์ กว่า 100 บริษัทเข้าร่วมงาน ตลอดระยะทั้ง 3 วัน ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 30 มกราคม ถึงวันอาทิตย์ที่ 1 กุมภาพันธ์ 2552 ณ รอยัลพารากอน ฮอลล์ 1-3 ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งถือเป็นการรวมตัวกันครั้งสำคัญของเหล่าผู้ประกอบการธุรกิจอินเทอร์เน็ตในวงการนี้เลยทีเดียว
และเชื่อมั่นได้ว่างาน ไทยแลนด์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์โป 2009 จะเป็นก้าวแรกที่ทำให้ประเทศไทย เป็น ศูนย์กลางด้านทาง อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยี ครบวงจรในระดับภูมิภาคต่อไป ”
คุณสมยศ ธนพิรุณธร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จัดงานในครั้งนี้ เป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง ที่งานได้เกิดขึ้นจากความร่วมมือกันของสมาคมผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตไทย และบริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมกันจัดงานอย่างยิ่งใหญ่ โดยภายในงานตลอดระยะเวลา 3 วัน นอกจากจะมีผู้ประกอบการในธุรกิจอินเทอร์เน็ตมาร่วมเผยแพร่ความรู้และแสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต รวมทั้งสร้างโอกาสให้แก่ผู้ซื้อได้เข้าถึงสินค้าและบริการ ในธุรกิจบนโลกอินเทอร์เน็ตแล้วงานนี้ยังมีส่วนช่วยกระตุ้น ให้เกิดการใช้อินเทอร์เน็ต ในธุรกิจและในชีวิตประจำวันของคนไทยเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการเปิดโอกาสให้มีการเจรจาและทำธุรกิจระหว่างผู้ร่วมแสดงงานภายใต้แนวคิดการจัดงานที่ว่า “ ศูนย์กลางอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยี ครบวงจรครั้งแรกในเมืองไทย ; Thailand 's 1 st Ultimate Internet & Technology Market Place ”
ภายในงานมีไฮไลท์ที่น่าสนใจคือ การจัดแสดงนิทรรศการ วิวัฒนาการอินเทอร์เน็ตซึ่งแสดงถึงพัฒนาการของอินเทอร์เน็ตตั้งแต่เริ่มมีการใช้งานครั้งแรกรวมถึงการพัฒนาอย่างรวดเร็ว และต่อเนื่องของเทคโนโลยีบนโลกอินเทอร์เน็ตนำไปสู่การหลั่งไหลของวัฒนธรรม การเชื่อมโยง และย่อส่วน ทุกมุมของโลกใบนี้ เข้าด้วยกันอย่างง่ายดายจนถึงปัจจุบัน พร้อมทั้งนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ ของวงการอินเทอร์เน็ตโลก และมีการจัดสัมมนาในหัวข้อที่น่าสนใจ ในแต่ละวันเกี่ยวกับ Technology & Trend, e-commerce, IT Security, Content และ Application รวมไปถึงการจัดประชุมเชิงวิชาการ " Thailand IPv6 summit 2009" โดยสมาคม IPv6 / ในวันเสาร์ที่ 31 มกราคม 2552 เป็นต้น
“ การจัดงานไทยแลนด์ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์โป 2009 ครั้งนี้ จะถูกสร้างให้เป็นงานเอ็กซ์โประดับสากล ซึ่งจะเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ และมั่นใจว่าจะอยู่ในความทรงจำ ของผู้ชมงานทุกท่านโดยมีแนวโน้มที่จะจัดขึ้น เป็นประจำทุกปีเพราะจะเห็นได้ว่า อินเทอร์เน็ต คือเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวัน มากขี้นเรื่อยๆ เราสามารถ เชื่อมโยงสังคมที่หลากหลาย / บนโลกใบนี้เข้าด้วยกัน/อย่างง่ายดายด้วยอินเทอร์เน็ต ดังนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดของโลกออนไลน์ต่อไปก็คือการพัฒนาคอนเทนท์ และแอพพลิเคชั่นบนอินเทอร์เน็ตนั่นเอง ” คุณสมยศ ธนพิรุณธร กล่าวทิ้งท้าย
ขณะเดียวกัน"เอมี่"มรกต กิตติสาระ ดาราดังจากค่ายช่อง7 สี ได้เยี่ยมชมบูธเว็บไซต์ ในเครือเนชั่นกรุ๊ป โดยเฉพาะหน้าเว็บไซต์คมชัดลึก ที่มีการดีไซน์ใหม่ที่จะเปิดตัวเร็วๆนี้ ในงานไทยแลนด์ อินเตอร์เน็ต เอกซ์โป 2009ด้วย
วันศุกร์ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2552
นศ.สาวล่าแต้มอึ๊บป.6"ถ่ายคลิป"อวดเพื่อน
ฉาวอีกวัยรุ่นสาวระดับปวส.-ปริญญาตรีเมืองพิษณุโลกฮิตแอ้มเด็ก แข่งกันทำแต้มไล่จีบเด็กชาย ป.6 วัย 11-12 ขวบถึงโรงเรียน ก่อนพาไปร่วมหลับนอน ถ่ายคลิปโชว์เพื่อนเป็นหลักฐาน ใครได้เด็กอายุน้อยยิ่งได้แต้มมาก ขณะที่เด็กชายยังคุยอวดกัน เผยหลังเรื่องแพร่สะพัดโรงเรียนเริ่มจับตามอง
เรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในวัยเรียนของเด็กนักเรียนบางกลุ่มที่ผู้ปกครอง และอาจารย์ควรสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 มกราคม นายสันติ ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก กล่าวอ้างถึงพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมของเด็กนักเรียนบางกลุ่มว่า ขณะนี้มีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก ได้พูดคุยอวดเบ่งในหมู่เพื่อนฝูงระหว่างเด็ก ป.6 อายุประมาณ 11-12 ปี มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงหลังเลิกเรียนจะมีหญิงสาววัยรุ่นศึกษาระดับอุดมศึกษาใน จ.พิษณุโลก เข้ามาตีสนิทในลักษณะเข้ามาจีบ และชวนไปเที่ยว กระทั่งจบด้วยการมีเพศสัมพันธ์
นายสันติกล่าวต่อว่า เด็กนักเรียนกลุ่มนี้เล่าให้ฟังว่า เรื่องดังกล่าวเกิดประมาณต้นเดือนมกราคม โดยหลังเลิกเรียนในช่วงเย็น เด็กนักเรียนกลุ่มนี้จะรวมตัวเล่นฟุตบอลที่สนามโรงเรียนทุกวัน ระหว่างนั้นมีหญิงสาววัยรุ่นที่ทราบต่อมาภายหลังว่า เรียนอยู่ระดับ ปวส.และปริญญาตรี ในสถาบันการศึกษา 2 แห่ง มานั่งดูเด็กนักเรียนกลุ่มนี้เล่นฟุตบอล จากนั้นจะเข้าไปตีสนิทกับเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีด้วยการเข้ามาพูดคุย และแซวเพื่อให้รู้จักกัน
นายสันติกล่าวอ้างต่อว่า จากนั้นเมื่อสนิทกันแล้ว หญิงสาววัยรุ่นจะนัดเด็กชายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก่อนจะพาไปที่บ้านของหญิงสาว และจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งขณะนี้ทราบว่าโรงเรียนดังกล่าวมีเด็กผู้ชายไปร่วมหลับนอนกับหญิงสาววัยรุ่นต่างวัย 2 ราย โดยรายหนึ่งไปกับสาวที่กำลังเรียนระดับปริญญาตรี อีกรายหนึ่งไปกับสาวที่เรียนระดับ ปวส. และที่สำคัญคือหญิงสาวได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ขณะที่กลุ่มเด็กชายก็ได้ถ่ายคลิปไว้เช่นกัน
“เด็กชายคุยเบ่งกันในกลุ่มเพื่อนฝูง แถมคุยกับผมด้วยความภูมิใจว่า พวกเขามีอะไรกับสาว ปวส.มาแล้ว แถมยังเอาคลิปมือถือที่ถ่ายมาเปิดอวดกันด้วย ตอนแรกได้ยินก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะไม่คิดว่าสังคมจะไปได้ถึงขนาดนี้ เมื่อถามไปเรื่อยๆ เด็กชายเล่าให้ฟังว่าหญิงสาววัยรุ่นเล่นเกมทำแต้มแข่งขันในหมู่เพื่อนสาวด้วยกันว่าขณะนี้กำลังฮิตเด็ก ใครจะมีความสามารถไปมีสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อยมากยิ่งมีแต้มมาก และเมื่อจีบเด็กชายถึงขั้นหลับนอนด้วยแล้ว จะต้องถ่ายคลิปในมือถือไปแสดงเป็นหลักฐานด้วย เรื่องนี้ผมก็เห็นด้วยตาของผมเองหลายครั้งว่า วัยรุ่นสาวได้มาตีสนิทกันมาก และบางครั้งแสดงท่าทางกอดกับเด็กชาย ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเป็นพี่น้องกัน" นายสันติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป โรงเรียนแห่งนี้ได้เริ่มจับตาและสอดส่องพฤติการณ์ของเด็กนักเรียนทั้งสองฝ่าย พร้อมเรียกเด็กในโรงเรียนไปสอบถาม แต่ยังไม่ได้ความจริง ขณะที่นักเรียนสาว และเด็กนักเรียนชายเริ่มไหวตัวทัน จึงใช้วิธีนัดพบกันนอกโรงเรียน โดยจะนัดไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่คลิปวิดีโอพบว่ามารดาของเด็กชายที่ถ่ายคลิปได้ยึดโทรศัพท์มือถือไว้แล้ว
ข้อมูลจาก - http://www.komchadluek.net/2009/01/29/x_main_a001_334441.php?news_id=334441
เรื่องราวเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในวัยเรียนของเด็กนักเรียนบางกลุ่มที่ผู้ปกครอง และอาจารย์ควรสอดส่องดูแลอย่างเข้มงวด เปิดเผยเมื่อวันที่ 28 มกราคม นายสันติ ผู้ปกครองของเด็กนักเรียนโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก กล่าวอ้างถึงพฤติการณ์ที่ไม่เหมาะสมของเด็กนักเรียนบางกลุ่มว่า ขณะนี้มีเด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในโรงเรียนแห่งหนึ่งใน จ.พิษณุโลก ได้พูดคุยอวดเบ่งในหมู่เพื่อนฝูงระหว่างเด็ก ป.6 อายุประมาณ 11-12 ปี มาเล่าให้ฟังว่า ช่วงหลังเลิกเรียนจะมีหญิงสาววัยรุ่นศึกษาระดับอุดมศึกษาใน จ.พิษณุโลก เข้ามาตีสนิทในลักษณะเข้ามาจีบ และชวนไปเที่ยว กระทั่งจบด้วยการมีเพศสัมพันธ์
นายสันติกล่าวต่อว่า เด็กนักเรียนกลุ่มนี้เล่าให้ฟังว่า เรื่องดังกล่าวเกิดประมาณต้นเดือนมกราคม โดยหลังเลิกเรียนในช่วงเย็น เด็กนักเรียนกลุ่มนี้จะรวมตัวเล่นฟุตบอลที่สนามโรงเรียนทุกวัน ระหว่างนั้นมีหญิงสาววัยรุ่นที่ทราบต่อมาภายหลังว่า เรียนอยู่ระดับ ปวส.และปริญญาตรี ในสถาบันการศึกษา 2 แห่ง มานั่งดูเด็กนักเรียนกลุ่มนี้เล่นฟุตบอล จากนั้นจะเข้าไปตีสนิทกับเด็กผู้ชายที่หน้าตาดีด้วยการเข้ามาพูดคุย และแซวเพื่อให้รู้จักกัน
นายสันติกล่าวอ้างต่อว่า จากนั้นเมื่อสนิทกันแล้ว หญิงสาววัยรุ่นจะนัดเด็กชายไปเที่ยวตามสถานที่ต่างๆ ก่อนจะพาไปที่บ้านของหญิงสาว และจบลงด้วยการมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งขณะนี้ทราบว่าโรงเรียนดังกล่าวมีเด็กผู้ชายไปร่วมหลับนอนกับหญิงสาววัยรุ่นต่างวัย 2 ราย โดยรายหนึ่งไปกับสาวที่กำลังเรียนระดับปริญญาตรี อีกรายหนึ่งไปกับสาวที่เรียนระดับ ปวส. และที่สำคัญคือหญิงสาวได้ใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายคลิปวิดีโอไว้เป็นหลักฐานเกี่ยวกับการมีเพศสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่าย ขณะที่กลุ่มเด็กชายก็ได้ถ่ายคลิปไว้เช่นกัน
“เด็กชายคุยเบ่งกันในกลุ่มเพื่อนฝูง แถมคุยกับผมด้วยความภูมิใจว่า พวกเขามีอะไรกับสาว ปวส.มาแล้ว แถมยังเอาคลิปมือถือที่ถ่ายมาเปิดอวดกันด้วย ตอนแรกได้ยินก็ไม่เชื่อว่าเป็นเรื่องจริง เพราะไม่คิดว่าสังคมจะไปได้ถึงขนาดนี้ เมื่อถามไปเรื่อยๆ เด็กชายเล่าให้ฟังว่าหญิงสาววัยรุ่นเล่นเกมทำแต้มแข่งขันในหมู่เพื่อนสาวด้วยกันว่าขณะนี้กำลังฮิตเด็ก ใครจะมีความสามารถไปมีสัมพันธ์กับเด็กที่อายุน้อยมากยิ่งมีแต้มมาก และเมื่อจีบเด็กชายถึงขั้นหลับนอนด้วยแล้ว จะต้องถ่ายคลิปในมือถือไปแสดงเป็นหลักฐานด้วย เรื่องนี้ผมก็เห็นด้วยตาของผมเองหลายครั้งว่า วัยรุ่นสาวได้มาตีสนิทกันมาก และบางครั้งแสดงท่าทางกอดกับเด็กชาย ซึ่งตอนนั้นคิดว่าเป็นพี่น้องกัน" นายสันติกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากเรื่องดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป โรงเรียนแห่งนี้ได้เริ่มจับตาและสอดส่องพฤติการณ์ของเด็กนักเรียนทั้งสองฝ่าย พร้อมเรียกเด็กในโรงเรียนไปสอบถาม แต่ยังไม่ได้ความจริง ขณะที่นักเรียนสาว และเด็กนักเรียนชายเริ่มไหวตัวทัน จึงใช้วิธีนัดพบกันนอกโรงเรียน โดยจะนัดไปเที่ยวด้วยกันในวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ ขณะที่คลิปวิดีโอพบว่ามารดาของเด็กชายที่ถ่ายคลิปได้ยึดโทรศัพท์มือถือไว้แล้ว
ข้อมูลจาก - http://www.komchadluek.net/2009/01/29/x_main_a001_334441.php?news_id=334441
วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2552
กลุ่มเหล็กหนุนรัฐเร่งผลักดันเหล็กต้นน้ำ
นายพยุงศักดิ์ ชาติสุทธิผล ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก เปิดเผยกรณีกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอโครงการเหล็กต้นน้ำเข้าสู่การประชุมคณะรัฐมนตรีว่า เป็นเรื่องที่ดี ที่ผ่านมามีการเปลี่ยนรัฐมนตรีบ่อยมาก จึงทำให้โครงการต้องเลื่อนมา ซึ่งความล่าช้า เป็นปัญหาด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโครงการขนาดใหญ่โดยรัฐบาลจะต้องเป็นผู้ดำเนินการจัดหา ขณะที่เอกชนโดยเฉพาะ เครือสหวิริยามีความพร้อมจะดำเนินการก่อสร้างโครงการดังกล่าวอยู่แล้ว เพียง ทั้งในเรื่องของเงินทุนและสถานที่ก่อสร้าง
นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด(มหาชน)หรือ AMC กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก คาดว่าจะได้รับประโยชน์ด้วยและเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้ได้รับความสนใจและมีคุณภาพมากขึ้น
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง กล่าวว่า การที่ภาครัฐต้องการให้มีการลงทุนโรงถลุงเหล็ก ถือเป็นข่าวที่ส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนหุ้น SSI เพราะโครงการสร้างโรงถลุงเหล็กดังกล่าวยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทำให้ประเทศไม่ต้องนำเข้าเหล็กในต้นทุนสูง ลดขาดดุลการค้าและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ถ้าหากโครงการเหล็กต้นน้ำของเครือสหวิริยาเกิดขึ้นโดยเร็ว จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤติการขาดดุลการค้าเหล็กอันมหาศาลของประเทศไทยได้
แรงงานประจวบฯ ยังเฝ้าระวังปัญหาว่างงาน
นางนิยดา ศิริโชติ แรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการทำงานของ คณะทำงานติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการและแรงงาน พบว่า สถานการณ์แรงงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในปัจจุบันยังไม่น่าห่วง ทั้งในส่วนของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว โดยแม้มีการเลิกจ้างแต่ก็สามารถหางานทำใหม่ได้โดยเป็นลักษณะของการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทั้งนี้ได้มีการรายงานสถานการณ์ต่อนายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขต 5 โดยการทำงานยังเฝ้าระวังต่อเนื่องแล้ว
ทั้งนี้สำหรับความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมนั้น ก่อนหน้านี้เครือสหวิริยาระบุว่า การดำเนินโครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ อ.บางสะพาน ตามแผนเฟสแรกในปี 2552 จะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 5,000 อัตรา อย่างไรก็ตามล่าสุดได้มีการประกาศหยุดดำเนินโครงการซึ่งลงทุนไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาทเพื่อรอความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล
นายชูศักดิ์ ยงวงศ์ไพบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเซีย เมทัล จำกัด(มหาชน)หรือ AMC กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเหล็ก คาดว่าจะได้รับประโยชน์ด้วยและเป็นเรื่องที่ดี เพราะช่วยสนับสนุนอุตสาหกรรมดังกล่าวให้ได้รับความสนใจและมีคุณภาพมากขึ้น
ขณะที่นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์กิมเอ็ง กล่าวว่า การที่ภาครัฐต้องการให้มีการลงทุนโรงถลุงเหล็ก ถือเป็นข่าวที่ส่งผลดีต่อจิตวิทยาการลงทุนหุ้น SSI เพราะโครงการสร้างโรงถลุงเหล็กดังกล่าวยืดเยื้อมาเป็นเวลานาน โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่ที่จะผลักดันให้อุตสาหกรรมในประเทศเติบโตอย่างมีนัยสำคัญทำให้ประเทศไม่ต้องนำเข้าเหล็กในต้นทุนสูง ลดขาดดุลการค้าและยกระดับการพัฒนาเศรษฐกิจ ถ้าหากโครงการเหล็กต้นน้ำของเครือสหวิริยาเกิดขึ้นโดยเร็ว จะช่วยแก้ปัญหาวิกฤติการขาดดุลการค้าเหล็กอันมหาศาลของประเทศไทยได้
แรงงานประจวบฯ ยังเฝ้าระวังปัญหาว่างงาน
นางนิยดา ศิริโชติ แรงงานจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เปิดเผยว่า จากการทำงานของ คณะทำงานติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่ส่งผลกระทบต่อการประกอบกิจการและแรงงาน พบว่า สถานการณ์แรงงานในพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ในปัจจุบันยังไม่น่าห่วง ทั้งในส่วนของแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและภาคการท่องเที่ยว โดยแม้มีการเลิกจ้างแต่ก็สามารถหางานทำใหม่ได้โดยเป็นลักษณะของการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทั้งนี้ได้มีการรายงานสถานการณ์ต่อนายสุเมธ แสงนิ่มนวล ผู้ตรวจราชการกระทรวงมหาดไทย เขต 5 โดยการทำงานยังเฝ้าระวังต่อเนื่องแล้ว
ทั้งนี้สำหรับความต้องการแรงงานภาคอุตสาหกรรมนั้น ก่อนหน้านี้เครือสหวิริยาระบุว่า การดำเนินโครงการอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ อ.บางสะพาน ตามแผนเฟสแรกในปี 2552 จะก่อให้เกิดการจ้างงานประมาณ 5,000 อัตรา อย่างไรก็ตามล่าสุดได้มีการประกาศหยุดดำเนินโครงการซึ่งลงทุนไปแล้วกว่า 3 พันล้านบาทเพื่อรอความชัดเจนของนโยบายรัฐบาล
วันจันทร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2552
เอกชนลุ้นครม.เศรษฐกิจ ถกมาตราการหนุนอุตสาหกรรมเหล็ก
นายวีรศักดิ์ ชัยสุพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีเอสพี สตีลเซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CSP เปิดเผยว่า หลังจากที่รัฐบาลได้ออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ประกอบกับกระทรวงอุตสาหกรรมเตรียมเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เศรษฐกิจ อนุมัติแผนการสนับสนุนโครงการลงทุนพัฒนาอุตสาหกรรมเหล็กต้นน้ำ (โรงถลุงเหล็ก) ในประเทศไทย ภายในเดือนมกราคม 2552คงส่งผลดีต่อภาพรวมของอุตสาหกรรมให้มีทิศทางที่ดีขึ้น
นอกจากนี้หากมีโรงถลุงเหล็กคงช่วยพัฒนาสินค้าเหล็กให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นด้วย นายวีรศักดิ์ กล่าว ปัจจุบันแผนเจรจากับพันธมิตรในประเทศจีน เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจเหล็กอาจยกเลิกหรือชะลอออกไปก่อน จนกว่าภาวะเศรษฐกิจหรือสถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้น เพราะหากลงทุนในช่วงนี้อาจไม่คุ้มค่านอกจากนี้ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าจับจ่ายซื้อสินค้าสำหรับในปี 2552 บริษัทตั้งเป้ารักษารายได้ใกล้เคียงกับปี 2551 ที่คาดทำได้ 3,500ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่ทำได้ 2,796.14 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับราคาเหล็กยังมีแนวโน้มต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่เคยขึ้นไปสูงสุดตามทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันในตลาดโลก
อุตฯเผยไทยมีแหล่งแร่เหล็กพร้อมพัฒนาเชิงพาณิชย์
นาย ดำริ สุโขธนัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกรณีที่มีการระบุว่าไทยไม่มีศักยภาพในการดำเนินโครงการโรงถลุงเหล็กเนื่องจากไม่มีแหล่งแร่ว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่ในพื้นที่จังหวัด ลำพูน และลำปาง ที่ยังรอการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ และที่ผ่านมาสามารถส่งออกได้ปีละกว่า 1 แสนตัน ส่วนการนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย และบราซิลที่เป็นแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญของโลกนั้น ถือเป็นความได้เปรียบในเรื่องราคามากกว่าโดยเฉพาะถ้าหากสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า การที่โครงการเหล็กต้นน้ำจะเกิดขึ้นได้จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ และเอกชนจำต้องเดินไปด้วยกัน
เนื่องจากโครงการนี้จำเป็นต้องลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบบขนส่งสูงมาก รวมทั้งยังอาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสังคม และชุมชน ซึ่งถ้าชุมชนเห็นด้วยโครงการนี้ก็จะเกิดขึ้นได้นอกจากนี้รัฐบาลต้องลุยเต็มที่ ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นเป็นเจ้าภาพหลักขึ้นมาดูแล เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
นอกจากนี้หากมีโรงถลุงเหล็กคงช่วยพัฒนาสินค้าเหล็กให้มีคุณภาพที่ดีขึ้นด้วย นายวีรศักดิ์ กล่าว ปัจจุบันแผนเจรจากับพันธมิตรในประเทศจีน เพื่อร่วมลงทุนในธุรกิจเหล็กอาจยกเลิกหรือชะลอออกไปก่อน จนกว่าภาวะเศรษฐกิจหรือสถานการณ์ต่างๆจะดีขึ้น เพราะหากลงทุนในช่วงนี้อาจไม่คุ้มค่านอกจากนี้ผู้บริโภคยังขาดความเชื่อมั่นไม่กล้าจับจ่ายซื้อสินค้าสำหรับในปี 2552 บริษัทตั้งเป้ารักษารายได้ใกล้เคียงกับปี 2551 ที่คาดทำได้ 3,500ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่ทำได้ 2,796.14 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ประกอบกับราคาเหล็กยังมีแนวโน้มต่ำกว่าปีที่ผ่านมาที่เคยขึ้นไปสูงสุดตามทิศทางเดียวกันกับราคาน้ำมันในตลาดโลก
อุตฯเผยไทยมีแหล่งแร่เหล็กพร้อมพัฒนาเชิงพาณิชย์
นาย ดำริ สุโขธนัง ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยกรณีที่มีการระบุว่าไทยไม่มีศักยภาพในการดำเนินโครงการโรงถลุงเหล็กเนื่องจากไม่มีแหล่งแร่ว่า ประเทศไทยมีแหล่งแร่ในพื้นที่จังหวัด ลำพูน และลำปาง ที่ยังรอการพัฒนาในเชิงพาณิชย์ และที่ผ่านมาสามารถส่งออกได้ปีละกว่า 1 แสนตัน ส่วนการนำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย และบราซิลที่เป็นแหล่งแร่เหล็กที่สำคัญของโลกนั้น ถือเป็นความได้เปรียบในเรื่องราคามากกว่าโดยเฉพาะถ้าหากสั่งซื้อเป็นจำนวนมาก ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมกล่าวว่า การที่โครงการเหล็กต้นน้ำจะเกิดขึ้นได้จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐ และเอกชนจำต้องเดินไปด้วยกัน
เนื่องจากโครงการนี้จำเป็นต้องลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐาน และระบบขนส่งสูงมาก รวมทั้งยังอาจจะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมสังคม และชุมชน ซึ่งถ้าชุมชนเห็นด้วยโครงการนี้ก็จะเกิดขึ้นได้นอกจากนี้รัฐบาลต้องลุยเต็มที่ ตั้งหน่วยงานพิเศษขึ้นเป็นเจ้าภาพหลักขึ้นมาดูแล เพื่อเชื่อมโยงหน่วยงานต่างๆให้ทำงานไปในทิศทางเดียวกัน
วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552
จตุคามฟีเวอร์:ฝรั่งหัวใจพุทธไทยพุทธหัวใจไสยศาสตร์แล้วหรือ
เมื่อวานนี้ (15พ.ค.) ได้อ่านข่าวผ่านทางบล็อก ThelastKGB ระบุมี ดาราฝรั่ง 2 คนนับถือศาสนาพุทธคือ ริชาร์ด เกียร์ และคีอานู รีฟส์ โดยทำหน้าที่บรรยายธรรม
ทั้งนี้ภายใต้การดำเนินการขององค์กรสอนศาสนาพุทธนิกายมหายาน "The Foundation for the Preservation of the Mahayana Tradition" หรือ FPMT ซึ่งได้จัดทำวีดีโอ ชุด Discovering Buddhism ด้วยความมุ่งหวังให้คนที่ดูวีดีโอชุดนี้ เข้าใจและปฎิบัติตามหลักคำสอนในศาสนาพุทธ
ThelastKGB ได้อ้างอิงข้อมูลของคุณ angy_11 เจ้าของ blog คีอานูหนึ่งเดียวในประเทศไทย ....เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูลประกอบ......http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=keanuthailand
ขณะเดียวกันวันนี้ (16พ.ค.) ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับวันที่ 17-19 พ.ค.หน้าบริหารจัดการ เรื่อง "ปรัชญาพุทธกับนักคิดระดับโลก มาร์แชล โกลด์สมิธ" โดยระบุ เป็นบุคคลที่ได้นำหลักปรัชญาพุทธไปประยุกต์ใช้ในการบริการธุรกิจ
"สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมเป็นอดีต เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ ผมจึงให้ความสำคัญต่อการสอนที่เป็นเรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของวันนี้ ดังนั้น ทุก ๆ ครั้งที่สอนมักจะบอกเสมอ ๆ ว่า เมื่อสูดลมหายใจคราใด ให้คิดซะว่านั่นคือคุณคนใหม่"
นี้เป็นคำกล่าวของ มาร์แชล ซึ่งเป็นกูรูผู้มากด้วยความสามารถวัย 58 ปี ได้การจัดอันดับเป็นยอดแห่งนักคิดเป็นยอดนักคิดและผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงอิทธิพลต่อสาขาการบริการจัดการในประวัติศาสตร์ของศาสตร์แห่งการพัฒนาความเป็นผู้นำ ทั้งได้รับการยกย่องยอมรับจากสื่อมวลชนทางด้านธุรกิจที่สำคัญ
มองมาที่ประเทศไทย ขณะนี้กระแสจตุคามกำลังฟีเวอร์ พระมีหน้าที่เสก จึงทำให้เกิดความคิดว่าฝรั่งเขามีหัวใจพุทธ ส่วนคนไทยมีหัวใจไสยศาสตร์ไปแล้วหรือ
วันพุธ ที่ 16 พฤษภาคม 2550
ทั้งนี้ภายใต้การดำเนินการขององค์กรสอนศาสนาพุทธนิกายมหายาน "The Foundation for the Preservation of the Mahayana Tradition" หรือ FPMT ซึ่งได้จัดทำวีดีโอ ชุด Discovering Buddhism ด้วยความมุ่งหวังให้คนที่ดูวีดีโอชุดนี้ เข้าใจและปฎิบัติตามหลักคำสอนในศาสนาพุทธ
ThelastKGB ได้อ้างอิงข้อมูลของคุณ angy_11 เจ้าของ blog คีอานูหนึ่งเดียวในประเทศไทย ....เอื้อเฟื้อภาพและข้อมูลประกอบ......http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=keanuthailand
ขณะเดียวกันวันนี้ (16พ.ค.) ได้อ่านหนังสือพิมพ์ ฐานเศรษฐกิจฉบับวันที่ 17-19 พ.ค.หน้าบริหารจัดการ เรื่อง "ปรัชญาพุทธกับนักคิดระดับโลก มาร์แชล โกลด์สมิธ" โดยระบุ เป็นบุคคลที่ได้นำหลักปรัชญาพุทธไปประยุกต์ใช้ในการบริการธุรกิจ
"สิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วย่อมเป็นอดีต เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลง แก้ไขได้ ผมจึงให้ความสำคัญต่อการสอนที่เป็นเรื่องของปัจจุบัน เป็นเรื่องของวันนี้ ดังนั้น ทุก ๆ ครั้งที่สอนมักจะบอกเสมอ ๆ ว่า เมื่อสูดลมหายใจคราใด ให้คิดซะว่านั่นคือคุณคนใหม่"
นี้เป็นคำกล่าวของ มาร์แชล ซึ่งเป็นกูรูผู้มากด้วยความสามารถวัย 58 ปี ได้การจัดอันดับเป็นยอดแห่งนักคิดเป็นยอดนักคิดและผู้นำที่ยิ่งใหญ่ที่ทรงอิทธิพลต่อสาขาการบริการจัดการในประวัติศาสตร์ของศาสตร์แห่งการพัฒนาความเป็นผู้นำ ทั้งได้รับการยกย่องยอมรับจากสื่อมวลชนทางด้านธุรกิจที่สำคัญ
มองมาที่ประเทศไทย ขณะนี้กระแสจตุคามกำลังฟีเวอร์ พระมีหน้าที่เสก จึงทำให้เกิดความคิดว่าฝรั่งเขามีหัวใจพุทธ ส่วนคนไทยมีหัวใจไสยศาสตร์ไปแล้วหรือ
วันพุธ ที่ 16 พฤษภาคม 2550
ยุคจตุคามฟีเวอร์จะนับถือพุทธอย่างไรไม่ให้เพี้ยน
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต)ุ เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน ต.บางกระทึก อ.สามพราน จ.นครปฐม นอกจากจะให้คติธรรมเกี่ยวกับจตุคามฟีเวอร์ โดยมอบหมายให้สำหนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พิมพ์แจกเรื่อง "คติจตุคามรามเทพ" เนื่องในวันวิสาขบูชาที่จะมาถึงนี้แล้ว
ท่านเจ้าคุณยังได้ให้คติเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องวัตถุมงคลไว้ สามารถรับฟังได้ที่
"นับถือพุทธศาสนา อย่าให้เพี้ยน"
วันอังคาร ที่ 15 พฤษภาคม 2550
ท่านเจ้าคุณยังได้ให้คติเกี่ยวกับเรื่องพระเครื่องวัตถุมงคลไว้ สามารถรับฟังได้ที่
"นับถือพุทธศาสนา อย่าให้เพี้ยน"
วันอังคาร ที่ 15 พฤษภาคม 2550
พระประยุทธ์ให้ทำความดีเช่นเทพจตุคามอย่าเป็นเหยื่อลัทธิบริโภคนิยม
"เจ้าคุณประยุทธ์"วิพากษ์กระแส"จตุคามฯ" วงจรลัทธิบริโภคนิยมกับลัทธิหวังผลดลบันดาลมาบรรจบกัน ทำสังคมไทยหมุนกลิ้ง คนเป็นโรคเส้นตื้น เป็นเหยื่อที่ดีของธุรกิจ "พระ-วัด"ฉวยโอกาสหาลาภ ไม่ยืนอยู่กับพระรัตนตรัยผู้สื่อข่าวรายงานว่า พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ได้เตรียมเผยแพร่บทสนทนาธรรม "คติ : จตุคามรามเทพ" เนื่องในโอกาสวิสาขบูชา วันที่ 31พฤษภาคม จัดพิมพ์โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จำนวน 10,000 เล่ม เนื้อหาถ่ายทอดผ่านบทสนทนาธรรมระหว่างคณะผู้มาเยี่ยม กับท่านเจ้าคุณปยุต มีทั้งหมด 6 บท ได้แก่ บทสนทนาธรรม "คติ : จตุคามรามเทพ, หลวงพ่อที่ดัง มีเทวดาใหญ่เฝ้าดู, ที่ใหญ่แท้คือธรรม พึ่งกรรมดีกว่ารอเทวดา, เทพดี คนดี บรรจบกันที่ธรรม, ผู้มีปัญญา เชิญเทพพรหมมาช่วยพัฒนาบ้านเมือง และยุคธุรกิจฟู่ฟ่า เงินต้องมาเป็นทาสรับใช้ธรรม รวม 24 หน้า ท่านเจ้าคุณปยุตตอบคำถามของผู้มาเยี่ยมที่แสดงความเป็นห่วงปรากฏการณ์จตุคามฯ ว่ากระแสจตุคามฯเป็นเพียงอาการหนึ่งของโรคนี้ที่สังคมไทยเป็นมานานแล้ว เรื่องพระพรหม พระราหู พระพิฆเนศ คนไทยเอาทั้งนั้น เดี๋ยวก็ฮือๆ แต่ตอนนี้อาการแรงขึ้นๆ ถ้าปล่อยกันอยู่ ก็คงแรงขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงจุดหนึ่งก็อาจจะเป็นสังคมหลักลอย ที่ผู้คนเลื่อนลอย หาอะไรเป็นหลักยึดไม่ได้ บางคนอาจจะเรียกว่า "โรคเส้นตื้น" มองอีกแง่หนึ่ง เรื่องนี้ ถ้าคนเป็นชาวพุทธจริง ไม่ต้องไปห่วง ถึงจะนับถือของพวกนี้ ก็จะมีวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง ไม่ให้เกิดผลเสียหายท่านเจ้าคุณปยุตกล่าวว่า พวกที่พาสังคมเคว้งคว้างน่าห่วงแน่ คือพวกตื่นตามกระแส หรือพวกเหยื่อกระแส พวกนี้นอกจากไม่มีหลักอะไร พระพุทธศาสนาที่ตัวว่านับถือ ก็ไม่รู้จักเลย นอกจากนั้นแล้ว แม้แต่สิ่งที่ตัวไปรับเอามา อย่างจตุคามฯนั้น ตัวก็ไม่รู้หน้ารู้หลังว่าเป็นอะไร ไปอย่างไรมาอย่างไรกันแน่ ได้แต่ว่าไปตามเสียงที่ปั่นกระแสเท่านั้นเอง นี่ด้านชาวบ้าน แต่ไม่ใช่แค่โยมเท่านั้น มาเป็นเรื่องของพระกับวัด ที่พลอยเข้ากระแสไปกับชาวบ้านด้วย คือ หนึ่ง เหมือนกับถือหรือฉวยโอกาสหาลาภ หารายได้ หาผลประโยชน์ไปด้วย สอง เสียหลัก ไม่ยืนอยู่ในหลักการของตัว คือพระรัตนตรัย และพระธรรมวินัย แค่เอาเทพมาปลุกเสกในวัด ถ้าทำพลาด จะกลายเป็นว่าพระไปนับถือเทพเข้า ก็หล่นคะมำเลย นี่ทำไปได้อย่างไร สำหรับพวกที่ไปตื่นหาจตุคามฯนั้น ก็มีแง่ที่น่าเห็นใจอยู่บ้าง แต่ไม่มีแง่ที่จะตามใจ อย่างที่อ่อนแอคอยหวังผลหวังพึ่ง หรือเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีความรู้เข้าใจเรื่องอย่างนี้ว่าจะปฏิบัติตัวอย่างไร ทำให้ตื่นตูมตามกระแสไปง่ายๆ ต้องมองไปที่คนและสถาบันที่ควรจะทำหน้าที่รับผิดชอบเช่นให้การศึกษา นอกจากนี้ ท่านเจ้าคุณปยุตยังอรรถาธิบายความรู้เข้าใจเรื่องหลักความสัมพันธ์ระหว่างเทพกับปูชนียวัตถุ-สถานในพระพุทธศาสนา ระหว่างมนุษย์กับเทวดา ระหว่างคนกับเทพ รวมถึงประวัติความเป็นมาของจตุคามฯ โดยบอกว่าเป็นการรู้จักตัวเอง ถ้าแค่เรื่องตัวเองก็ยังไม่รู้ ทางที่ตัวเองเดินมาก็ไม่เห็น แถมข้างหน้าก็มืดอีก แล้วจะมองจะเดินต่อไปให้ดีได้อย่างไรผู้ร่วมสนทนาอีกคนถามว่า เทวดาดีอย่างจตุคามฯที่รักษาพระธาตุนครศรีธรรมราช มีเมตตากรุณาคอยช่วยเหลือคน เลยทำให้คนคอยหวังพึ่ง รอให้มาช่วย แล้วจะทำอย่างไรให้คนไทยเข้มแข็ง รู้จักคิดทำอะไรด้วยตัวเอง ท่านเจ้าคุณปยุตตอบว่า เทพองค์นั้นเป็นชาวพุทธที่ดี มีศรัทธามาทำหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา มาบำเพ็ญความดี นับเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าชาวพุทธควรจะบำเพ็ญความดีอย่างเทพองค์นี้ ไม่ใช่ว่าเทพจตุคามฯทำความดี แต่คนคอยฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากการทำความดีของเทพ ชาวพุทธควรเอาเทพที่ดีมาช่วยประกันใจตัวให้มั่นคงไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัว และปลุกใจตัวให้มีกำลังใจเข้มแข็งที่จะทำการดีงามให้สำเร็จ ร่วมขบวนกับเทพนั้นในการบำเพ็ญความดีตลอดจนบารมีต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้ "ไม่ว่าเรื่องพระพรหม หรือเรื่องจตุคามรามเทพ ผู้รับผิดชอบต่อสังคม เริ่มด้วยผู้บริหารบ้านเมือง จะต้องดูแลให้เกิดโอกาสในการพัฒนาคน เช่น พระพรหมเอราวัณ เราละเลยปล่อยให้คนอยู่กับความหลงหรือการขาดความรู้กันเรื่อยมา แต่ทำอย่างไรจะพัฒนาเขาขึ้นมาได้บ้าง ก็เผยแพร่ให้ความรู้แก่ประชาชนว่า ท้าวองค์นี้ท่านคือใคร มีอะไรที่ควรรู้บ้าง ในเมื่อเราไม่สามารถหักด้ามพร้าด้วยเข่า เขานับถือลุ่มหลงอยู่ เราก็เอาเป็นจุดบรรจบประสานให้เป็นแนวทางที่เขาจะเดินก้าวหน้าในการพัฒนาตัวต่อไป แต่คนไทย ท่านผู้ปกครอง ไม่เอาเรื่องเลย ไม่มองช่องทางที่จะพัฒนามนุษย์อันนี้ ก็เลยไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรทั้งนั้น" ท่านเจ้าคุณปยุตตอบ ผู้มาเยี่ยมกล่าวว่า ถ้าไม่หาความรู้ความเข้าใจกันอย่างที่ว่านั้น ก็ได้แต่ตื่นตูมตามกระแสเรื่อยไป ก็สมที่ว่าเป็นโรคเส้นตื้น พระพรหมคุณาภรณ์กล่าวเสริมว่า กระแสจตุคามฯไม่ใช่แค่โรคเส้นตื้นเฉยๆ แต่กินลึกเลย แล้วก็หนักหนามาก ฟ้องสภาพสังคม และบ่งบอกปัญหาคุณภาพของคน อาการนี้ ด้านหนึ่งคือแสดงอิทธิพลของระบบธุรกิจ ว่าสังคมไทยนี่ ธุรกิจเฟื่องดีนัก คนอยู่ใต้ครอบงำของระบบธุรกิจ มุ่งหาแต่ผลประโยชน์ขนาดหนัก มองหาแต่เงิน แม้แต่เรื่องทางด้านจิตใจ ก็ไม่เว้น ยังเอามาใช้เป็นช่องทางหรือเป็นเครื่องมือหาผลประโยชน์ อีกด้านหนึ่ง อาการนี้แสดงว่าคนไทยเวลานี้ตื่นตูมง่ายมาก ปั่นกระแสขึ้นดีนัก เลยสอดรับกับข้อแรกที่ว่าไปแล้ว คือเป็นเหยื่อที่ดีของธุรกิจ ทำไมจึงตื่นตูมง่าย ก็เพราะพื้นฐานของตัวชอบหวังผลจากการดลบันดาล ให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วย คิดแต่จะพึ่งอำนาจภายนอกมาทำให้ อย่างที่ว่า "หวังลาภลอย นอนคอยโชค" แล้วระยะยาว คนก็อ่อนแอ ไม่มีความเพียรพยายามที่จะทำการให้เกิดผลสำเร็จด้วยเรี่ยวแรงของตนเอง ได้แต่เป็นนักพึ่งพา ถ้าขมวดให้สั้นก็คือวงจรของลัทธิบริโภคนิยม กับลัทธิหวังผลดลบันดาล มาบรรจบประสานกัน แล้วส่งผลเป็นเหตุปัจจัยหนุนกัน ให้ชีวิตและสังคมนี้หมุนกลิ้ง หรือลอยเคว้งคว้างต่อไปผู้ถามถามอีกว่า นิตยสาร "มติชนรายสัปดาห์" ขึ้นปกว่า จตุคามฯทำให้เงินสะพัดกว่า 22,000 ล้านบาท จะหยุดกระแสนี้ได้อย่างไร ท่านเจ้าคุณปยุตตอบว่า รู้อยู่ว่าสังคมนี้กำลังต้องการเงินทองมาก เป็นสังคมธุรกิจ ประสานกับบริโภคนิยม เห็นแก่การเสพบริโภค ระบาดเข้ามากระทั่งในวัด กระแสใหญ่เป็นอย่างนี้ ต้องพยายามดึงกระแสใหญ่เข้ามาหาหลัก "ในท่ามกลางสภาพสังคมอย่างนั้น พระพุทธเจ้าทรงใช้ความนิยมหรือกระแสที่เกิดขึ้น เป็นจุดปรารภที่จะสอนให้คนที่มีบทบาทสำคัญในสังคมนั้น หันมาใฝ่ธรรม และนำธรรมไปปฏิบัติดังเช่นเศรษฐีก็ควรจะเอาทรัพย์มาทำประโยชน์ ส่งเสริมธรรม เกื้อกูลสังคม รวมทั้งพัฒนาชีวิตของตนเอง ไม่ลุ่มหลงมัวเมาในการเสพบริโภคหรือใช้อิทธิพลจากทรัพย์และอำนาจไปข่มเหงคนอื่น มาถึงสมัยนี้ก็เหมือนกัน ปัจจุบัน สังคมเป็นอย่างนี้ก็ต้องรู้เข้าใจว่าทำอย่างไรจะให้ธรรมเกิดประโยชน์แก่คนที่ต่างๆ กันได้" พระพรหมคุณาภรณ์กล่าว
ที่มา - มติชนอ่านเรื่องประกอบ - ปาฏิหาริย์จตุคามกับทรรศนะของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
วันจันทร์ ที่ 14 พฤษภาคม 2550
ที่มา - มติชนอ่านเรื่องประกอบ - ปาฏิหาริย์จตุคามกับทรรศนะของพระพุทธเจ้า เป็นต้น
วันจันทร์ ที่ 14 พฤษภาคม 2550
ปาฏิหาริย์จตุคามกับทรรศนะของพระพุทธเจ้า
ขณะนี้มีความเชื่อในองค์ "จตุคามรามเทพ" ว่าทรงอานุภาพต่างๆ นานา ทรงอิทธิสิทธิ์ปาฏิหาริย์ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอิทธิปาฏิหาริย์ด้านให้โชคให้ลาภ ส่วนอานุภาพด้านการคุ้มภัยนั้นก็มีบ้างจึงทำให้การสร้างรุ่นต่าง ๆ เพื่อคุ้มภัยจากโจรใต้
ขณะเดียวกันกระแสจตุคามได้แพร่หลายไปยังกลุ่มชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงอย่างกว้างขวางเช่นกัน และรุ่นที่โด่งดังเป็นที่นิยมของชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงคือ "รุ่นสองนคร" หากเป็นของจริงราคาเช่นอยู่ที่หลักแสนบาท หากเป็นของเทียมก็หลักหมื่นบาทแล้ว โดย"รุ่นสองนคร" สร้างที่วัดนางพญา จ.นครราชสีมา
กระแสจตุคามฟีเวอร์ในกลุ่มคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็คงจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ แต่ปัจจุบันนี้ได้ครอบคุ้มไปถึงพระสงฆ์ ที่ทำหน้าที่ปลุกเสก โดยอ้างว่าเพื่อหารายได้ในการสร้างวัด(เมื่อใดจะสร้างคนบ้าง) หวังดึงคนเข้าวัดอีกทาง แต่วิธีเช่นนี้ถูกต้องตามพุทธวิธีหรือไม่
หากมองย้อนไปสมัยพุทธกาลแล้ว พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์ไว้อย่างไร เรื่องนี้พระพุทธทาสภิกขุ ได้เขียนไว้ในหนังสือพุทธประวัติสำหรับนักศึกษา ตอนที่ 16 เรื่องปาฏิหาริย์โดยมีความสรุปว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปตามชนบทต่าง ๆ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ เพื่อสั่งสอนเวเนยยสัตว์ก็มีคนจำนวนมากเลื่อมใสยอมเป็นสาวกเป็นจำนวนมาก
แต่พร้อมกันนั้นก็ยังมีศาสดาศาสนาอื่นได้แสดงสิ่งซึ่งประหลาดผิดธรรมดา อันเรียกว่า "ปาฏิหาริย์" ได้ทำให้มหาชนแตกตื่นกัน และมีคนจำนวนมากได้เลื่อมใสและออกปากสรรเสริญการกระทำเช่นนั้น จนกระทั้งกลายเป็นสาวกของเจ้าลัทธิ ศาสดานั้น ๆ ก็มีอยู่จำนวนมาก
พระภิกษุทั้งหลายก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลของร้องให้พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นบ้าง เพื่อประชาชนจักได้เลื่อมใสพอใจและเข้ามาเป็นสาวกมาก ๆ
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "พระองค์ทรงรู้สึกละอายในการที่จะล่อประชาชนให้มีความเชื่อถือ ด้วยการกระทำที่แปลกประหลาดหรือปาฏิหาริย์ทำนองนั้น แต่พระองค์ทรงสามารถทำให้คนเกิดความประหลาดถึงขนาดรู้สึกมหัศจรรย์ให้ปาฏิหาริย์ที่แท้จริงอย่างอื่น
พระองค์ได้ตรัวแต่ภิกษุเหล่านั้นว่า "ตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมกระทำปาฏิหาริย์ แต่อย่างเดียวเท่านั้นคือ เมื่อพระตถาคตทั้งหลายเห็นมนุษย์ประกอบด้วย กาม กิเลสและตัณหา ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นออกมาเสียจาก กาม กิเลสและตัณหา
เมื่อทรงเห็นว่ามหาชนทั้งหลายตกเป็นทาสของโทษะและการผูกเวร ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นเสียจากการตกเป็นทาสของโทษะและการผูกเวร เมื่อทรงทราบว่าประชาชนบอดเพราะความเขลาและอวิชชา ก็ทรงเปิดตามของคนเหล่านั้น ช่วยให้เขาพ้นจากความเขลาและอวิชชา ซึ่งเป็นความบอดมืด ยิ่งเสีวกว่าความมืดแห่งราตรี
ภิกษุทั้งหลาย ปาฏิหาริย์อย่างเดียวดังกล่าวนี้เท่านั้น ที่พระตถาคตทั้งหลายพากันทำ ส่วนปาฏิหาริย์อย่างอื่น ๆ นั้น ท่านเกลียดชังและประณาม ไม่ยอมกระทำปาฏิหาริย์เหล่านั้น
ต่อมาพระปิณโฆลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการเหาะขึ้นไปที่สูงปลดเอาบาตร พระองค์ทรงทราบ จึงรับสั่งให้ทำหลายบาตรใบนั้นและทรงห้ามมิให้ทำเช่นนั้นอีก พร้อมทั้งทรงบัญญัติว่า ภิกษุทั้งหลายต้องไม่ทำการล่อลวงคนเขลาทั่วๆไปให้นับถือบูชา ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ชนิดนั้น ถ้าขืนทำจักต้องไม่อยู่ร่วมกับพระองค์หรือภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกต่อไป
ข้อบังคับอันนี้ได้ม่อยู่สืบมาเป็นวินัยข้อสำคัญข้อหนึ่งของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา (ถ้าพระภิกษุอวดว่าแสดงปาฏิหาริย์ได้ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้ จะต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ในข้ออุตตริมนุษยธรรมไม่มีในตน) ห้ามไม่ให้ภิกษุใดแสดงปาฏิหาริย์เพื่อให้คนเลื่อมใส เพื่อลาภสักการะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเด็ดขาด
ดังนั้นมหาเนชั่นจึงไม่พระที่ทำหน้าที่ปลุกเสกทั้งหลายนั้นจะได้คำนึงคำสอนนี้หรือไม่ จะรู้สึกละอายอย่างที่พระองค์ละอายหรือไม่ หากมีการโอ้อวดแล้วก็เชื่อแน่ว่าไม่ใช่พระอีกต่อไปแล้ว เป็นคนที่หลอกลวงคนเขลาอย่างที่พระองค์ตรัส
วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤษภาคม 2550
ขณะเดียวกันกระแสจตุคามได้แพร่หลายไปยังกลุ่มชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงอย่างกว้างขวางเช่นกัน และรุ่นที่โด่งดังเป็นที่นิยมของชาวพม่าและชาวกระเหรี่ยงคือ "รุ่นสองนคร" หากเป็นของจริงราคาเช่นอยู่ที่หลักแสนบาท หากเป็นของเทียมก็หลักหมื่นบาทแล้ว โดย"รุ่นสองนคร" สร้างที่วัดนางพญา จ.นครราชสีมา
กระแสจตุคามฟีเวอร์ในกลุ่มคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธก็คงจะไม่วิพากษ์วิจารณ์ แต่ปัจจุบันนี้ได้ครอบคุ้มไปถึงพระสงฆ์ ที่ทำหน้าที่ปลุกเสก โดยอ้างว่าเพื่อหารายได้ในการสร้างวัด(เมื่อใดจะสร้างคนบ้าง) หวังดึงคนเข้าวัดอีกทาง แต่วิธีเช่นนี้ถูกต้องตามพุทธวิธีหรือไม่
หากมองย้อนไปสมัยพุทธกาลแล้ว พระองค์ตรัสเกี่ยวกับเรื่องปาฏิหาริย์ไว้อย่างไร เรื่องนี้พระพุทธทาสภิกขุ ได้เขียนไว้ในหนังสือพุทธประวัติสำหรับนักศึกษา ตอนที่ 16 เรื่องปาฏิหาริย์โดยมีความสรุปว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจาริกไปตามชนบทต่าง ๆ พร้อมกับพระภิกษุสงฆ์ เพื่อสั่งสอนเวเนยยสัตว์ก็มีคนจำนวนมากเลื่อมใสยอมเป็นสาวกเป็นจำนวนมาก
แต่พร้อมกันนั้นก็ยังมีศาสดาศาสนาอื่นได้แสดงสิ่งซึ่งประหลาดผิดธรรมดา อันเรียกว่า "ปาฏิหาริย์" ได้ทำให้มหาชนแตกตื่นกัน และมีคนจำนวนมากได้เลื่อมใสและออกปากสรรเสริญการกระทำเช่นนั้น จนกระทั้งกลายเป็นสาวกของเจ้าลัทธิ ศาสดานั้น ๆ ก็มีอยู่จำนวนมาก
พระภิกษุทั้งหลายก็ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลของร้องให้พระองค์ทรงกระทำเช่นนั้นบ้าง เพื่อประชาชนจักได้เลื่อมใสพอใจและเข้ามาเป็นสาวกมาก ๆ
พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า "พระองค์ทรงรู้สึกละอายในการที่จะล่อประชาชนให้มีความเชื่อถือ ด้วยการกระทำที่แปลกประหลาดหรือปาฏิหาริย์ทำนองนั้น แต่พระองค์ทรงสามารถทำให้คนเกิดความประหลาดถึงขนาดรู้สึกมหัศจรรย์ให้ปาฏิหาริย์ที่แท้จริงอย่างอื่น
พระองค์ได้ตรัวแต่ภิกษุเหล่านั้นว่า "ตถาคตเจ้าทั้งหลายย่อมกระทำปาฏิหาริย์ แต่อย่างเดียวเท่านั้นคือ เมื่อพระตถาคตทั้งหลายเห็นมนุษย์ประกอบด้วย กาม กิเลสและตัณหา ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นออกมาเสียจาก กาม กิเลสและตัณหา
เมื่อทรงเห็นว่ามหาชนทั้งหลายตกเป็นทาสของโทษะและการผูกเวร ก็ทรงเปลื้องประชาชนเหล่านั้นเสียจากการตกเป็นทาสของโทษะและการผูกเวร เมื่อทรงทราบว่าประชาชนบอดเพราะความเขลาและอวิชชา ก็ทรงเปิดตามของคนเหล่านั้น ช่วยให้เขาพ้นจากความเขลาและอวิชชา ซึ่งเป็นความบอดมืด ยิ่งเสีวกว่าความมืดแห่งราตรี
ภิกษุทั้งหลาย ปาฏิหาริย์อย่างเดียวดังกล่าวนี้เท่านั้น ที่พระตถาคตทั้งหลายพากันทำ ส่วนปาฏิหาริย์อย่างอื่น ๆ นั้น ท่านเกลียดชังและประณาม ไม่ยอมกระทำปาฏิหาริย์เหล่านั้น
ต่อมาพระปิณโฆลภารทวาชะแสดงปาฏิหาริย์ด้วยการเหาะขึ้นไปที่สูงปลดเอาบาตร พระองค์ทรงทราบ จึงรับสั่งให้ทำหลายบาตรใบนั้นและทรงห้ามมิให้ทำเช่นนั้นอีก พร้อมทั้งทรงบัญญัติว่า ภิกษุทั้งหลายต้องไม่ทำการล่อลวงคนเขลาทั่วๆไปให้นับถือบูชา ด้วยการกระทำปาฏิหาริย์ชนิดนั้น ถ้าขืนทำจักต้องไม่อยู่ร่วมกับพระองค์หรือภิกษุสงฆ์ทั้งหลายอีกต่อไป
ข้อบังคับอันนี้ได้ม่อยู่สืบมาเป็นวินัยข้อสำคัญข้อหนึ่งของพระภิกษุในพระพุทธศาสนา (ถ้าพระภิกษุอวดว่าแสดงปาฏิหาริย์ได้ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้ จะต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระภิกษุ ในข้ออุตตริมนุษยธรรมไม่มีในตน) ห้ามไม่ให้ภิกษุใดแสดงปาฏิหาริย์เพื่อให้คนเลื่อมใส เพื่อลาภสักการะอย่างใดอย่างหนึ่งโดยเด็ดขาด
ดังนั้นมหาเนชั่นจึงไม่พระที่ทำหน้าที่ปลุกเสกทั้งหลายนั้นจะได้คำนึงคำสอนนี้หรือไม่ จะรู้สึกละอายอย่างที่พระองค์ละอายหรือไม่ หากมีการโอ้อวดแล้วก็เชื่อแน่ว่าไม่ใช่พระอีกต่อไปแล้ว เป็นคนที่หลอกลวงคนเขลาอย่างที่พระองค์ตรัส
วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤษภาคม 2550
ห่วงยุคจตุคามฯ เฟื่องทำลายแก่นแท้พุทธศาสนา
วงเสวนา “สำรวจความสุข ยุคจตุคามรามเทพ” ห่วงคนไทยยิ่งไกลธรรมะ ยึดถือเทพ-เทวดา ไม่เข้าใจแก่นธรรมและลืมพระพุทธเจ้าและหลักธรรมถือเป็นปัญหาพุทธศาสนา เรียกร้องรัฐเร่งแก้ปัญหา ชี้หากสำรวจความสุขไม่ยั่งยืนตอนนี้คนนครฯ สุขที่สุด เพราะกำไรดีจากจตุคามฯ แนะชาวพุทธยึดหลักกาลามสูตรอย่าตกเป็นเหยื่อการตลาด
ศูนย์สร้างสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “สำรวจความสุข ยุคจตุคามรามเทพ” โดยมีพระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร จากสำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร และ นพ.บัญชา พงษ์พานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้เคยสนทนากับ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช บุคคลคนแรกที่มีส่วนในการสร้างจตุคามรามเทพ ให้เป็นที่รู้จักพระอาจารย์ดุษฎี กล่าวว่า ในอดีตการสร้างพระเครื่องของคนไทยจะสร้างเป็นรูปพระพุทธรูป จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นพระเครื่อง 2 หน้าด้านหนึ่งเป็นพระพุทธรูป อีกด้านเป็นพระเกจิที่สร้างพระเครื่องดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไป เหลือมานับถือพระเกจิเพียงรูปเดียว จนปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจตุคามฯ ด้านหนึ่ง พระเกจิด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการนับถือบูชาของคนไทยได้ร่นจากการนับถือครูบาอาจารย์มาเป็นคนใกล้ตัว จนปัจจุบันมีการหันไปนับถือเทพ เทวดา ทั้งที่พระพุทธเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งเทวดา จึงไม่ควรอยู่เหนือพระพุทธเจ้า เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลแต่ทางลบให้กับผู้ศรัทธา ซึ่งข้อมูลที่พบขณะนี้ผู้ที่ห้อยจตุคามฯ องค์ใหญ่ๆ หลายองค์ เริ่มมีอาการปวดคอเพราะกล้ามเนื้ออักเสบทำให้เป็นคนที่ห้อยจตุคามฯ หงุดหงิดง่ายจากอาการที่เกิดขึ้น“การที่จตุคามฯ โด่งดังเพราะมีการลงภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์มากและการที่ไม่ใช่พระพุทธรูปจึงมีท่าทางต่างๆ และทำการตลาดได้มากกว่า กลายเป็นกระแสเกิดขึ้น ซึ่งอาตมาเชื่อว่าในสิ้นปีนี้จตุคามฯ จะล้นตลาด” พระอาจารย์ดุษฎี กล่าวและว่า การสร้างจตุคามฯ ขณะนี้พบว่ามีพระเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่จริงแล้วพระสงฆ์บางท่านไม่ได้นับถือจตุคามฯ แต่ก็สร้างจตุคามฯ เพราะเป็นทางระดมทุนเข้าวัดได้ พระถูกหลอกด้วยเงินทำให้กลายเป็นผู้ชี้นำเอาธรรมะเข้าแลกกับเงิน เพื่อให้ได้เงินเข้าวัดสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นปัญหาของพุทธศาสนาแล้วพระสงฆ์ไม่สามารถคุ้มครองพุทธศาสนาได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและบ้านเมืองเข้ามาดูแลปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นพระอาจารย์ดุษฎี กล่าวอีกว่า การสะสมจตุคามฯ ถือเป็นความสุขแต่ไม่หลุดพ้น จึงอยากฝากให้นับถืออย่างมีธรรมะ มีศีล ปัญญา เหตุผล และต้องปฏิบัติด้วยด้าน นพ.บัญชา กล่าวว่า ยุคจตุคามฯ เฟื่อง คนที่มีความสุขที่สุดตอนนี้คือชาวนครฯ ทุกคนมีความสุข อิ่มเอิบ โดยบอกว่า หลวงพ่อมาช่วยแล้วน้อมนำไปสู่การนับถือศรัทธา เพราะพบว่า การสร้างจตุคามฯ ตอนนี้กำไรดีมากทุกร้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชขายจตุคามฯ ทุกวันนี้ที่วัดพระธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการจองเพื่อจัดทำจตุคามฯ ไปถึงสิ้นปีแล้ว เพื่อเร่งผลิตก่อนที่จะตกกระแส จตุคามฯ รุ่นแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับผู้ที่สมทบทุนสร้างศาลหลักเมือง แต่ปัจจุบัน การสร้างจตุคามฯ เป็นการสร้างเพื่อจำหน่ายไปทั่ว และเนื่องจากไม่ใช่พระพุทธรูปทำให้เปิดกว้างให้สามารถสร้างสรรค์จตุคามฯ ได้หลากหลายรูปแบบ“จตุคามฯ เกิดมาจากการเข้าทรง ซึ่งขุนพันธ์ฯ เป็นผู้กล่าวขึ้น ขณะนี้คนนครฯ หลายฝ่ายก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรให้กระแสจตุคามฯ เป็นกระแสที่ยั่งยืนกำลังคิดกันมากทำอย่างไรให้จตุคามฯ ดึงเข้าสู่ธรรมะและถือเป็นการดึงคนเข้าวัดและหันมานึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย” นพ.บัญชา กล่าวและว่า ผลกระทบของความนิยมจตุคามฯ ที่ไม่ได้ปลูกฝังธรรมะที่ถูกต้องจะทำให้เยาวชนปัจจุบันอาจเข้าใจผิดและมีผลต่อสุขภาวะหรือความสุขที่แท้จริงของคนไทยในอนาคต จึงอยากให้คนไทยยึดหลักกาลามสูตรของพุทธศาสนาเข้ามาช่วยอย่าตกเป็นเหยื่อของการตลาด
ที่มา - http://www.komchadluek.net/2007/05/11/e001_115363.php?news_id=115363
วันศุกร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2550
ศูนย์สร้างสุข สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดเสวนา “สำรวจความสุข ยุคจตุคามรามเทพ” โดยมีพระอาจารย์ดุษฎี เมธังกุโร จากสำนักสงฆ์ทุ่งไผ่ จังหวัดชุมพร และ นพ.บัญชา พงษ์พานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้เคยสนทนากับ พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ราชเดช บุคคลคนแรกที่มีส่วนในการสร้างจตุคามรามเทพ ให้เป็นที่รู้จักพระอาจารย์ดุษฎี กล่าวว่า ในอดีตการสร้างพระเครื่องของคนไทยจะสร้างเป็นรูปพระพุทธรูป จากนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเป็นพระเครื่อง 2 หน้าด้านหนึ่งเป็นพระพุทธรูป อีกด้านเป็นพระเกจิที่สร้างพระเครื่องดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไป เหลือมานับถือพระเกจิเพียงรูปเดียว จนปัจจุบันเปลี่ยนเป็นจตุคามฯ ด้านหนึ่ง พระเกจิด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าการนับถือบูชาของคนไทยได้ร่นจากการนับถือครูบาอาจารย์มาเป็นคนใกล้ตัว จนปัจจุบันมีการหันไปนับถือเทพ เทวดา ทั้งที่พระพุทธเจ้าอยู่เหนือทุกสิ่งเทวดา จึงไม่ควรอยู่เหนือพระพุทธเจ้า เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะส่งผลแต่ทางลบให้กับผู้ศรัทธา ซึ่งข้อมูลที่พบขณะนี้ผู้ที่ห้อยจตุคามฯ องค์ใหญ่ๆ หลายองค์ เริ่มมีอาการปวดคอเพราะกล้ามเนื้ออักเสบทำให้เป็นคนที่ห้อยจตุคามฯ หงุดหงิดง่ายจากอาการที่เกิดขึ้น“การที่จตุคามฯ โด่งดังเพราะมีการลงภาพบนหน้าหนังสือพิมพ์มากและการที่ไม่ใช่พระพุทธรูปจึงมีท่าทางต่างๆ และทำการตลาดได้มากกว่า กลายเป็นกระแสเกิดขึ้น ซึ่งอาตมาเชื่อว่าในสิ้นปีนี้จตุคามฯ จะล้นตลาด” พระอาจารย์ดุษฎี กล่าวและว่า การสร้างจตุคามฯ ขณะนี้พบว่ามีพระเข้ามาเกี่ยวข้อง ทั้งที่จริงแล้วพระสงฆ์บางท่านไม่ได้นับถือจตุคามฯ แต่ก็สร้างจตุคามฯ เพราะเป็นทางระดมทุนเข้าวัดได้ พระถูกหลอกด้วยเงินทำให้กลายเป็นผู้ชี้นำเอาธรรมะเข้าแลกกับเงิน เพื่อให้ได้เงินเข้าวัดสถานการณ์เช่นนี้ถือเป็นปัญหาของพุทธศาสนาแล้วพระสงฆ์ไม่สามารถคุ้มครองพุทธศาสนาได้ จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลและบ้านเมืองเข้ามาดูแลปัญหาที่กำลังจะเกิดขึ้นพระอาจารย์ดุษฎี กล่าวอีกว่า การสะสมจตุคามฯ ถือเป็นความสุขแต่ไม่หลุดพ้น จึงอยากฝากให้นับถืออย่างมีธรรมะ มีศีล ปัญญา เหตุผล และต้องปฏิบัติด้วยด้าน นพ.บัญชา กล่าวว่า ยุคจตุคามฯ เฟื่อง คนที่มีความสุขที่สุดตอนนี้คือชาวนครฯ ทุกคนมีความสุข อิ่มเอิบ โดยบอกว่า หลวงพ่อมาช่วยแล้วน้อมนำไปสู่การนับถือศรัทธา เพราะพบว่า การสร้างจตุคามฯ ตอนนี้กำไรดีมากทุกร้านในจังหวัดนครศรีธรรมราชขายจตุคามฯ ทุกวันนี้ที่วัดพระธาตุจังหวัดนครศรีธรรมราช มีการจองเพื่อจัดทำจตุคามฯ ไปถึงสิ้นปีแล้ว เพื่อเร่งผลิตก่อนที่จะตกกระแส จตุคามฯ รุ่นแรกสร้างขึ้นเพื่อเป็นของที่ระลึกสำหรับผู้ที่สมทบทุนสร้างศาลหลักเมือง แต่ปัจจุบัน การสร้างจตุคามฯ เป็นการสร้างเพื่อจำหน่ายไปทั่ว และเนื่องจากไม่ใช่พระพุทธรูปทำให้เปิดกว้างให้สามารถสร้างสรรค์จตุคามฯ ได้หลากหลายรูปแบบ“จตุคามฯ เกิดมาจากการเข้าทรง ซึ่งขุนพันธ์ฯ เป็นผู้กล่าวขึ้น ขณะนี้คนนครฯ หลายฝ่ายก็เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรให้กระแสจตุคามฯ เป็นกระแสที่ยั่งยืนกำลังคิดกันมากทำอย่างไรให้จตุคามฯ ดึงเข้าสู่ธรรมะและถือเป็นการดึงคนเข้าวัดและหันมานึกถึงพระพุทธเจ้าด้วย” นพ.บัญชา กล่าวและว่า ผลกระทบของความนิยมจตุคามฯ ที่ไม่ได้ปลูกฝังธรรมะที่ถูกต้องจะทำให้เยาวชนปัจจุบันอาจเข้าใจผิดและมีผลต่อสุขภาวะหรือความสุขที่แท้จริงของคนไทยในอนาคต จึงอยากให้คนไทยยึดหลักกาลามสูตรของพุทธศาสนาเข้ามาช่วยอย่าตกเป็นเหยื่อของการตลาด
ที่มา - http://www.komchadluek.net/2007/05/11/e001_115363.php?news_id=115363
วันศุกร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2550
จตุคามจับมืออะดัม สมิท-อาริสโตเติ้ลถล่มสังคมไทย
หลังจากได้เขียนเรื่อง "ความเชื่อจากจตุคามถึงตำนานแร็กน่าร็อก" แล้ว ก็ได้อ่านหนังสือพิมพ์ไปเรื่อย ๆ และได้เห็นคอลัมน์ บ้านเขาเมืองเรา เรื่อง "จตุคาม อะดัม สมิทและอาริสโตเติ้ล" ทางหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ที่เขียนโดย ดร.ไสว บุญมา นักคอลัมนิสต์ประจำ เกิดความสนใจว่า นี้จตุคามลามไปถึง "อะดัม สมิทและอาริสโตเติ้ล" แล้วหรือ เฉพาะตำนาน "แร็กน่าร็อก" ก็ว่าโบราณแล้วนะ พอพูดถึง "อาริสโตเติ้ล" แล้วยิ่งโบราณกว่า
เมื่ออ่านในเนื้อหาแล้วทำให้ทราบว่า แทนที่ ดร.ไสว จะได้สะท้อนให้เห็นถึงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ความทรงอานุภาพขององค์จตุคาม แต่ ดร.ไสว ได้สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมหนึ่งชีวิตของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มีอายุยืนถึง 108 ปีและมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้เป็นต้นกำเนิดของ "จตุคามฟีเวอร์" ในแง่มุมของ การปฏิบัติตัวของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและไสยศาสตร์ ถือศีลและสวดมนต์ภาวนา
นั้นแสดงให้เห็นว่า "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ได้มีความรู้ทั้งไสยศาสตร์ สมุนไพรไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์เป็นอย่างดี ที่คนส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" เท่านั้น
ดร.ไสว ได้บอกถึงเหตุ "จตุคามฟีเวอร์" พร้อมกับระบุว่า วัตถุมงคลจะช่วยพวกคนตกงานได้หรือไม่ผมไม่แน่ใจนัก แต่ที่ผมแน่ใจก็คือหากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของระบบเศรษฐกิจและการเมือง ความสับสนวุ่นวายจะไม่มีทางยุติและกลียุคจะคืบคลานเข้ามาตามที่ศาสตราจารย์ประเวศ วสี ทำนายไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
ดร.ไสว ได้เตือนสติว่า ปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจได้ยังยึดแนวตลาดเสรีของ "อะดัม สมิท" แสวงหาความร่ำรวยและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน และการเมืองยึดระบอบประชาธิปไตย ที่วิวัฒน์มากว่าสองพันปีจากแนวคิดของ "อาริสโตเติ้ล" แสวงหาความร่ำรวยและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การจะใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก้ แต่คนไทยส่วนใหญ่และรัฐบาลไทยไม่เคยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติอย่างจริงจัง ความขลังจึงยังไม่ปรากฏ
ดร.ไสว ได้สรุปตอนท้ายว่า "ตามนิยามของความขลังที่ผมให้ไว้ คนไทยจะไม่มีวันได้รับผลของความขลังอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นจากเหรียญจตุคามรามเทพ ตลาดเสรี หรือประชาธิปไตย ทั้งนี้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆ ในขณะนี้ การไม่ทำตามกฎเกณฑ์มีผลร้ายถึงกำลังจะผลักดันเมืองไทยให้เดินเข้าสู่กลียุคตามคำทำนายของศาสตราจารย์ประเวศ วะสี แม้จะมีการสร้างเหรียญจตุคามรามเทพเพิ่มขึ้นเกือบทุกวัน แต่เหรียญนั้นก็จะไม่ปกป้องเมืองไทยให้พ้นกลียุค"
การที่จะทำให้เมืองไทยให้พ้นกลียุค พ้นวิกฤติในยุคจตุคามฟีเวอร์ได้แล้ว คนไทยต้องรู้จักใช้ไสยศาสตร์ให้เกิดประโยชน์อย่างมีสติ พร้อมกับมีสมุนไพรไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์เป็นตัวกำกับ อย่างเช่น "ขุนพันธรักษ์ราชเดช"
มหาเนชั่นรายงาน
หมายเหตุอ่านเรื่องเกี่ยวข้อง -
1. พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)แจก"คติจตุคาม"วันวิสาขะ
2.ความเชื่อจากจตุคามถึงตำนานแร็กน่าร็อก
3.คมช.-รัฐบาลอย่าวางใจจตุคามฟรีเวอร์
4.จตุคามรามเทพฟรีเวอร์-ปลอมสะท้อนศรัทธาชาวพุทธ
5.ห่วงยุคจตุคามฯ เฟื่องทำลายแก่นแท้พุทธศาสนา
วันศุกร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2550
เมื่ออ่านในเนื้อหาแล้วทำให้ทราบว่า แทนที่ ดร.ไสว จะได้สะท้อนให้เห็นถึงความขลัง ความศักดิ์สิทธิ์ ความทรงอานุภาพขององค์จตุคาม แต่ ดร.ไสว ได้สะท้อนให้เห็นถึงแง่มุมหนึ่งชีวิตของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" มีอายุยืนถึง 108 ปีและมีชื่อเสียงโด่งดัง ผู้เป็นต้นกำเนิดของ "จตุคามฟีเวอร์" ในแง่มุมของ การปฏิบัติตัวของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ที่มีความรู้เรื่องสมุนไพรและไสยศาสตร์ ถือศีลและสวดมนต์ภาวนา
นั้นแสดงให้เห็นว่า "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" ได้มีความรู้ทั้งไสยศาสตร์ สมุนไพรไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์เป็นอย่างดี ที่คนส่วนใหญ่สนใจแต่เรื่องไสยศาสตร์ของ "ขุนพันธรักษ์ราชเดช" เท่านั้น
ดร.ไสว ได้บอกถึงเหตุ "จตุคามฟีเวอร์" พร้อมกับระบุว่า วัตถุมงคลจะช่วยพวกคนตกงานได้หรือไม่ผมไม่แน่ใจนัก แต่ที่ผมแน่ใจก็คือหากคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของระบบเศรษฐกิจและการเมือง ความสับสนวุ่นวายจะไม่มีทางยุติและกลียุคจะคืบคลานเข้ามาตามที่ศาสตราจารย์ประเวศ วสี ทำนายไว้เมื่อเดือนที่แล้ว
ดร.ไสว ได้เตือนสติว่า ปัจจุบันนี้ เศรษฐกิจได้ยังยึดแนวตลาดเสรีของ "อะดัม สมิท" แสวงหาความร่ำรวยและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน และการเมืองยึดระบอบประชาธิปไตย ที่วิวัฒน์มากว่าสองพันปีจากแนวคิดของ "อาริสโตเติ้ล" แสวงหาความร่ำรวยและการบริโภคเป็นหัวจักรสำคัญในการขับเคลื่อน การจะใช้แนวคิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงแก้ แต่คนไทยส่วนใหญ่และรัฐบาลไทยไม่เคยยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นแนวปฏิบัติอย่างจริงจัง ความขลังจึงยังไม่ปรากฏ
ดร.ไสว ได้สรุปตอนท้ายว่า "ตามนิยามของความขลังที่ผมให้ไว้ คนไทยจะไม่มีวันได้รับผลของความขลังอย่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นจากเหรียญจตุคามรามเทพ ตลาดเสรี หรือประชาธิปไตย ทั้งนี้ เพราะคนไทยส่วนใหญ่มักไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของสิ่งต่างๆ ในขณะนี้ การไม่ทำตามกฎเกณฑ์มีผลร้ายถึงกำลังจะผลักดันเมืองไทยให้เดินเข้าสู่กลียุคตามคำทำนายของศาสตราจารย์ประเวศ วะสี แม้จะมีการสร้างเหรียญจตุคามรามเทพเพิ่มขึ้นเกือบทุกวัน แต่เหรียญนั้นก็จะไม่ปกป้องเมืองไทยให้พ้นกลียุค"
การที่จะทำให้เมืองไทยให้พ้นกลียุค พ้นวิกฤติในยุคจตุคามฟีเวอร์ได้แล้ว คนไทยต้องรู้จักใช้ไสยศาสตร์ให้เกิดประโยชน์อย่างมีสติ พร้อมกับมีสมุนไพรไสยศาสตร์ และพุทธศาสตร์เป็นตัวกำกับ อย่างเช่น "ขุนพันธรักษ์ราชเดช"
มหาเนชั่นรายงาน
หมายเหตุอ่านเรื่องเกี่ยวข้อง -
1. พระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตโต)แจก"คติจตุคาม"วันวิสาขะ
2.ความเชื่อจากจตุคามถึงตำนานแร็กน่าร็อก
3.คมช.-รัฐบาลอย่าวางใจจตุคามฟรีเวอร์
4.จตุคามรามเทพฟรีเวอร์-ปลอมสะท้อนศรัทธาชาวพุทธ
5.ห่วงยุคจตุคามฯ เฟื่องทำลายแก่นแท้พุทธศาสนา
วันศุกร์ ที่ 11 พฤษภาคม 2550
ความเชื่อจากจตุคามถึงตำนานแร็กน่าร็อก
เรื่องจตุคามนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่าที่ "ฟีเวอร์" ทุกวันนี้ นอกจากการประโคมข่าวของสื่อแล้ว สิ่งหนึ่งก็เพราะเกิดจากความเชื่อว่าจะเป็นจริงตามที่ "โปรโมท" นั้น ส่วนเกม "แร็กน่าร็อก" นั้น หลายคนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้อาจจะไม่รู้มาก่อนว่า เกมนี้เกิดจากตำนานความเชื่อได้อย่างไร
ต้องยอมรับกันว่า "จตุคามฟีเวอร์" แพร่กระจายไปตามสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทจริง ๆ แม้นแต่หนังสือ Health Plus ฉบับวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ไม่วายที่จะมีบทความเกี่ยวเนื่องกับ "จตุคาม"
หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง "จตุคาม" ในบทความที่ว่า "ความเชื่อ Believe it or not ?" เขียนโดย "สัมพันธ์ สอนเกิด" ได้กล่าวถึงที่มาของความเชื่อ โดยระบุว่า มนุษย์มีความเชื่อมาก่อนจะมีศาสนาเกิดขึ้น
ต่อจากนั้นผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงวัตถุที่เป็นบ่อเกิดของความเชื่อ หรือเชื่อให้วัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมเช่น พระสมเด็จ หลวงปู่ทวด จนกระทั้งมาถึง "จตุคามฟีเวอร์" ซึ่งได้กล่าวถึงที่มาถึงประวัติจตุคามว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้เกิด "ฟีเวอร์" จนกระทั้งมีการจองและเหยียบกันตาย และมีการก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ตามมา
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อในท้องถิ่นไทย อย่างเช่น โจ/กะโจ/กาโจ เป็นความเชื่อของชาวภาคใต้ เช่น ชุมพร การส่งกระแบะกระบาล เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง ประเพณีทำบุญกลางบ้าน เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง เช่น ชลบุรี ศาลปู่ตาหรือศาลตาปู่ เป็นความเชื่อของชาวอีสาน สิ่งมงคลในบ้าน เช่นต้นไม้ที่ปลูก การเลี้ยงแมว
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อนานาชาติ เช่น "ทานูกิ" เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นปีศาจ "มัมมี่" ชาวอียิปต์โบรานมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังการตายว่าดวงวิญญาณจะกลับเข้าร่าวอีกครั้ง
และความเชื่อในตำนาน "แร็กน่าร็อก" นี้ซิน่าสนใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเนื่องจากไม่ใช่คนชอบเล่นเกม
ผู้เขียนได้กล่าวว่า "แร็กน่าร็อก" เป็นเกมออนไลน์ที่เคยเป็นประเด็นทางสังคมอยู่พักใหญ่ เป็นหนึ่งในตำนานชาวเหนือ ที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายของเทพต่าง ๆ โดยแบ่งฝ่ายต่อสู้กันจนตายเกือบทั้งหมดทั้งสามโลก และอาศัยเรื่องราวอันวุ่นวายเหล่านี้ เป็นต้นเรื่องที่ศิลปินชาว "ญี่ปุ่น" เขียนเป็นการ์ตูน ส่งผลให้คนอ่านติดงอมแงม ต่อมาชาว "เกาหลี" ได้นำไปสร้างเป็นเกม จนกระทั้งสามารถออนไลน์กันได้ทางอินเตอร์เน็ตจนฮิตไปทั่วโลก
ชาวเหนือเชื่อกันว่าจักรวาลแบ่งออกเป็นเก้าโลก เป็นของชาวสวรรค์กับพวกเอลฟ์ตัวขาว สามโลก ของมนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ตัวดำ และยักษ์น้ำแข็งอีกสี่โลก และใต้พิภพอีกสองโลก แต่ความไม่ลงรอยกันในระหว่างเผ่าพันธุ์เปราะบางเต็มไปด้วยความเกลียดชังระหว่างกัน นานวันความกระหายสงคราม (ไม่มีวันจางหาย) ก็ปะทุขึ้น จนถึงช่วง "แร็กน่าร็อก" ความเดือดดาล ความโลภ และความเกลียดชัง พลังทำลายล้างได้ระเบิดเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานของชาวเหนือ
สงครามที่ชาวไวกิ้งรบแต่ละครั้ง มักน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ในความทรงจำของผู้คนยากลืมเลือน กระทั้งมีการบันทึกไว้ในหลายสถานที่ แต่ในมุมมองของชาวไวกิ้งแล้ว ไม่มีสงครามครั้งใดจะรุ่นแรงได้เท่า "แร็กน่าร็อก"
ผู้เขียนได้สรุปตอนท้ายว่า ก่อนก้าวออกจากถ้ำ มนุษย์โบราณมีความเชื่อบางอย่างอยู่ในหัว และขอทายว่าเขาต้องเชื่อว่าตัวเองอยู่ได้และต้องรอด เขาเชื่อและพิสูจน์แล้ว่าเป็นจริง
ก่อนก้าวออกจากบ้าน มนุษย์ปัจจุบันมีความเชื่อบางอยู่ในหัว และขอภาวนาว่า เขาคงไม่เชื่อแบบนั้น และไม่ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าเขาเชื่อและอยากพิสูจน์ "แร็กน่าร็อก" ครั้งใหม่เริ่มต้นแน่นอน
คงไม่ต้องตีความว่า ผู้เขียนหมายถึงอะไร เพราะเท่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ก็น่ากลัวพอแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของไทย
ต้องยอมรับกันว่า "จตุคามฟีเวอร์" แพร่กระจายไปตามสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทจริง ๆ แม้นแต่หนังสือ Health Plus ฉบับวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ไม่วายที่จะมีบทความเกี่ยวเนื่องกับ "จตุคาม"
หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง "จตุคาม" ในบทความที่ว่า "ความเชื่อ Believe it or not ?" เขียนโดย "สัมพันธ์ สอนเกิด" ได้กล่าวถึงที่มาของความเชื่อ โดยระบุว่า มนุษย์มีความเชื่อมาก่อนจะมีศาสนาเกิดขึ้น
ต่อจากนั้นผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงวัตถุที่เป็นบ่อเกิดของความเชื่อ หรือเชื่อให้วัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมเช่น พระสมเด็จ หลวงปู่ทวด จนกระทั้งมาถึง "จตุคามฟีเวอร์" ซึ่งได้กล่าวถึงที่มาถึงประวัติจตุคามว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้เกิด "ฟีเวอร์" จนกระทั้งมีการจองและเหยียบกันตาย และมีการก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ตามมา
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อในท้องถิ่นไทย อย่างเช่น โจ/กะโจ/กาโจ เป็นความเชื่อของชาวภาคใต้ เช่น ชุมพร การส่งกระแบะกระบาล เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง ประเพณีทำบุญกลางบ้าน เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง เช่น ชลบุรี ศาลปู่ตาหรือศาลตาปู่ เป็นความเชื่อของชาวอีสาน สิ่งมงคลในบ้าน เช่นต้นไม้ที่ปลูก การเลี้ยงแมว
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อนานาชาติ เช่น "ทานูกิ" เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นปีศาจ "มัมมี่" ชาวอียิปต์โบรานมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังการตายว่าดวงวิญญาณจะกลับเข้าร่าวอีกครั้ง
และความเชื่อในตำนาน "แร็กน่าร็อก" นี้ซิน่าสนใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเนื่องจากไม่ใช่คนชอบเล่นเกม
ผู้เขียนได้กล่าวว่า "แร็กน่าร็อก" เป็นเกมออนไลน์ที่เคยเป็นประเด็นทางสังคมอยู่พักใหญ่ เป็นหนึ่งในตำนานชาวเหนือ ที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายของเทพต่าง ๆ โดยแบ่งฝ่ายต่อสู้กันจนตายเกือบทั้งหมดทั้งสามโลก และอาศัยเรื่องราวอันวุ่นวายเหล่านี้ เป็นต้นเรื่องที่ศิลปินชาว "ญี่ปุ่น" เขียนเป็นการ์ตูน ส่งผลให้คนอ่านติดงอมแงม ต่อมาชาว "เกาหลี" ได้นำไปสร้างเป็นเกม จนกระทั้งสามารถออนไลน์กันได้ทางอินเตอร์เน็ตจนฮิตไปทั่วโลก
ชาวเหนือเชื่อกันว่าจักรวาลแบ่งออกเป็นเก้าโลก เป็นของชาวสวรรค์กับพวกเอลฟ์ตัวขาว สามโลก ของมนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ตัวดำ และยักษ์น้ำแข็งอีกสี่โลก และใต้พิภพอีกสองโลก แต่ความไม่ลงรอยกันในระหว่างเผ่าพันธุ์เปราะบางเต็มไปด้วยความเกลียดชังระหว่างกัน นานวันความกระหายสงคราม (ไม่มีวันจางหาย) ก็ปะทุขึ้น จนถึงช่วง "แร็กน่าร็อก" ความเดือดดาล ความโลภ และความเกลียดชัง พลังทำลายล้างได้ระเบิดเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานของชาวเหนือ
สงครามที่ชาวไวกิ้งรบแต่ละครั้ง มักน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ในความทรงจำของผู้คนยากลืมเลือน กระทั้งมีการบันทึกไว้ในหลายสถานที่ แต่ในมุมมองของชาวไวกิ้งแล้ว ไม่มีสงครามครั้งใดจะรุ่นแรงได้เท่า "แร็กน่าร็อก"
ผู้เขียนได้สรุปตอนท้ายว่า ก่อนก้าวออกจากถ้ำ มนุษย์โบราณมีความเชื่อบางอย่างอยู่ในหัว และขอทายว่าเขาต้องเชื่อว่าตัวเองอยู่ได้และต้องรอด เขาเชื่อและพิสูจน์แล้ว่าเป็นจริง
ก่อนก้าวออกจากบ้าน มนุษย์ปัจจุบันมีความเชื่อบางอยู่ในหัว และขอภาวนาว่า เขาคงไม่เชื่อแบบนั้น และไม่ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าเขาเชื่อและอยากพิสูจน์ "แร็กน่าร็อก" ครั้งใหม่เริ่มต้นแน่นอน
คงไม่ต้องตีความว่า ผู้เขียนหมายถึงอะไร เพราะเท่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ก็น่ากลัวพอแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของไทย
คมช.-รัฐบาลอย่าวางใจจตุคามฟรีเวอร์
ทุกวันนี้กระแสจตุคามฟรีเวอร์ได้แผ่อิทธิพลไปทุกภาคส่วนของสังคมไทย ดูอย่างการสอบเข้า ม.1 เด็กก็ยังพึ่งบารมีของจตุคามรามเทพ คงปฏิเสธไม่ได้ว่าส่วนหนึ่งคงเกิดจากการโหมประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อสิ่งพิมพ์ แม้นกระทั้งหนังสือการ์ตูนก็ยังมีเรื่องจตุคามแล้ว
(รุ่นแรกปี30พิมพ์ใหญ่เนื้อไม้น้ำมันเสือของสามารถ นุชอ่อง หน้าพระเครื่อง 6 พ.ค. http://www.komchadluek.net )
ไม่ต้องพูดถึงสื่อหนังสือพิมพ์ทุกประเภท แถบทุกวันจะต้องมีข่าวและบทความเกี่ยวกับจตุคาม ในจำนวนนั้นต้องยกให้หนังสือพิมพ์ข่าวสด เกือบทุกหน้าจะต้องมีโฆษณาการทำจตุคาม ข่าวทั้งหน้า 1 และหน้าพระเครื่องจะต้องมีจตุคามประกอบ และภายใน 1 สัปดาห์จะมีฉบับพิเศษอีกต่างหาก ขณะที่หนังสือพิมพ์หัวสีหน้าพระเครื่องทุกสัปดาห์จะกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของจตุคามแถบทั้งนั้น
(รุ่นสมทบทุน"เพชรสมุย" หน้าพระเครื่อง 6 พ.ค. http://www.komchadluek.net )
แม้นแต่หนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจอย่างฐานเศรษฐกิจและประชาชาติธุรกิจก็ยังมีบทความเกี่ยวกับจตุคามอย่างเช่น ฐานเศรษฐกิจฉบับวันที่ 26-28 เม.ย.ที่ผ่านมาจะมีบทความถึง 2 แห่งคือ คอลัมน์ซาซือเจ๊ ระบุหัวเรื่องว่า "ที่ไหน ๆ ก็มีจตุคาม ด้านในหน้า 39 ก็มีรายงานเรื่อง"จตุคามรามเทพลามเน็ต กว่า3แสนเว็บไซต์แห่ซื้อ-ขาย" ได้เกี่ยวถึงเว็บไซต์ที่เกียวข้อกับจตุคามที่ติดอันดับมีมากว่า 10 เว็บ และมีเว็บที่เกี่ยวเนื่องอีกกว่า 3 แสนเว็บ
ส่วนวารสารรายสัปดาน์แนวทางเมืองอย่างมติชันและเนชั่นสุดสัปดาห์ก็แข่งกันนำเสนอเรื่องจตุคามมาหลายสัปดาห์แล้ว อย่างเช่นสัปดาห์นี้ทั้งมติชนและเนชั่นได้ขึ้นรูปเหรียญจตุคามทั้งสองฉบับไม่ต้องพูดถึงเนื้อหาภายในจะมีเรื่องอะไรบ้าง
แม้นว่ากระแสจตุคามฟรีเวอร์ทำให้เงินสะพัดกว่า 20,000 ล้านบาท ตัวเลขทางเศรษฐกิจดูดีขึ้น เพราะเป็นเกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องดูดีขึ้น แต่กระแสจตุคามฟรีเวอร์เป็นตัวสะท้อนความเป็นไปในสังคมไทยเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้เทพเจ้าประชานิยมทรงอำนาจค่อยเสก ค่อยแจก เงินให้กับรากหญ้า รวมถึงค่อยเอื้ออำนวยให้กับผู้ที่ก้มหัวให้ หรือคนที่เป็นพวกเขา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กินดีอยู่ดี โดยไม่ต้องลงแรงอะไรมากก็มีเงินเข้ากระเป๋าไว้จับจ่ายให้สอยอย่างสบาย แทนที่จะแสวงหารายได้ด้วยสติปัญญาหรือพึ่งตัวเอง ก็หวังแต่ให้เทพเจ้าประชานิยมค่อยเสกให้ จนเงินของประเทศแทบให้ไม่เหลือ
เมื่อเทพเจ้าประชานิยมได้หลุดจากอำนาจไปเพราะการยึดอำนาจของ คมช. พวกรากหญ้าที่มีสภาพเป็นลูกนกคอยอ้าปากงับเหยื่อก็ขาดที่พึ่ง พอได้ข่าวจากการโหมโปรโมทผ่านสื่อว่าจตุคามทรงอานุภาพในการเสกให้ทุกคนรวยเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี อภิมหึมามหาเศรษฐี ลูกนกเหล่านี้โผเข้าหาจึงทำให้เกิดกระแสจตุคามฟรีเวอร์ขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เห็นว่าการที่จะแสวงหารายได้จากน้ำแรง ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นลำบาก
หากใครหรือกลุ่มใดเข้ามาทำลายที่พึ่งของเขาก็จะออกมากตอบโต้ เพราะกลัวอานุภาพของจตุคามจะลดอำนาจลงเหมือนกับเทพเจ้าประชานิยมอีก ดังนั้น กระแสจตุคามฟรีเวอร์เป็นตัวสะท้อนให้พลังแห่งประชานิยมนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ยังครอบงำ-ฝักหัวสังคมไทยอยู่ทุกหัวละแหง
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงยังไม่งอกงามในสังคมไทย แม้นว่าจะได้เห็นแววขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารพยายามกระตุ้นให้สังคมไทยในทางรอด พยายามสอดแทรกเข้าไปในบทละครอย่างเช่นเรื่อง "ปู่โสมเข้าทรัพย์" หรือย่างเช่นเรื่องล่าสุดเรื่อง "อภิมหึมามหาเศรษฐี" ทางช่อง 7 สี
แต่นั้นหละระยะเวลาของรัฐบาลชุดนี้เหลือน้อยแล้ว หากเมื่อมีการเลือกตั้งที่องค์ประกอบการเมืองไทยยังเป็นอยู่เหมือนเดิม จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลใหม่จะดึงสังคมไทยออกจากประชานิยม ในที่สุดเดินไปตามกระแสประชานิยมด้วยการยกข้ออ้างตัวเลยทางเศรษฐกิจ ก็หนีไม่พ้นที่จะกระตุ้นให้คนไทยบริโภคแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเช่นที่ผ่าน
กระแสประชานิยมกับจตุคามฟรีเวอร์ จึงเป็นสิ่งคมช.-และรัฐบาลจะมองข้ามไม่ได้ หากไม่ล้างเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไป ในที่สุดสังคมไทยคงจะถูกเขาชี้หน้าว่า "เป็นพวกเอาแต่ได้ ละเมิดลิกขสิทธิ์ของชาวบ้านไม่เคยคิดสิ่งที่เป็นตัวเอง" อยู่ล้ำไป คนไทยก็ตกเป็นทาสทางความคิด คิดเองไม่เป็น
วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม 2550
(รุ่นแรกปี30พิมพ์ใหญ่เนื้อไม้น้ำมันเสือของสามารถ นุชอ่อง หน้าพระเครื่อง 6 พ.ค. http://www.komchadluek.net )
ไม่ต้องพูดถึงสื่อหนังสือพิมพ์ทุกประเภท แถบทุกวันจะต้องมีข่าวและบทความเกี่ยวกับจตุคาม ในจำนวนนั้นต้องยกให้หนังสือพิมพ์ข่าวสด เกือบทุกหน้าจะต้องมีโฆษณาการทำจตุคาม ข่าวทั้งหน้า 1 และหน้าพระเครื่องจะต้องมีจตุคามประกอบ และภายใน 1 สัปดาห์จะมีฉบับพิเศษอีกต่างหาก ขณะที่หนังสือพิมพ์หัวสีหน้าพระเครื่องทุกสัปดาห์จะกล่าวถึงการเคลื่อนไหวของจตุคามแถบทั้งนั้น
(รุ่นสมทบทุน"เพชรสมุย" หน้าพระเครื่อง 6 พ.ค. http://www.komchadluek.net )
แม้นแต่หนังสือพิมพ์ด้านธุรกิจอย่างฐานเศรษฐกิจและประชาชาติธุรกิจก็ยังมีบทความเกี่ยวกับจตุคามอย่างเช่น ฐานเศรษฐกิจฉบับวันที่ 26-28 เม.ย.ที่ผ่านมาจะมีบทความถึง 2 แห่งคือ คอลัมน์ซาซือเจ๊ ระบุหัวเรื่องว่า "ที่ไหน ๆ ก็มีจตุคาม ด้านในหน้า 39 ก็มีรายงานเรื่อง"จตุคามรามเทพลามเน็ต กว่า3แสนเว็บไซต์แห่ซื้อ-ขาย" ได้เกี่ยวถึงเว็บไซต์ที่เกียวข้อกับจตุคามที่ติดอันดับมีมากว่า 10 เว็บ และมีเว็บที่เกี่ยวเนื่องอีกกว่า 3 แสนเว็บ
ส่วนวารสารรายสัปดาน์แนวทางเมืองอย่างมติชันและเนชั่นสุดสัปดาห์ก็แข่งกันนำเสนอเรื่องจตุคามมาหลายสัปดาห์แล้ว อย่างเช่นสัปดาห์นี้ทั้งมติชนและเนชั่นได้ขึ้นรูปเหรียญจตุคามทั้งสองฉบับไม่ต้องพูดถึงเนื้อหาภายในจะมีเรื่องอะไรบ้าง
แม้นว่ากระแสจตุคามฟรีเวอร์ทำให้เงินสะพัดกว่า 20,000 ล้านบาท ตัวเลขทางเศรษฐกิจดูดีขึ้น เพราะเป็นเกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องดูดีขึ้น แต่กระแสจตุคามฟรีเวอร์เป็นตัวสะท้อนความเป็นไปในสังคมไทยเป็นอย่างไร
ก่อนหน้านี้เทพเจ้าประชานิยมทรงอำนาจค่อยเสก ค่อยแจก เงินให้กับรากหญ้า รวมถึงค่อยเอื้ออำนวยให้กับผู้ที่ก้มหัวให้ หรือคนที่เป็นพวกเขา ทำให้กลุ่มคนเหล่านี้กินดีอยู่ดี โดยไม่ต้องลงแรงอะไรมากก็มีเงินเข้ากระเป๋าไว้จับจ่ายให้สอยอย่างสบาย แทนที่จะแสวงหารายได้ด้วยสติปัญญาหรือพึ่งตัวเอง ก็หวังแต่ให้เทพเจ้าประชานิยมค่อยเสกให้ จนเงินของประเทศแทบให้ไม่เหลือ
เมื่อเทพเจ้าประชานิยมได้หลุดจากอำนาจไปเพราะการยึดอำนาจของ คมช. พวกรากหญ้าที่มีสภาพเป็นลูกนกคอยอ้าปากงับเหยื่อก็ขาดที่พึ่ง พอได้ข่าวจากการโหมโปรโมทผ่านสื่อว่าจตุคามทรงอานุภาพในการเสกให้ทุกคนรวยเป็นเศรษฐี โคตรเศรษฐี อภิมหึมามหาเศรษฐี ลูกนกเหล่านี้โผเข้าหาจึงทำให้เกิดกระแสจตุคามฟรีเวอร์ขึ้น เพราะกลุ่มคนเหล่านี้เห็นว่าการที่จะแสวงหารายได้จากน้ำแรง ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงนั้นลำบาก
หากใครหรือกลุ่มใดเข้ามาทำลายที่พึ่งของเขาก็จะออกมากตอบโต้ เพราะกลัวอานุภาพของจตุคามจะลดอำนาจลงเหมือนกับเทพเจ้าประชานิยมอีก ดังนั้น กระแสจตุคามฟรีเวอร์เป็นตัวสะท้อนให้พลังแห่งประชานิยมนั้นไม่ได้ลดน้อยลงไปเลย ยังครอบงำ-ฝักหัวสังคมไทยอยู่ทุกหัวละแหง
ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียงยังไม่งอกงามในสังคมไทย แม้นว่าจะได้เห็นแววขึ้นมาตั้งแต่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารพยายามกระตุ้นให้สังคมไทยในทางรอด พยายามสอดแทรกเข้าไปในบทละครอย่างเช่นเรื่อง "ปู่โสมเข้าทรัพย์" หรือย่างเช่นเรื่องล่าสุดเรื่อง "อภิมหึมามหาเศรษฐี" ทางช่อง 7 สี
แต่นั้นหละระยะเวลาของรัฐบาลชุดนี้เหลือน้อยแล้ว หากเมื่อมีการเลือกตั้งที่องค์ประกอบการเมืองไทยยังเป็นอยู่เหมือนเดิม จะมั่นใจได้อย่างไรว่ารัฐบาลใหม่จะดึงสังคมไทยออกจากประชานิยม ในที่สุดเดินไปตามกระแสประชานิยมด้วยการยกข้ออ้างตัวเลยทางเศรษฐกิจ ก็หนีไม่พ้นที่จะกระตุ้นให้คนไทยบริโภคแบบไม่ลืมหูลืมตาอย่างเช่นที่ผ่าน
กระแสประชานิยมกับจตุคามฟรีเวอร์ จึงเป็นสิ่งคมช.-และรัฐบาลจะมองข้ามไม่ได้ หากไม่ล้างเสียตั้งแต่ตอนนี้แล้วปล่อยให้เวลาผ่านไป ในที่สุดสังคมไทยคงจะถูกเขาชี้หน้าว่า "เป็นพวกเอาแต่ได้ ละเมิดลิกขสิทธิ์ของชาวบ้านไม่เคยคิดสิ่งที่เป็นตัวเอง" อยู่ล้ำไป คนไทยก็ตกเป็นทาสทางความคิด คิดเองไม่เป็น
วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม 2550
พระพุทธศาสนาประจำชาติ:มองต่างมุมนักศาสนากับนักปรัชญา
แรกที่มีการเคลื่อนไหวให้มีการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" นั้นก็ได้เขียนความเห็นลงบล็อกพร้อมร่วมแสดงความร่วมกับบุคคลทั่วไป อย่างเช่นเรื่อง น้ำท่วมหลังเป็ดเขียนพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรธน. พอระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง มีความรู้สึกว่าวางอุเบกขาดีกว่า เพราะหลวงพ่อหลวงพี่ที่ออกมาเคลื่อนไหวนั้น บางรูปก็เป็นอาจารย์ที่เคารพ บางรูปเป็นเพื่อนที่ร่วมสถาบันการศึกษา
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้ติดตามการเคลื่อนไหวอย่างห่าง ๆ ทั้งข่าวและความเห็น แต่เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาได้เห็นบทความ "พระพุทธศาสนาที่ไม่ผูกติดกับรัฐ (Buddhism without State)" ทางหนังสือพิมพ์มติชน ตอนแรกก็ไม่สนใจเท่าใดนักแต่พอทราบว่าผู้เขียนคือ "ชาญณรงค์ บุญหนุน" ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้สนใจที่จะอ่านในเนื้อหาของบทความมากยิ่งขึ้น
"ชาญณรงค์" ได้ยกเหตุการณ์และเหตุผลของฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย"
ตอนที่สำคัญอาทิ "ในแง่เอกสารวิชาการ ส่วนกระแสการเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้นอาจศึกษาได้จากงานของนักปราชญ์ชาวพุทธคนสำคัญ โดยเฉพาะงานเขีนของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ความคิดของท่านนั้นมีอิทธิพลต่อชาวพุทธไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ดูเหมือนว่าพระเดชพระคุณจะตระหนักถึงภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในของพระพุทธศาสนา และเห็นความสำคัญในการที่จะให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย
เหตุผลสำคัญที่ท่านเรียกร้องให้มีการบัญญัติเช่นนั้น มิใช่ความเป็นศาสนนิยม แต่อยู่ที่เหตุผลที่ท่านมองสังคมไทยแตกต่างออกไปจากนักวิชาการด้านการเมืองการปกครองทั่วไป
ท่านมองว่าสังคมเป็นสังคมทาส ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือทาสทางความคิดและทางปัญญา
ความเป็นทาสทางปัญญาทำให้นักการศึกษา นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และอื่นๆ ลอกเลียนแบบความคิดในเรื่องการพัฒนาสังคมจากประเทศตะวันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ดูสาเหตุความเป็นมา ไม่ดูพื้นฐานทางวัฒนธรรมในการแบ่งแยกศาสนาออกจากรัฐ โดยเฉพาะยึดมั่นถือมั่นในวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มุ่งเน้นรัฐฆราวาส (Secular state) ไม่สนใจศึกษาระบบศาสนาและจริยธรรมอันเคยเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมไทย มุ่งแต่จะทำตามแบบอย่างของชาวตะวันตก
เหตุผลนี้น่าสนใจเพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวความคิดทางสังคม การเมืองการปกครองที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ล้วนลอกเลียนแบบและได้รับอิทธิพลจากวิธีคิดแบบตะวันตกที่ต้องการแยกรัฐออกจากศาสนาทั้งสิ้น
ผู้เรียกร้องก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่า โดยตรรกะ การแยกรัฐออกจากศาสนาที่นักวิชาการและนักกฎหมายจำนวนมากยึดถืออยู่นั้นเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแบบแผน (Model) ของการปกครองในประชาธิปไตยอย่างที่จะปฏิเสธได้ยาก
เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาเองในสังคมไทย ซึ่งในความจริง ระบอบการปกครองใดๆ ก็ใช่ว่าจะดีที่สุดสมบูรณ์ที่สุด
ดังนั้น การจะพัฒนาแนวคิดใหม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยให้มีลักษณะของการเป็นประชาธิปไตยที่ไม่แยกออกจากศาสนา ก็อาจจะทำได้แต่ต้องมีการศึกษากันอย่างจริงจังว่าที่เป็นอยู่
สมมติฐานสำคัญอันหนึ่งที่ฝ่ายผู้เรียกร้องมีในใจก็คือ เราไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบประชาธิปไตยของชาวตะวันตกมาทั้งดุ้นนั่นเอง
แต่ก็มีข้อสังเกตว่า ในการเรียกร้องที่ปรากฏขึ้นในการชุมนุมเรียกร้องของพระสงฆ์และฆราวาสชาวพุทธที่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ไม่ค่อยชี้ให้เห็นแง่มุมที่เป็นเหตุผลดังกล่าวนี้อย่างชัดเจนนัก โดยส่วนมากแล้ว เราจะพบเหตุผลในเชิงประวัติศาสตร์ เหตุผลด้านความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเหตุผลเชิงประโยชน์นิยมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยในอนาคต
ซึ่งทุกเหตุผลก็มีข้อบกพร่องที่สามารถโต้แย้งได้ทั้งสิ้นสำหรับผู้เขียนแล้วไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องที่จะให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไปจากมุมมองของผู้คัดค้านหรือผู้มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ เวลาที่ประธานสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาคัดค้านนั้นมักจะอ้างว่าจะทำให้เกิดความบาดหมางแก่ศาสนาอื่นๆ หรือเกิดการกดขี่ศาสนาอื่นๆ
ซึ่งอันที่จริงคนที่กล่าวคำทักท้วงนี้ขึ้นมาก็ตระหนักดีว่า ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของไทย ก็เป็นไปได้น้อยมากที่ชาวพุทธในประเทศไทยจะกดขี่ศาสนาอื่น (แม้จะมีบ้างในบางยุคสมัย)
แต่เหตุผลที่แท้จริงไม่เคยถูกแสดงออกมานั่นคือ เหตุผลที่ว่านักวิชาการเหล่านั้นคิดถึงรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง ที่ถือว่ารัฐกับศาสนาจะต้องแยกกัน
ในอดีตนั้น พระพุทธศาสนาในประเทศไทยผูกติดกับรัฐและผู้ปกครองมาตลอด และไม่เคยเป็นผู้นำในระดับสังคมการเมืองการปกครอง ที่ทำให้สังคมสามารถปฏิรูปโครงสร้างสังคมได้อย่างถึงแก่น
ความอ่อนแอของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผูกติดกับรัฐมากเกินไป และคิดว่าการยึดโยงอยู่กับรัฐคือคำตอบ รัฐนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงตามผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเครือข่ายอิทธิพลอื่นๆ ที่มาพร้อมกับยุคสมัย
พระพุทธศาสนาในสังคมไทยปัจจุบันต้องเสียพื้นที่ให้กับภูมิปัญญาอื่นๆ ที่เข้มแข็งกว่าและเป็นประโยชน์ต่อรัฐมากกว่า เพราะว่าสังคมไทยปัจจุบันมีทางเลือกมากกว่าอดีต ไม่ว่าทางเลือกนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยทางเลือกนั้นก็อาจจะตอบสนองความต้องการของรัฐได้ดีกว่า
การเรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ย่อมมีพันธะผูกพันต่อชาวพุทธ มันหมายถึงความเป็นผู้นำในสังคมไทย ทั้งในระดับอุดมการณ์และภาคปฏิบัติ คำถามอยู่ที่ว่าชาวพุทธพร้อมที่จะไปสู่จุดนั้นอีกครั้งหรือไม่หลังจากสูญเสียบทบาทไปมาก
ถ้าพร้อม การเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็นับว่ามีแง่มุมน่าสนใจ และน่าพิจารณาอย่างยิ่งแต่ผู้เขียนคิดว่า ศาสนาพุทธไม่ควรจะผูกติดกับรัฐใดรัฐหนึ่ง
การนำศาสนาพุทธซึ่งเป็นสากลกว่ามาผูกติดกับพื้นที่และชาติพันธุ์อันมีข้อจำกัดนั้น ไม่ตรงกับลักษณะสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มุ่งประโยชน์สูงสุดของชาวโลก พระพุทธศาสนาควรจะอยู่เหนือรัฐทั้งในแง่อุดมการณ์และภาคปฏิบัติ
กล่าวคือ พระพุทธศาสนาน่าจะมุ่งความสุขของมนุษยชาติโดยไร้ขอบเขต สร้างความเป็นไทในด้านภูมิปัญญาจริยธรรมแก่มนุษย์ทุกรูปนามโดยไม่ต้องอาศัยรัฐเป็นเครื่องมือ เป็น Buddhism without state
ในแง่ปฏิบัติ โดยเฉพาะในทางสังคม ผู้เขียนคิดว่า พระพุทธศาสนาจะต้องใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยให้มากกว่านี้ มีปัญหามากมายในสังคมไทยที่ชาวพุทธเพิกเฉย และไม่ได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อพระสัทธรรม เช่น สถาบันพุทธศาสนาในสังคมไทยไม่กล้าที่จะออกมาประณามการฆ่าที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่ากรณีใดๆ ที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการ ไม่เคยเป็นผู้นำในการสร้างความเป็นธรรมในรูปแบบต่างๆ ในสังคมในสังคมไทยนั้นมีความเลวร้ายความไม่เป็นธรรมที่รัฐเป็นผู้กระทำจำนวนมาก แต่สถาบันพุทธศาสนาไม่พยายามรับรู้และแสดงบทบาทผู้นำในการปฏิรูปสังคม มักจะอ้างว่าพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ควรยุ่งกับกิจของฆราวาส ทั้งที่กิจกรรมบางอย่างเป็นความชั่วร้ายของสังคม
อันที่จริง การเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญในฐานะศาสนาประจำชาตินั้นมองในแง่หนึ่ง ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการแสดงถึงเจตจำนงอันชัดเจนถึงความต้องการให้พุทธศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองการปกครองของไทย
ซึ่งการจะเป็นที่พึ่งแก่สังคมและชาวโลกนั้นสามารถจะทำได้โดยไม่ต้องอิงอาศัยอำนาจรัฐ แต่ต้องอาศัยภูมิปัญญา ความเข้มแข็งสามัคคี และความกระตือรือร้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และรัฐต้องให้พื้นที่อิสระในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาอย่างเพียงพอการเรียกร้องให้มีการบัญญัติพุทธศาสนาไว้เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญนั้น ผู้เรียกร้องจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองให้มากขึ้นกว่าการอ้างอิงถึงความเป็นมา และความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย ผู้เขียนคิดว่า เราน่าจะมีเหตุผลที่ดีได้ในการที่จะบัญญัติเช่นนั้น แต่เหตุผลที่ดีที่สุดนั้นยังไม่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันอนึ่ง สำหรับสังคมไทย รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงภาษาสมมุติชนิดหนึ่งที่ไม่แน่นอน ดังเราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญมักจะถูกฉีกทิ้งและเขียนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ชาวพุทธจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สักวันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้อาจจะถูกฉีกและเขียนใหม่อีกในอนาคต
เมื่อถึงเวลานั้น กิจกรรมแบบซ้ำๆ เช่นนี้ก็จะปรากฏขึ้นอีก การยึดติดผูกพันกับสิ่งสมมุติเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบ"
นี้คือความเห็นของคนที่เรียนปรัชญา ไม่อยากจะตัดเนื้อหาให้เสียอรรถรส
ต่อไปนี้ลองศึกษามุมมองของนักศาสนาอย่างอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก สนช. เขียนบทความเรื่อง "ประโยชน์ที่พึงได้จากการเขียนพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ" ในคอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 6 พ.ค.บ้าง
"ต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน ผมเสมือน "คนพูดติดอ่าง" พูดเรื่องเดียวกันซ้ำซาก ขนาดเขียนลงในหนังสือพิมพ์ที่คุยว่ามียอดขายระดับต้นๆ ยังไม่ค่อยมีคนอ่านสักเท่าไหร่ ประเด็นที่ยกขึ้นมาชี้แจง ก็ยังได้เห็นได้ยินคนส่วนใหญ่ถามอยู่นั้นเอง
คำถามที่ฮิตที่สุดก็คือ "ใส่แล้วไม่กลัวจะเกิดการแตกแยกเกี่ยวกับพระศาสนาหรือ เพราะศาสนาในเมืองไทยมิใช่มีแต่พุทธศาสนา ทำไมต้องพุทธอย่างเดียว"
อีกคำถามหนึ่ง ก็คือ "พระสงฆ์ที่ออกมาร้องเรียนนั้น ทำไมไม่ไปจัดการพระที่ประพฤติผิด นอกรีตนอกรอยเสียก่อน มายุ่งเรื่องรัฐธรรมนูญทำไม ไม่ใช่กิจของสงฆ์"
อีกคำถามหนึ่ง "เอาศาสนาไปยุ่งกับการเมืองทำไม ต่างฝ่ายต่างอยู่ก็ดีแล้ว รัฐธรรมนูญประเทศไหนๆ (ที่เขาเป็นประชาธิปไตย) ก็ไม่เอาศาสนามายุ่งกับการเมือง" อะไรประมาณนี้
คำถามเหล่านี้ก็ยังคงถามกันต่อไป และคงตอบกันต่อไป คนถามไม่ควรมี "ธง" ในใจอยู่แล้วถาม ไม่ว่าใครจะตอบ หรืออธิบายอย่างไรๆ ถ้าไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของตนก็ไม่รับฟัง คนตอบเองก็ไม่ควรคิดว่าคำตอบ หรือเหตุผลของตนนั้นถูกต้อง และก็ไม่ควรคาดหวังว่าเขาจะเชื่อตามที่ตนตอบ
ก็รวมถึงข้อคิดเห็นของผมทางหน้าหนังสือพิมพ์นี้ด้วยแหละ ไม่จำต้องเชื่อพุทธวจนะใน "เกสปุตติยสูตร" หรืออีกชื่อหนึ่ง "กาลามสูตร" เป็นหลักตัดสินว่า ก่อนจะเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ จะพึงทำอย่างไรดี ดังที่พระเดชพระคุณเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ติงไว้นั้นแหละ เรื่องสำคัญอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องจะต้องพึ่งพา "ความรู้สึก" ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อตามความรู้สึก ของคนที่มีสถานะทางสังคมสูง มี authority สูง หากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ "ความรู้" ความเข้าใจมาตัดสินกันท่านติงว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เอาความรู้สึกมาวัดกัน แม้แต่เรื่องสำคัญๆ เช่น พระพุทธศาสนาควรเขียนว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยความรู้ ความรู้ประวัติศาสตร์ ของชาติ ของศาสนา รู้บทบาทของพระพุทธศาสนากับสังคมไทย รู้บทบาทและหน้าที่ของพระสงฆ์ต่อสังคมไทย และที่สำคัญรู้ภารกิจ หรือหน้าที่ที่รัฐจะพึงดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างใดสรุปให้ชัดก็คือ ไม่พึงใช้ความรู้สึก ควรใช้ความรู้ความเข้าใจตัดสินผมพูดค้างไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่า จะจาระไนผลดีของการเขียนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญต่อ (ไม่ใช่เขียนเพียงในคำปรารภว่า ศุภมัสดุ พระพุทธ ศาสนายุกาล..ฮิฮิ)ทีแรกว่าจะแจงเป็นข้อๆ ดังที่ทำมาในฉบับที่แล้ว เปลี่ยนใจมาพูดในแง่อธิบายตามวิธีการเขียนบทความแทนก็แล้วกัน เมื่ออ้างวาทะอัน "กินใจ" ของหลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต แล้วก็ขออ้างต่อไปในกรณีศาสนาประจำชาติ จำต้องทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาคือ(1) หลักการของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน(2) ประเพณีความสัมพันธ์ไม่เหมือนกันขอยกตัวอย่างความสัมพันธ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรมและชัดเจนกรณีศาสนาคริสต์ ทำไมฝรั่งต้องแยกศาสนาออกจากรัฐ เขามีความหลังอันยาวไกล ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง อำนาจทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งมีสันตะปาปาเป็นประมุข เมื่ออำนาจมีมากการคอร์รัปชั่นก็ตามมา นี่คือความเป็นจริงในทุกสังคม ความเสื่อมเกิดขึ้นในศาสนจักร เสื่อมถึงขนาดมีการขายใบไถ่บาปกันขึ้น จึงเกิดบาทหลวงเยอรมัน (มาร์ติน ลูเธอร์) คัดค้านไม่เห็นด้วย เมื่อมีคนนำคัดค้านอำนาจอันสิทธิขาดนี้ รัฐต่างๆ ที่เคยยินยอมก็หันมาสนับสนุนลูเธอร์ เพราะตนเองก็ต้องการความเป็นอิสระจากโป๊ป กระบวนการคัดค้านนี้จึงได้ชื่อว่า "Protestant"ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่ประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับศาสนจักร ด้วยจุดประสงค์ส่วนตัวคือต้องการเปลี่ยนพระมเหสี จึงแยกตัวจากศาสนจักร ถือโอกาสตั้ง Church of England ขึ้น สถาปนาพระองค์เองเป็นประมุขศาสนาสิ้นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระนางแมรีซึ่งนับถือคาทอลิกเคร่งครัด ขึ้นครองราชย์ ก็กวาดล้างพวกที่ต่อต้านทั้งหมดเป็นการใหญ่ พวกนี้ถูกฆ่า บ้างถูกเผาทั้งเป็นจำนวนมาก จึงต้องหลบหนีออกต่างประเทศ กลุ่มหนึ่งหนีไปฮอนลอนด์ อีกกลุ่มหนึ่งลงเรือไปขึ้นที่"นิวอิงแลนด์" (ในปี ค.ศ.1620) พวกนี้มีปมในใจที่ถูกเบียดเบียนทางศาสนา จึงต้องหนีภัยทางศาสนามาหาอิสรภาพ (freedom) ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการก่อตั้งประเทศอเมริกาดูภูมิหลังทางประวัติศาสตร์อย่างนี้ จึงพอมองเห็นใช่ไหมครับว่า ทำไมฝรั่ง (โดยเฉพาะอเมริกา) จึงรังเกียจที่จะให้ศาสนามาเกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศจึงแยกรัฐออกจากศาสนา (Separation of Church and State) จึงมีกฎหมาย ห้ามสอนศาสนาในระบบโรงเรียน เมื่อไม่เอาศาสนา อันเป็นรากฐานของศีลธรรมจริยธรรมมาเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ ก็ต้องคิดค้น "จริยธรรม" ขึ้นมาใหม่ อันเรียกว่า "จริยธรรมสากล"ซึ่งไม่เกี่ยวกับการหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์แต่อย่างใด เป็นเพียงทฤษฎีว่าด้วยความดี ความชั่ว มาตรฐานตัดสินดีชั่วพูดให้ชัดว่าเป็นแค่ทฤษฎีอย่างหนึ่งเท่านั้นเองสังคมที่ปฏิเสธศีลธรรมจริยธรรมทางศาสนา จึงไม่สามารถสร้างความดีงามขึ้นมาได้ จึงเต็มไปด้วยปัญหาสารพัดดังที่ทราบกัน แล้วเราก็ยังเป็นปลื้มชื่นชม และเอามาเป็นแบบอย่างทีนี้มาดูลักษณะความสัมพันธ์ของศาสนากับรัฐในแบบของพระพุทธศาสนาบ้าง มันเป็นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันตกหรือเปล่าไม่ว่าใช้สมองซีกไหนไตร่ตรองก็ตอบได้ทันทีว่า ไม่เหมือนครับ เวลาพระบวชเข้ามา ท่านต้องสละบ้านเรือน สละอาชีพที่ทำอยู่ รวมถึงสละกิจการทางบ้านเมืองทุกอย่าง กฎหมายบ้านเมืองยังได้นำประเพณีนี้มาบัญญัติไว้ โดยเขียนว่า นักบวช นักพรตไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง (ความคลุมเครือของการนิยามคำ มีผลกระทบถึงแม่ชีไป เพราะไปนิยามว่าแม่ชีคือนักบวชนักพรต ไม่มีสิทธิเลือกตั้งด้วย แล้วก็ไม่มีการแก้ไข สิทธิทางการเมืองของสตรีไม่ต่ำกว่าสองแสนคนถูกตัดสิทธิอย่างน่าเสียดาย)โดยโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนา พระสงฆ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยตรงอยู่แล้ว ท่านบวชมาศึกษา ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ผลมากน้อยตามความสามารถแล้ว ก็เผยแผ่พระธรรม สั่งสอนประชาชน นั้นคือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ ดังที่ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า "พระสงฆ์จะต้องศึกษา-ปฏิบัติสัมผัสผล-เผยแผ่-แก้ปัญหา"ฝ่ายรัฐ (สมัยราชาธิปไตย) ก็มีหน้าที่ในการ (1) "ปกครองประเทศ" ให้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข โดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ (โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม) (2) อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมถึงช่วยศาสนจักรแก้ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นอันเกินความสามารถของพระสงฆ์จะจัดการได้เหตุการณ์พระสงฆ์ผู้ใหญ่ต้องปาราชิกกระทบกระเทือนสังคมยุคนั้น พระสงฆ์ไม่สามารถจัดการได้ ทางอาณาจักรโดยพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และหม่อมไกรสร ซึ่งพระองค์แรกเป็นผู้ดูแลกรมสังฆการีด้วย ช่วยชำระสะสางให้เรียบร้อยหรือย้อนไปสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช การพระศาสนาเสื่อมโทรมมาก ถึงขนาดพระสงฆ์ตั้งก๊กมีจุดมุ่งหมายทางการเมือง ก็ทรงยื่นมือเข้ามาช่วย ปราบก๊กเจ้าพระฝางลงแล้ว ยังส่งพระสงฆ์จากส่วนกลางไปฟื้นฟูพระศาสนา หรือย้อนขึ้นไปถึงสมัยอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช เกิดกรณีพระเพทราชากับพระเจ้าเสือ นำกองทัพล้อมวัง พระองค์ทรงเป็นห่วงข้าราชบริพารที่จงรักภักดีจะเป็นอันตราย จึงให้นิมนต์พระสงฆ์เข้ามาอุปสมบทแก่เหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารในพระราชวัง เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ก็ตัดขาดจากทางบ้านเมืองไป ได้รับความคุ้มครอง อำนาจรัฐก็ไม่สามารถเอื้อมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา มิได้เหมือนประเทศใดๆ ถ้าจะเรียกว่าเป็น separation of Church and State ก็เป็นความสัมพันธ์แบบ positive Separation มากกว่า negative Separation คือไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างพระศาสนากับรัฐ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนสอดประสานสัมพันธ์กัน เพื่อความมั่นคงของรัฐ และความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาความสัมพันธ์แบบนี้พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า "อัญโญญนิสสิตา" (รัฐและพระศาสนาพึงอาศัยกันและกันตามหน้าที่ของตน) ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแทรกแซงอีกฝ่ายหนึ่งเพราะความเข้าใจลึกซึ้งอย่างนี้ พระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ จึงทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการก่อนขึ้นครองราชย์ เช่นรัชกาลที่ 1 ทรงประกาศว่าตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนาป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรีบรรทัดแรกตรัสถึงการอุปภัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา อันเป็นหน้าที่หลักของพระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง (ที่คณะผู้ก่อการถ่ายโอนมาด้วยอำนาจปฏิวัติ แล้วแกล้งทำตกหล่นในรัฐธรรมนูญ)บรรทัดสองตรัสถึงหน้าที่หลักอีกประการหนึ่งคือ การปกครองประเทศชาติและประชาชน ใคร่กราบเรียนว่า ท่านที่กลัวว่าใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว จะทำให้พระสงฆ์ยุ่งกับการเมือง ศาสนาไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เมื่อได้ทราบว่า ด้วยประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพระศาสนาของสังคมไทยตั้งแต่ต้น คงสบายใจได้ พระศาสนาและพระสงฆ์ไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับการเมือง (ในความหมายของท่าน) แน่นอน เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่สอดประสานกัน เพื่อเป้าหมายคือความเจริญรุ่งเรืองแห่งชาติและพระศาสนา"
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์มติชนฉบันวันที่ 7 พ.ค.ได้มีการตีพิมพ์สารจากพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม มีข้อความสรุปว่า "พระเลขานุการพระพรหมคุณาภรณ์ชี้แจงถึงความเห็นของพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ที่มีผู้อ้างว่าเห็นด้วยกับการระบุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาตินั้น แท้ที่จริงแล้ว พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ไม่ได้ระบุอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ได้ให้ความเห็นอย่างเป็นกลาง
"ที่ทำมาตลอด คือได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นหนังสือที่ชื่อ"ความสำคัญของพระพุทธศาสนา ในฐานะศาสนาประจำชาติ" โดยได้อธิบายถึงเหตุผลที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จนศาสนาพุทธกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติว่า เป็นเพราะ ทั้งในทางประวัติศาสตร์ ในด้านวัฒนาธรรม"
และตอนท้ายของสาร ได้ระบุว่า "การประพฤติปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นการดำเนินในแนวทางของความเป็นอิสระและเพื่อความเป็นอิสระในทุกขั้นตอน จะเห็นได้ว่า ศรัทธาจะต้องมีปัญญาควบคุมและจะต้องนำไปสู่ปัญญา เพราะปัญญา ทำให้พึ่งตนเองได้เป็นอิสระ
ทุกคนจะต้องทำตนให้พึ่งตนได้ตามหลักที่ว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" พุทธพจน์บทหนึ่งแสดงคติของพระพุทธศาสนาว่า สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ" แปลว่า "การอยู่ใต้อำนาจคนอื่นเป็นทุกข์ทั้งสิ้น อิสรภาพเป็นสุขทั้งสิ้น"
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับมุมมองระหว่างนักเรียนปรัชญาและนักศาสนาต่างก็มีเหตุผลวิญญูชนพิจารณาเอาเองเถิด สำหรับมหาเนชั่นขอวางอุเบกขาเพราะบุคคลควรที่กล่าวนามมาข้างต้นนี้ก็อย่างที่กล่าวบางรูปก็เป็นอาจารย์ที่เคารพ บางรูปเป็นเพื่อนที่ร่วมสถาบันการศึกษา
แต่สำหรับ "ชาญณรงค์ บุญหนุน" นั้นคือเพื่อนที่เรียนปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิตรี เอกปรัชญา ที่มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยกัน หลังจากเรียนจบเพื่อนบางรูป/คนก็ไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย สำหรับ "ชาญณรงค์" นั้นได้ศึกษาต่อที่จุฬาลงกร์มหาวิทยาลัย จนจบปริญญาเอก ส่วนมหาเนชั่นความสามารถไม่ถึง จึงได้มานั่งเขียนบล็อกนี้หละครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีก็คือมุมมองที่เหมือนกันในเรื่องนี้
วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม 2550
หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ได้ติดตามการเคลื่อนไหวอย่างห่าง ๆ ทั้งข่าวและความเห็น แต่เมื่อวันที่ 4 พ.ค.ที่ผ่านมาได้เห็นบทความ "พระพุทธศาสนาที่ไม่ผูกติดกับรัฐ (Buddhism without State)" ทางหนังสือพิมพ์มติชน ตอนแรกก็ไม่สนใจเท่าใดนักแต่พอทราบว่าผู้เขียนคือ "ชาญณรงค์ บุญหนุน" ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้สนใจที่จะอ่านในเนื้อหาของบทความมากยิ่งขึ้น
"ชาญณรงค์" ได้ยกเหตุการณ์และเหตุผลของฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวให้มีการการเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า"พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย"
ตอนที่สำคัญอาทิ "ในแง่เอกสารวิชาการ ส่วนกระแสการเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยนั้นอาจศึกษาได้จากงานของนักปราชญ์ชาวพุทธคนสำคัญ โดยเฉพาะงานเขีนของพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
ความคิดของท่านนั้นมีอิทธิพลต่อชาวพุทธไทยส่วนใหญ่โดยเฉพาะต่อการศึกษาในมหาวิทยาลัยสงฆ์ ดูเหมือนว่าพระเดชพระคุณจะตระหนักถึงภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในของพระพุทธศาสนา และเห็นความสำคัญในการที่จะให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย
เหตุผลสำคัญที่ท่านเรียกร้องให้มีการบัญญัติเช่นนั้น มิใช่ความเป็นศาสนนิยม แต่อยู่ที่เหตุผลที่ท่านมองสังคมไทยแตกต่างออกไปจากนักวิชาการด้านการเมืองการปกครองทั่วไป
ท่านมองว่าสังคมเป็นสังคมทาส ทั้งในด้านสังคม เศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง และด้านอื่นๆ ที่สำคัญคือทาสทางความคิดและทางปัญญา
ความเป็นทาสทางปัญญาทำให้นักการศึกษา นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์ และอื่นๆ ลอกเลียนแบบความคิดในเรื่องการพัฒนาสังคมจากประเทศตะวันตกอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ดูสาเหตุความเป็นมา ไม่ดูพื้นฐานทางวัฒนธรรมในการแบ่งแยกศาสนาออกจากรัฐ โดยเฉพาะยึดมั่นถือมั่นในวัฒนธรรมประชาธิปไตยที่มุ่งเน้นรัฐฆราวาส (Secular state) ไม่สนใจศึกษาระบบศาสนาและจริยธรรมอันเคยเป็นพื้นฐานสำคัญของสังคมไทย มุ่งแต่จะทำตามแบบอย่างของชาวตะวันตก
เหตุผลนี้น่าสนใจเพราะเราปฏิเสธไม่ได้ว่า แนวความคิดทางสังคม การเมืองการปกครองที่เราใช้อยู่ในปัจจุบันนี้ล้วนลอกเลียนแบบและได้รับอิทธิพลจากวิธีคิดแบบตะวันตกที่ต้องการแยกรัฐออกจากศาสนาทั้งสิ้น
ผู้เรียกร้องก็คงจะต้องทำความเข้าใจว่า โดยตรรกะ การแยกรัฐออกจากศาสนาที่นักวิชาการและนักกฎหมายจำนวนมากยึดถืออยู่นั้นเป็นแนวคิดที่สอดคล้องกับแบบแผน (Model) ของการปกครองในประชาธิปไตยอย่างที่จะปฏิเสธได้ยาก
เว้นเสียแต่ว่าเราจะมีแนวคิดเรื่องประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่งที่พัฒนาขึ้นมาเองในสังคมไทย ซึ่งในความจริง ระบอบการปกครองใดๆ ก็ใช่ว่าจะดีที่สุดสมบูรณ์ที่สุด
ดังนั้น การจะพัฒนาแนวคิดใหม่เกี่ยวกับประชาธิปไตยในสังคมไทยให้มีลักษณะของการเป็นประชาธิปไตยที่ไม่แยกออกจากศาสนา ก็อาจจะทำได้แต่ต้องมีการศึกษากันอย่างจริงจังว่าที่เป็นอยู่
สมมติฐานสำคัญอันหนึ่งที่ฝ่ายผู้เรียกร้องมีในใจก็คือ เราไม่จำเป็นต้องลอกเลียนแบบประชาธิปไตยของชาวตะวันตกมาทั้งดุ้นนั่นเอง
แต่ก็มีข้อสังเกตว่า ในการเรียกร้องที่ปรากฏขึ้นในการชุมนุมเรียกร้องของพระสงฆ์และฆราวาสชาวพุทธที่เห็นด้วยในเรื่องนี้ ไม่ค่อยชี้ให้เห็นแง่มุมที่เป็นเหตุผลดังกล่าวนี้อย่างชัดเจนนัก โดยส่วนมากแล้ว เราจะพบเหตุผลในเชิงประวัติศาสตร์ เหตุผลด้านความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในประเทศไทย และเหตุผลเชิงประโยชน์นิยมที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทยในอนาคต
ซึ่งทุกเหตุผลก็มีข้อบกพร่องที่สามารถโต้แย้งได้ทั้งสิ้นสำหรับผู้เขียนแล้วไม่เห็นด้วยกับการเรียกร้องที่จะให้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า "พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย" ด้วยเหตุผลที่ต่างออกไปจากมุมมองของผู้คัดค้านหรือผู้มีหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่ เวลาที่ประธานสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือผู้ที่เกี่ยวข้องออกมาคัดค้านนั้นมักจะอ้างว่าจะทำให้เกิดความบาดหมางแก่ศาสนาอื่นๆ หรือเกิดการกดขี่ศาสนาอื่นๆ
ซึ่งอันที่จริงคนที่กล่าวคำทักท้วงนี้ขึ้นมาก็ตระหนักดีว่า ถ้าพิจารณาจากประวัติศาสตร์ของไทย ก็เป็นไปได้น้อยมากที่ชาวพุทธในประเทศไทยจะกดขี่ศาสนาอื่น (แม้จะมีบ้างในบางยุคสมัย)
แต่เหตุผลที่แท้จริงไม่เคยถูกแสดงออกมานั่นคือ เหตุผลที่ว่านักวิชาการเหล่านั้นคิดถึงรูปแบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอีกแบบหนึ่ง ที่ถือว่ารัฐกับศาสนาจะต้องแยกกัน
ในอดีตนั้น พระพุทธศาสนาในประเทศไทยผูกติดกับรัฐและผู้ปกครองมาตลอด และไม่เคยเป็นผู้นำในระดับสังคมการเมืองการปกครอง ที่ทำให้สังคมสามารถปฏิรูปโครงสร้างสังคมได้อย่างถึงแก่น
ความอ่อนแอของพระพุทธศาสนาในปัจจุบันนั้นส่วนหนึ่งเป็นเพราะผูกติดกับรัฐมากเกินไป และคิดว่าการยึดโยงอยู่กับรัฐคือคำตอบ รัฐนั้นมักจะเปลี่ยนแปลงตามผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเครือข่ายอิทธิพลอื่นๆ ที่มาพร้อมกับยุคสมัย
พระพุทธศาสนาในสังคมไทยปัจจุบันต้องเสียพื้นที่ให้กับภูมิปัญญาอื่นๆ ที่เข้มแข็งกว่าและเป็นประโยชน์ต่อรัฐมากกว่า เพราะว่าสังคมไทยปัจจุบันมีทางเลือกมากกว่าอดีต ไม่ว่าทางเลือกนั้นจะดีหรือไม่ก็ตาม แต่อย่างน้อยทางเลือกนั้นก็อาจจะตอบสนองความต้องการของรัฐได้ดีกว่า
การเรียกร้องให้บัญญัติพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ย่อมมีพันธะผูกพันต่อชาวพุทธ มันหมายถึงความเป็นผู้นำในสังคมไทย ทั้งในระดับอุดมการณ์และภาคปฏิบัติ คำถามอยู่ที่ว่าชาวพุทธพร้อมที่จะไปสู่จุดนั้นอีกครั้งหรือไม่หลังจากสูญเสียบทบาทไปมาก
ถ้าพร้อม การเรียกร้องให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็นับว่ามีแง่มุมน่าสนใจ และน่าพิจารณาอย่างยิ่งแต่ผู้เขียนคิดว่า ศาสนาพุทธไม่ควรจะผูกติดกับรัฐใดรัฐหนึ่ง
การนำศาสนาพุทธซึ่งเป็นสากลกว่ามาผูกติดกับพื้นที่และชาติพันธุ์อันมีข้อจำกัดนั้น ไม่ตรงกับลักษณะสำคัญของพระพุทธศาสนาที่มุ่งประโยชน์สูงสุดของชาวโลก พระพุทธศาสนาควรจะอยู่เหนือรัฐทั้งในแง่อุดมการณ์และภาคปฏิบัติ
กล่าวคือ พระพุทธศาสนาน่าจะมุ่งความสุขของมนุษยชาติโดยไร้ขอบเขต สร้างความเป็นไทในด้านภูมิปัญญาจริยธรรมแก่มนุษย์ทุกรูปนามโดยไม่ต้องอาศัยรัฐเป็นเครื่องมือ เป็น Buddhism without state
ในแง่ปฏิบัติ โดยเฉพาะในทางสังคม ผู้เขียนคิดว่า พระพุทธศาสนาจะต้องใส่ใจสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมไทยให้มากกว่านี้ มีปัญหามากมายในสังคมไทยที่ชาวพุทธเพิกเฉย และไม่ได้ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ต่อพระสัทธรรม เช่น สถาบันพุทธศาสนาในสังคมไทยไม่กล้าที่จะออกมาประณามการฆ่าที่เกิดขึ้นในสังคมไม่ว่ากรณีใดๆ ที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการ ไม่เคยเป็นผู้นำในการสร้างความเป็นธรรมในรูปแบบต่างๆ ในสังคมในสังคมไทยนั้นมีความเลวร้ายความไม่เป็นธรรมที่รัฐเป็นผู้กระทำจำนวนมาก แต่สถาบันพุทธศาสนาไม่พยายามรับรู้และแสดงบทบาทผู้นำในการปฏิรูปสังคม มักจะอ้างว่าพระสงฆ์ไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ควรยุ่งกับกิจของฆราวาส ทั้งที่กิจกรรมบางอย่างเป็นความชั่วร้ายของสังคม
อันที่จริง การเรียกร้องให้บัญญัติพระพุทธศาสนาไว้ในรัฐธรรมนูญในฐานะศาสนาประจำชาตินั้นมองในแง่หนึ่ง ก็น่าจะถือได้ว่าเป็นการแสดงถึงเจตจำนงอันชัดเจนถึงความต้องการให้พุทธศาสนากลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมการเมืองการปกครองของไทย
ซึ่งการจะเป็นที่พึ่งแก่สังคมและชาวโลกนั้นสามารถจะทำได้โดยไม่ต้องอิงอาศัยอำนาจรัฐ แต่ต้องอาศัยภูมิปัญญา ความเข้มแข็งสามัคคี และความกระตือรือร้นมากกว่าที่เป็นอยู่ และรัฐต้องให้พื้นที่อิสระในการดำเนินกิจกรรมทางศาสนาอย่างเพียงพอการเรียกร้องให้มีการบัญญัติพุทธศาสนาไว้เป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญนั้น ผู้เรียกร้องจึงจำเป็นต้องไตร่ตรองให้มากขึ้นกว่าการอ้างอิงถึงความเป็นมา และความมั่นคงของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย ผู้เขียนคิดว่า เราน่าจะมีเหตุผลที่ดีได้ในการที่จะบัญญัติเช่นนั้น แต่เหตุผลที่ดีที่สุดนั้นยังไม่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันอนึ่ง สำหรับสังคมไทย รัฐธรรมนูญนั้นเป็นเพียงภาษาสมมุติชนิดหนึ่งที่ไม่แน่นอน ดังเราจะเห็นว่ารัฐธรรมนูญมักจะถูกฉีกทิ้งและเขียนใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า
ชาวพุทธจะแน่ใจได้อย่างไรว่า สักวันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้อาจจะถูกฉีกและเขียนใหม่อีกในอนาคต
เมื่อถึงเวลานั้น กิจกรรมแบบซ้ำๆ เช่นนี้ก็จะปรากฏขึ้นอีก การยึดติดผูกพันกับสิ่งสมมุติเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่ควรไตร่ตรองอย่างรอบคอบ"
นี้คือความเห็นของคนที่เรียนปรัชญา ไม่อยากจะตัดเนื้อหาให้เสียอรรถรส
ต่อไปนี้ลองศึกษามุมมองของนักศาสนาอย่างอาจารย์เสฐียรพงษ์ วรรณปก สนช. เขียนบทความเรื่อง "ประโยชน์ที่พึงได้จากการเขียนพระพุทธศาสนาในรัฐธรรมนูญ" ในคอลัมน์ รื่นร่มรมเยศ หนังสือพิมพ์มติชนฉบับวันที่ 6 พ.ค.บ้าง
"ต้องกราบขออภัยท่านผู้อ่าน ผมเสมือน "คนพูดติดอ่าง" พูดเรื่องเดียวกันซ้ำซาก ขนาดเขียนลงในหนังสือพิมพ์ที่คุยว่ามียอดขายระดับต้นๆ ยังไม่ค่อยมีคนอ่านสักเท่าไหร่ ประเด็นที่ยกขึ้นมาชี้แจง ก็ยังได้เห็นได้ยินคนส่วนใหญ่ถามอยู่นั้นเอง
คำถามที่ฮิตที่สุดก็คือ "ใส่แล้วไม่กลัวจะเกิดการแตกแยกเกี่ยวกับพระศาสนาหรือ เพราะศาสนาในเมืองไทยมิใช่มีแต่พุทธศาสนา ทำไมต้องพุทธอย่างเดียว"
อีกคำถามหนึ่ง ก็คือ "พระสงฆ์ที่ออกมาร้องเรียนนั้น ทำไมไม่ไปจัดการพระที่ประพฤติผิด นอกรีตนอกรอยเสียก่อน มายุ่งเรื่องรัฐธรรมนูญทำไม ไม่ใช่กิจของสงฆ์"
อีกคำถามหนึ่ง "เอาศาสนาไปยุ่งกับการเมืองทำไม ต่างฝ่ายต่างอยู่ก็ดีแล้ว รัฐธรรมนูญประเทศไหนๆ (ที่เขาเป็นประชาธิปไตย) ก็ไม่เอาศาสนามายุ่งกับการเมือง" อะไรประมาณนี้
คำถามเหล่านี้ก็ยังคงถามกันต่อไป และคงตอบกันต่อไป คนถามไม่ควรมี "ธง" ในใจอยู่แล้วถาม ไม่ว่าใครจะตอบ หรืออธิบายอย่างไรๆ ถ้าไม่ตรงกับความคิดความเชื่อของตนก็ไม่รับฟัง คนตอบเองก็ไม่ควรคิดว่าคำตอบ หรือเหตุผลของตนนั้นถูกต้อง และก็ไม่ควรคาดหวังว่าเขาจะเชื่อตามที่ตนตอบ
ก็รวมถึงข้อคิดเห็นของผมทางหน้าหนังสือพิมพ์นี้ด้วยแหละ ไม่จำต้องเชื่อพุทธวจนะใน "เกสปุตติยสูตร" หรืออีกชื่อหนึ่ง "กาลามสูตร" เป็นหลักตัดสินว่า ก่อนจะเชื่อหรือไม่ควรเชื่อ จะพึงทำอย่างไรดี ดังที่พระเดชพระคุณเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ ติงไว้นั้นแหละ เรื่องสำคัญอย่างนี้ ไม่ใช่เรื่องจะต้องพึ่งพา "ความรู้สึก" ไม่ใช่เรื่องที่จะเชื่อตามความรู้สึก ของคนที่มีสถานะทางสังคมสูง มี authority สูง หากเป็นเรื่องที่ต้องใช้ "ความรู้" ความเข้าใจมาตัดสินกันท่านติงว่า สังคมไทยเป็นสังคมที่เอาความรู้สึกมาวัดกัน แม้แต่เรื่องสำคัญๆ เช่น พระพุทธศาสนาควรเขียนว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทยหรือไม่ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ ต้องอาศัยความรู้ ความรู้ประวัติศาสตร์ ของชาติ ของศาสนา รู้บทบาทของพระพุทธศาสนากับสังคมไทย รู้บทบาทและหน้าที่ของพระสงฆ์ต่อสังคมไทย และที่สำคัญรู้ภารกิจ หรือหน้าที่ที่รัฐจะพึงดูแลคุ้มครองพระพุทธศาสนาอย่างใดสรุปให้ชัดก็คือ ไม่พึงใช้ความรู้สึก ควรใช้ความรู้ความเข้าใจตัดสินผมพูดค้างไว้ในสัปดาห์ที่แล้วว่า จะจาระไนผลดีของการเขียนพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรัฐธรรมนูญต่อ (ไม่ใช่เขียนเพียงในคำปรารภว่า ศุภมัสดุ พระพุทธ ศาสนายุกาล..ฮิฮิ)ทีแรกว่าจะแจงเป็นข้อๆ ดังที่ทำมาในฉบับที่แล้ว เปลี่ยนใจมาพูดในแง่อธิบายตามวิธีการเขียนบทความแทนก็แล้วกัน เมื่ออ้างวาทะอัน "กินใจ" ของหลวงพ่อประยุทธ์ ปยุตฺโต แล้วก็ขออ้างต่อไปในกรณีศาสนาประจำชาติ จำต้องทำความเข้าใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับศาสนาคือ(1) หลักการของแต่ละศาสนาไม่เหมือนกัน(2) ประเพณีความสัมพันธ์ไม่เหมือนกันขอยกตัวอย่างความสัมพันธ์ในประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นรูปธรรมและชัดเจนกรณีศาสนาคริสต์ ทำไมฝรั่งต้องแยกศาสนาออกจากรัฐ เขามีความหลังอันยาวไกล ตั้งแต่ยุโรปสมัยกลาง อำนาจทั้งหมดอยู่ภายใต้ศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งมีสันตะปาปาเป็นประมุข เมื่ออำนาจมีมากการคอร์รัปชั่นก็ตามมา นี่คือความเป็นจริงในทุกสังคม ความเสื่อมเกิดขึ้นในศาสนจักร เสื่อมถึงขนาดมีการขายใบไถ่บาปกันขึ้น จึงเกิดบาทหลวงเยอรมัน (มาร์ติน ลูเธอร์) คัดค้านไม่เห็นด้วย เมื่อมีคนนำคัดค้านอำนาจอันสิทธิขาดนี้ รัฐต่างๆ ที่เคยยินยอมก็หันมาสนับสนุนลูเธอร์ เพราะตนเองก็ต้องการความเป็นอิสระจากโป๊ป กระบวนการคัดค้านนี้จึงได้ชื่อว่า "Protestant"ในช่วงเวลาดังกล่าว ที่ประเทศอังกฤษ พระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 ซึ่งไม่เห็นด้วยกับศาสนจักร ด้วยจุดประสงค์ส่วนตัวคือต้องการเปลี่ยนพระมเหสี จึงแยกตัวจากศาสนจักร ถือโอกาสตั้ง Church of England ขึ้น สถาปนาพระองค์เองเป็นประมุขศาสนาสิ้นพระเจ้าเฮนรี่ที่ 8 พระนางแมรีซึ่งนับถือคาทอลิกเคร่งครัด ขึ้นครองราชย์ ก็กวาดล้างพวกที่ต่อต้านทั้งหมดเป็นการใหญ่ พวกนี้ถูกฆ่า บ้างถูกเผาทั้งเป็นจำนวนมาก จึงต้องหลบหนีออกต่างประเทศ กลุ่มหนึ่งหนีไปฮอนลอนด์ อีกกลุ่มหนึ่งลงเรือไปขึ้นที่"นิวอิงแลนด์" (ในปี ค.ศ.1620) พวกนี้มีปมในใจที่ถูกเบียดเบียนทางศาสนา จึงต้องหนีภัยทางศาสนามาหาอิสรภาพ (freedom) ซึ่งเป็นแกนสำคัญในการก่อตั้งประเทศอเมริกาดูภูมิหลังทางประวัติศาสตร์อย่างนี้ จึงพอมองเห็นใช่ไหมครับว่า ทำไมฝรั่ง (โดยเฉพาะอเมริกา) จึงรังเกียจที่จะให้ศาสนามาเกี่ยวข้องกับการปกครองประเทศจึงแยกรัฐออกจากศาสนา (Separation of Church and State) จึงมีกฎหมาย ห้ามสอนศาสนาในระบบโรงเรียน เมื่อไม่เอาศาสนา อันเป็นรากฐานของศีลธรรมจริยธรรมมาเป็นหลักในการพัฒนาประเทศ ก็ต้องคิดค้น "จริยธรรม" ขึ้นมาใหม่ อันเรียกว่า "จริยธรรมสากล"ซึ่งไม่เกี่ยวกับการหล่อหลอมพฤติกรรมของมนุษย์แต่อย่างใด เป็นเพียงทฤษฎีว่าด้วยความดี ความชั่ว มาตรฐานตัดสินดีชั่วพูดให้ชัดว่าเป็นแค่ทฤษฎีอย่างหนึ่งเท่านั้นเองสังคมที่ปฏิเสธศีลธรรมจริยธรรมทางศาสนา จึงไม่สามารถสร้างความดีงามขึ้นมาได้ จึงเต็มไปด้วยปัญหาสารพัดดังที่ทราบกัน แล้วเราก็ยังเป็นปลื้มชื่นชม และเอามาเป็นแบบอย่างทีนี้มาดูลักษณะความสัมพันธ์ของศาสนากับรัฐในแบบของพระพุทธศาสนาบ้าง มันเป็นแบบเดียวกับที่เกิดขึ้นในประเทศตะวันตกหรือเปล่าไม่ว่าใช้สมองซีกไหนไตร่ตรองก็ตอบได้ทันทีว่า ไม่เหมือนครับ เวลาพระบวชเข้ามา ท่านต้องสละบ้านเรือน สละอาชีพที่ทำอยู่ รวมถึงสละกิจการทางบ้านเมืองทุกอย่าง กฎหมายบ้านเมืองยังได้นำประเพณีนี้มาบัญญัติไว้ โดยเขียนว่า นักบวช นักพรตไม่มีสิทธิในการลงคะแนนเลือกตั้ง (ความคลุมเครือของการนิยามคำ มีผลกระทบถึงแม่ชีไป เพราะไปนิยามว่าแม่ชีคือนักบวชนักพรต ไม่มีสิทธิเลือกตั้งด้วย แล้วก็ไม่มีการแก้ไข สิทธิทางการเมืองของสตรีไม่ต่ำกว่าสองแสนคนถูกตัดสิทธิอย่างน่าเสียดาย)โดยโครงสร้างของความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระศาสนา พระสงฆ์ไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองการปกครองโดยตรงอยู่แล้ว ท่านบวชมาศึกษา ปฏิบัติ เมื่อปฏิบัติได้ผลมากน้อยตามความสามารถแล้ว ก็เผยแผ่พระธรรม สั่งสอนประชาชน นั้นคือหน้าที่หลักของพระสงฆ์ ดังที่ตรัสไว้ในมหาปรินิพพานสูตรว่า "พระสงฆ์จะต้องศึกษา-ปฏิบัติสัมผัสผล-เผยแผ่-แก้ปัญหา"ฝ่ายรัฐ (สมัยราชาธิปไตย) ก็มีหน้าที่ในการ (1) "ปกครองประเทศ" ให้เจริญรุ่งเรือง ร่มเย็นเป็นสุข โดยอาศัยหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ (โดยเฉพาะทศพิธราชธรรม) (2) อุปถัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา รวมถึงช่วยศาสนจักรแก้ปัญหาใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นอันเกินความสามารถของพระสงฆ์จะจัดการได้เหตุการณ์พระสงฆ์ผู้ใหญ่ต้องปาราชิกกระทบกระเทือนสังคมยุคนั้น พระสงฆ์ไม่สามารถจัดการได้ ทางอาณาจักรโดยพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงโปรดให้กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ และหม่อมไกรสร ซึ่งพระองค์แรกเป็นผู้ดูแลกรมสังฆการีด้วย ช่วยชำระสะสางให้เรียบร้อยหรือย้อนไปสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช การพระศาสนาเสื่อมโทรมมาก ถึงขนาดพระสงฆ์ตั้งก๊กมีจุดมุ่งหมายทางการเมือง ก็ทรงยื่นมือเข้ามาช่วย ปราบก๊กเจ้าพระฝางลงแล้ว ยังส่งพระสงฆ์จากส่วนกลางไปฟื้นฟูพระศาสนา หรือย้อนขึ้นไปถึงสมัยอยุธยา สมัยพระนารายณ์มหาราช เกิดกรณีพระเพทราชากับพระเจ้าเสือ นำกองทัพล้อมวัง พระองค์ทรงเป็นห่วงข้าราชบริพารที่จงรักภักดีจะเป็นอันตราย จึงให้นิมนต์พระสงฆ์เข้ามาอุปสมบทแก่เหล่าอำมาตย์และข้าราชบริพารในพระราชวัง เมื่อบวชเป็นพระแล้ว ก็ตัดขาดจากทางบ้านเมืองไป ได้รับความคุ้มครอง อำนาจรัฐก็ไม่สามารถเอื้อมไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับพระพุทธศาสนา มิได้เหมือนประเทศใดๆ ถ้าจะเรียกว่าเป็น separation of Church and State ก็เป็นความสัมพันธ์แบบ positive Separation มากกว่า negative Separation คือไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างพระศาสนากับรัฐ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างทำหน้าที่ของตนสอดประสานสัมพันธ์กัน เพื่อความมั่นคงของรัฐ และความเจริญรุ่งเรืองของพระศาสนาความสัมพันธ์แบบนี้พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่า "อัญโญญนิสสิตา" (รัฐและพระศาสนาพึงอาศัยกันและกันตามหน้าที่ของตน) ไม่ใช่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแทรกแซงอีกฝ่ายหนึ่งเพราะความเข้าใจลึกซึ้งอย่างนี้ พระมหากษัตริย์ในอดีตทุกพระองค์ จึงทรงประกาศพระปฐมบรมราชโองการก่อนขึ้นครองราชย์ เช่นรัชกาลที่ 1 ทรงประกาศว่าตั้งใจจะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนาป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนและมนตรีบรรทัดแรกตรัสถึงการอุปภัมภ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา อันเป็นหน้าที่หลักของพระมหากษัตริย์อย่างหนึ่ง (ที่คณะผู้ก่อการถ่ายโอนมาด้วยอำนาจปฏิวัติ แล้วแกล้งทำตกหล่นในรัฐธรรมนูญ)บรรทัดสองตรัสถึงหน้าที่หลักอีกประการหนึ่งคือ การปกครองประเทศชาติและประชาชน ใคร่กราบเรียนว่า ท่านที่กลัวว่าใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญแล้ว จะทำให้พระสงฆ์ยุ่งกับการเมือง ศาสนาไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เมื่อได้ทราบว่า ด้วยประเพณีความสัมพันธ์ระหว่างรัฐและพระศาสนาของสังคมไทยตั้งแต่ต้น คงสบายใจได้ พระศาสนาและพระสงฆ์ไม่มีทางยุ่งเกี่ยวกับการเมือง (ในความหมายของท่าน) แน่นอน เพราะเป็นความสัมพันธ์ที่เกื้อกูลกัน ต่างคนต่างทำหน้าที่สอดประสานกัน เพื่อเป้าหมายคือความเจริญรุ่งเรืองแห่งชาติและพระศาสนา"
อย่างไรก็ตามหนังสือพิมพ์มติชนฉบันวันที่ 7 พ.ค.ได้มีการตีพิมพ์สารจากพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม มีข้อความสรุปว่า "พระเลขานุการพระพรหมคุณาภรณ์ชี้แจงถึงความเห็นของพระพรหมคุณาภรณ์(ป.อ.ปยุตฺโต) ที่มีผู้อ้างว่าเห็นด้วยกับการระบุศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาตินั้น แท้ที่จริงแล้ว พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) ไม่ได้ระบุอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่ได้ให้ความเห็นอย่างเป็นกลาง
"ที่ทำมาตลอด คือได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้ เป็นหนังสือที่ชื่อ"ความสำคัญของพระพุทธศาสนา ในฐานะศาสนาประจำชาติ" โดยได้อธิบายถึงเหตุผลที่คนไทยส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ จนศาสนาพุทธกลายมาเป็นศาสนาประจำชาติว่า เป็นเพราะ ทั้งในทางประวัติศาสตร์ ในด้านวัฒนาธรรม"
และตอนท้ายของสาร ได้ระบุว่า "การประพฤติปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนานั้น เป็นการดำเนินในแนวทางของความเป็นอิสระและเพื่อความเป็นอิสระในทุกขั้นตอน จะเห็นได้ว่า ศรัทธาจะต้องมีปัญญาควบคุมและจะต้องนำไปสู่ปัญญา เพราะปัญญา ทำให้พึ่งตนเองได้เป็นอิสระ
ทุกคนจะต้องทำตนให้พึ่งตนได้ตามหลักที่ว่า "ตนแลเป็นที่พึ่งของตน" พุทธพจน์บทหนึ่งแสดงคติของพระพุทธศาสนาว่า สพฺพํ ปรวสํ ทุกฺขํ สพฺพํ อิสฺสริยํ สุขํ" แปลว่า "การอยู่ใต้อำนาจคนอื่นเป็นทุกข์ทั้งสิ้น อิสรภาพเป็นสุขทั้งสิ้น"
เป็นอย่างไรบ้างครับสำหรับมุมมองระหว่างนักเรียนปรัชญาและนักศาสนาต่างก็มีเหตุผลวิญญูชนพิจารณาเอาเองเถิด สำหรับมหาเนชั่นขอวางอุเบกขาเพราะบุคคลควรที่กล่าวนามมาข้างต้นนี้ก็อย่างที่กล่าวบางรูปก็เป็นอาจารย์ที่เคารพ บางรูปเป็นเพื่อนที่ร่วมสถาบันการศึกษา
แต่สำหรับ "ชาญณรงค์ บุญหนุน" นั้นคือเพื่อนที่เรียนปริญญาตรีพุทธศาสตรบัณฑิตรี เอกปรัชญา ที่มหาวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ด้วยกัน หลังจากเรียนจบเพื่อนบางรูป/คนก็ไปศึกษาต่อที่ประเทศอินเดีย สำหรับ "ชาญณรงค์" นั้นได้ศึกษาต่อที่จุฬาลงกร์มหาวิทยาลัย จนจบปริญญาเอก ส่วนมหาเนชั่นความสามารถไม่ถึง จึงได้มานั่งเขียนบล็อกนี้หละครับ แต่สิ่งหนึ่งที่เรามีก็คือมุมมองที่เหมือนกันในเรื่องนี้
วันอาทิตย์ ที่ 6 พฤษภาคม 2550
สมานฉันท์ไร้ความหมายทักษิณเปิดเกมถล่มคมช.-รัฐบาลเต็มสูบ
คนชื่อ"ทักษิณ"ปากบอกว่าต้องการสมานฉันท์ เปิดโอกาสให้รัฐบาลทำงานอย่างเต็มที่ ตัวเองประกาศวางมือทางการเมืองของอยู่อย่างสงบ
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นเพียงลมปาก เบื้องหลังแล้วยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จัดลิ้วล้อคอยตอบโต้บุคคลที่ออกมาพาดพิงทุกเม็ด
ล่าสุดได้ส่งคุณหญิงพจมาน ชินวัตวัตร ภริยา มอบอำนาจให้ นายเฉลียว ดุษดี ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. บริษัท สารสู่อนาคต จำกัด เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น นางกรรณิกา วิริยะกุล กรรมการผู้มีอำนาจ และนายทวีสิน สถิตย์รัตนชีวิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นคดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ทั้งนี้คงเป็นเพราะสำนวนที่ คตส.ตรวจสอบงวดเข้ามาทุกขณะ
ประกอบกับเห็นทั้งเมีย พี่เมีย ลูก ต้องเข้าชี้แจงต่อ คตส. เป็นว่าเล่นคนเป็นผัว และคนเป็นพ่อย่อมขะทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันก็ได้สร้างกระแสข่าวให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งไปร่วมเปิดกอล์ฟที่อังกฤษ ซื้อสโมสรแมนชี้ตี้ พร้อมกันนี้ลิ้วล้อก็คอยสนับสนุน อย่างวันที่ 30 เม.ย. ที่ประชุมสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในฐานะนายกสมาคม เป็นประธาน
พล.อ.วิชา ศิริธรรม เลขาธิการ อดีตส.ว.จันทบุรี ได้เสนอชื่อคนชื่อทักษิณ ขึ้นชิงตำแหน่งนายกสมาคมคนใหม่ และมีการเสนอนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ลงแข่ง ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าลูกใคร นายต่อพงษ์จึงประกาศไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว และไม่มีคนลงแข่งอีกส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพไปโดยปริยาย และยังมีลิ้วล้อในวงการกีฬาหลายประเภทที่ครองตำแหน่งใหญ่อยู่
และวันเดียวกันนี้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ได้ยื่นฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลางว่า เป็นการใช้อำนาจทางปกครองโดยมิชอบในการบริหารงานบุคคล
เหล่านี้คือคลื่นเหนือน้ำที่ถาถมเข้าใส่คมช.-รัฐบาล นอกจากนี้ก็ยังมีม็อบคนวันเสาร์ พีทีวี และคลื่นใต้น้ำ คลื่นรากหญ้า พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวทุกเวลาตราบใดที่ยังมีน้ำเลี้ยงอยู่ นี้ยังไม่พูดถึงข้าราชการที่มีในฝักใฝ่ใส่เกียร์ว่างกันอย่างเห็น ๆ
ทั้ง คมช.-รัฐบาลจะใช้มาตรการเฉียบขาดหรือก็กลืนไม่เข้าครายไม่ออกเดี๋ยวจะขาดหลักสมานฉันท์ไป
เมื่อตราบใดที่คนไทยยังหวังแต่ประโยชน์ส่วนตัวอยู่ อย่าได้หวังประโยชน์ชาติจะสัมฤทธิ์ผล ชาติพังชั่งหัวมันขอให้กูสบายไว้ก่อน
คงจะได้เห็นคนมีปัญญามีความรู้ แต่ขาดสติ ขาดความพอเพียง ใช้ยุทธวิทธีที่วิจิตรพิศดารออกมาตอบโต้คมช.-รัฐบาลกันต่อไป เกมนี้ต้องดูกันอีกยาว
วันจันทร์ ที่ 30 เมษายน 2550
แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นเป็นเพียงลมปาก เบื้องหลังแล้วยังมีการเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา จัดลิ้วล้อคอยตอบโต้บุคคลที่ออกมาพาดพิงทุกเม็ด
ล่าสุดได้ส่งคุณหญิงพจมาน ชินวัตวัตร ภริยา มอบอำนาจให้ นายเฉลียว ดุษดี ทนายความ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายนาม ยิ้มแย้ม ประธาน คตส. บริษัท สารสู่อนาคต จำกัด เจ้าของหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ นายโรจน์ งามแม้น นางกรรณิกา วิริยะกุล กรรมการผู้มีอำนาจ และนายทวีสิน สถิตย์รัตนชีวิน บรรณาธิการผู้พิมพ์ผู้โฆษณา เป็นจำเลยที่ 1- 5 ในความผิดฐานร่วมกันหมิ่นประมาทผู้อื่นคดีจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษก ทั้งนี้คงเป็นเพราะสำนวนที่ คตส.ตรวจสอบงวดเข้ามาทุกขณะ
ประกอบกับเห็นทั้งเมีย พี่เมีย ลูก ต้องเข้าชี้แจงต่อ คตส. เป็นว่าเล่นคนเป็นผัว และคนเป็นพ่อย่อมขะทนนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้อย่างแน่นอน
ขณะเดียวกันก็ได้สร้างกระแสข่าวให้เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาทั้งไปร่วมเปิดกอล์ฟที่อังกฤษ ซื้อสโมสรแมนชี้ตี้ พร้อมกันนี้ลิ้วล้อก็คอยสนับสนุน อย่างวันที่ 30 เม.ย. ที่ประชุมสมาคมกอล์ฟอาชีพแห่งประเทศไทย โดยมี นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล อดีต รมว.คมนาคม สมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ในฐานะนายกสมาคม เป็นประธาน
พล.อ.วิชา ศิริธรรม เลขาธิการ อดีตส.ว.จันทบุรี ได้เสนอชื่อคนชื่อทักษิณ ขึ้นชิงตำแหน่งนายกสมาคมคนใหม่ และมีการเสนอนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ลงแข่ง ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าลูกใคร นายต่อพงษ์จึงประกาศไม่ขอรับตำแหน่งดังกล่าว และไม่มีคนลงแข่งอีกส่งผลให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้เป็นนายกสมาคมกอล์ฟอาชีพไปโดยปริยาย และยังมีลิ้วล้อในวงการกีฬาหลายประเภทที่ครองตำแหน่งใหญ่อยู่
และวันเดียวกันนี้พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการประจำ ได้ยื่นฟ้อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ต่อศาลปกครองกลางว่า เป็นการใช้อำนาจทางปกครองโดยมิชอบในการบริหารงานบุคคล
เหล่านี้คือคลื่นเหนือน้ำที่ถาถมเข้าใส่คมช.-รัฐบาล นอกจากนี้ก็ยังมีม็อบคนวันเสาร์ พีทีวี และคลื่นใต้น้ำ คลื่นรากหญ้า พร้อมที่จะออกมาเคลื่อนไหวทุกเวลาตราบใดที่ยังมีน้ำเลี้ยงอยู่ นี้ยังไม่พูดถึงข้าราชการที่มีในฝักใฝ่ใส่เกียร์ว่างกันอย่างเห็น ๆ
ทั้ง คมช.-รัฐบาลจะใช้มาตรการเฉียบขาดหรือก็กลืนไม่เข้าครายไม่ออกเดี๋ยวจะขาดหลักสมานฉันท์ไป
เมื่อตราบใดที่คนไทยยังหวังแต่ประโยชน์ส่วนตัวอยู่ อย่าได้หวังประโยชน์ชาติจะสัมฤทธิ์ผล ชาติพังชั่งหัวมันขอให้กูสบายไว้ก่อน
คงจะได้เห็นคนมีปัญญามีความรู้ แต่ขาดสติ ขาดความพอเพียง ใช้ยุทธวิทธีที่วิจิตรพิศดารออกมาตอบโต้คมช.-รัฐบาลกันต่อไป เกมนี้ต้องดูกันอีกยาว
วันจันทร์ ที่ 30 เมษายน 2550
เพลงหนักแผ่นดิน
คนใดใช้ชื่อไทยอยู่ กายก็ดูเหมือนไทยด้วยกัน
ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน
(สร้อย)
คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารกันเอง ชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน
(สร้อย)
คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู
เข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน
คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ
เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา
(สร้อย)
(สร้อย)
(บทสร้อย)
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน)
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน)
และ
เพลง ค-น-ขี้-โ-ก-ง : วง มาลี
วันพุธ ที่ 11 เมษายน 2550
ได้อาศัยโพธิ์ทองแผ่นดินของราชันย์ แต่ใจมันยังเฝ้าคิดทำลาย
คนใดเห็นไทยเป็นทาส ดูถูกชาติเชื้อชนถิ่นไทย
แต่ยังฝังทำกิน กอบโกยสินไทยไป เหยียดคนไทยเป็นทาสของมัน
(สร้อย)
คนใดยุยงปลุกปั่น ไทยด้วยกันหวังให้แตกกระจาย
ปลุกระดมมวลชนให้สับสนวุ่นวาย เพื่อคนไทยแบ่งฝ่ายรบกันเอง
คนใดหลงชมชาติอื่น ชาติเดียวกันเขายืนข่มเหง
ได้สินทรัพย์เจือจานก็ประหารกันเอง ชาติอื่นเกรงดังญาติของมัน
(สร้อย)
คนใดขายตนขายชาติ ได้โอกาสชี้ทางให้ศัตรู
เข้าทลายพลังไทยให้สลายทางสู้ เมื่อศัตรูโจมจู่เสียทีมัน
คนใดคิดร้ายราวี ประเพณีของไทยไม่ต้องการ
เกื้อหนุนอคติ เชื่อลัทธิอันธพาล แพร่นำมันมาบ้านเมืองเรา
(สร้อย)
(สร้อย)
(บทสร้อย)
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน)
หนักแผ่นดิน หนักแผ่นดิน คนเช่นนี้เป็นคนหนักแผ่นดิน (หนักแผ่นดิน)
และ
เพลง ค-น-ขี้-โ-ก-ง : วง มาลี
วันพุธ ที่ 11 เมษายน 2550
ศึกษาพุทธวิธีกรณีคลิปหมิ่นฯแพร่บนยูทุป
กรณีคลิปหมิ่นฯถูกเผยแพร่บนเว็บไซต์ยูทุปผ่านไปเกือบอาทิตย์ ยังไม่ทีท่าว่าทาง ยูทุป จะถอดออก ตามการประสานของกระทรวบไอซีที และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นฝีมือของใคร
ฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งรู้สึกเศร้าสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดความโกรธที่มีคนมาทำร้ายพ่อเรา มีส่วนช่วยลบภาพหมิ่นฯนั้นได้บ้างเท่าที่กำลังและความสามารถที่มี
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นให้นึกถึงพุทธวิธี ที่พระพุทธองค์ได้ทรงใช้กับกลุ่มบุคคลที่กล่าวร้ายพระองค์ต่างๆ มีหลายช่วงที่พระองค์ถูกใช่ร้าย และหัวหอกสำคัญก็คือ พระเทวทัต นับได้ว่าเป็นฝ่ายค้านกับพระองค์มาตลอด นอกจากนี้มีศานาเชนที่นับได้ว่าเป็นอริกับพระพุทธศาสนามาตลอด ปล่อยให้สาวกของเขาใส่ร้ายพระองค์ต่าง ๆ นานา
อย่างเช่นเรื่องการแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีการยั่วยุให้พระองค์สาวกแสดงปาฏิหาริย์ แสดงเวทมนต์แข่ง แต่พระองค์ทรงห้าม หากพระสงฆ์แสดงถือว่ามีความผิดต้องอาบัติปาจิตตรีย์ (ก็ไม่รู้ว่าเหล่าพระเกจิทั้งหลายที่ปลูกเสกเหรียญต่าง ๆ รวมถึงจตุคามจะต้องอาบัติด้วยหรือไม่) แต่ก่อนที่พระองค์จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ถูกเหล่าสาวกของศาสนาเชนแกล้งต่างๆ นาน ๆ
และมีครั้งหนึ่งที่เมืองโกสัมพีพระองค์ก็ถูกนางมาคันทิยา พระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ว่าจ้างคนกล่าวร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ
สาเหตุที่นางมาคันทิยาอาฆาตพระองค์ก็เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของนางที่เลื่อมใสในพระองค์ได้ยกนางให้กับพระองค์เพราะความไม่รู้ พระองค์ไม่รับและเปรียบเทียบร่างกายของนางทีสวยงามมีแต่อุจจาระปัสสาวะ และนางมาคันทิยานี้สมัยที่พระองค์บังเกิดเป็นพระเวสสันดร เป็นเมียของชูชก
เมื่อนางมาคันทิยาจ้างคนว่าร้ายพระองค์อย่างนี้ ทำให้พระอานนท์ทนไม่ไหว จึงทูลให้พระองค์เสด็จไปเมืองอื่น พระองค์ตรัสว่า หากไปที่เมืองนั้นมีคนว่าร้ายอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์ก็ทูลให้เสด็จไปเมืองอื่นเรื่อย ๆ
พระองค์ตรัสว่า "อาวุโส! ตราบใดที่บุคคลยังพอใจด้วยคำสรรเสริญ เขาย่อมยังต้องหวั่นไหวเพราะถูกนินทา ที่เป็นกฎที่แน่นอน พระตถาคตเจ้าทำพระมนัสให้เป็นเช่นแผ่นดินหนักแน่น และไม่ยินดียินร้ายว่าใครจะไปโปรยปรายของหอมดอกไม้ลงไป หรือใครจะทิ้งเศษขยะของปฏิกูลอย่างไรลงไป"
พระอานนท์ กราบทูลพระองค์ว่า
"พระองค์ผู้เจริญ! อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน"
"จะไปไหน อานนท์" พระศาสดาตรัส มีแววแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและสีพระพักตร์
"ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี"
"ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?"
"ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า"
"ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?"
"ไปต่อไป พระเจ้าข้า"
"อย่าเลย อานนท์! เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้น ถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้นเห็นจะไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นที่ใด ควรให้ระงับลง ณ ที่นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์! เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน 7 วัน คือจะต้องระงับลงภายใน 7 วันเท่านั้น"
แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า "อานนท์! เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง 4 เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของคนอื่น เธอจงดูเถิด พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอย! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกแล้วจัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น
ดูก่อนอานนท์! ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุดผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิ เป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
ในที่สุดทาสและกรรมกร ที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบซึ่งไม่หวั่นไหวเลย ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลว อาวุโส! พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า ภูเขาศิลาล้วนย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง 4 ฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะคำนินทาและสรรเสริญฉันนั้น
ภาพจาก www.larnbuddhism.com
เมื่อพระเจ้าอุเทนทรงทราบว่าพระนางสามาวดีถูกเผาเช่นนี้ทรงสลดพระทัย จึงออกอุบายให้นางมาคันทิยารับสารภาพว่านางเป็นคนทำ และให้รวบรวมญาติและคนว่าจ้างรวมกันที่ท้องพระราชวัง แล้วทรงรับสั่งให้มหาดเล็กควบคุมตัวบุคคลเหล่านั้นฝั่งทั้งเป็นให้เหลือแต่คอนอกกำแพงแล้วจุดไฟเผา ส่วนนางมาคันทิยานั้นรับสั่งให้จับเอาน้ำร้อนกรอกจนสิ้นใจ
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ครับที่พระพุทธองค์ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ยกมาเป็นกรณีศึกษาครับ
วันจันทร์ ที่ 9 เมษายน 2550
ฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งรู้สึกเศร้าสลดกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เกิดความโกรธที่มีคนมาทำร้ายพ่อเรา มีส่วนช่วยลบภาพหมิ่นฯนั้นได้บ้างเท่าที่กำลังและความสามารถที่มี
เมื่อมีเหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นให้นึกถึงพุทธวิธี ที่พระพุทธองค์ได้ทรงใช้กับกลุ่มบุคคลที่กล่าวร้ายพระองค์ต่างๆ มีหลายช่วงที่พระองค์ถูกใช่ร้าย และหัวหอกสำคัญก็คือ พระเทวทัต นับได้ว่าเป็นฝ่ายค้านกับพระองค์มาตลอด นอกจากนี้มีศานาเชนที่นับได้ว่าเป็นอริกับพระพุทธศาสนามาตลอด ปล่อยให้สาวกของเขาใส่ร้ายพระองค์ต่าง ๆ นานา
อย่างเช่นเรื่องการแสดงยมกปาฏิหาริย์ ก็มีการยั่วยุให้พระองค์สาวกแสดงปาฏิหาริย์ แสดงเวทมนต์แข่ง แต่พระองค์ทรงห้าม หากพระสงฆ์แสดงถือว่ามีความผิดต้องอาบัติปาจิตตรีย์ (ก็ไม่รู้ว่าเหล่าพระเกจิทั้งหลายที่ปลูกเสกเหรียญต่าง ๆ รวมถึงจตุคามจะต้องอาบัติด้วยหรือไม่) แต่ก่อนที่พระองค์จะแสดงยมกปาฏิหาริย์ก็ถูกเหล่าสาวกของศาสนาเชนแกล้งต่างๆ นาน ๆ
และมีครั้งหนึ่งที่เมืองโกสัมพีพระองค์ก็ถูกนางมาคันทิยา พระมเหสีของพระเจ้าอุเทน ว่าจ้างคนกล่าวร้ายพระองค์ด้วยวิธีการต่างๆ
สาเหตุที่นางมาคันทิยาอาฆาตพระองค์ก็เนื่องจากว่า ก่อนหน้านี้พ่อแม่ของนางที่เลื่อมใสในพระองค์ได้ยกนางให้กับพระองค์เพราะความไม่รู้ พระองค์ไม่รับและเปรียบเทียบร่างกายของนางทีสวยงามมีแต่อุจจาระปัสสาวะ และนางมาคันทิยานี้สมัยที่พระองค์บังเกิดเป็นพระเวสสันดร เป็นเมียของชูชก
เมื่อนางมาคันทิยาจ้างคนว่าร้ายพระองค์อย่างนี้ ทำให้พระอานนท์ทนไม่ไหว จึงทูลให้พระองค์เสด็จไปเมืองอื่น พระองค์ตรัสว่า หากไปที่เมืองนั้นมีคนว่าร้ายอีกจะทำอย่างไร พระอานนท์ก็ทูลให้เสด็จไปเมืองอื่นเรื่อย ๆ
พระองค์ตรัสว่า "อาวุโส! ตราบใดที่บุคคลยังพอใจด้วยคำสรรเสริญ เขาย่อมยังต้องหวั่นไหวเพราะถูกนินทา ที่เป็นกฎที่แน่นอน พระตถาคตเจ้าทำพระมนัสให้เป็นเช่นแผ่นดินหนักแน่น และไม่ยินดียินร้ายว่าใครจะไปโปรยปรายของหอมดอกไม้ลงไป หรือใครจะทิ้งเศษขยะของปฏิกูลอย่างไรลงไป"
พระอานนท์ กราบทูลพระองค์ว่า
"พระองค์ผู้เจริญ! อย่าอยู่เลยที่นี่ คนเขาด่ามากเหลือเกิน"
"จะไปไหน อานนท์" พระศาสดาตรัส มีแววแห่งความเด็ดเดี่ยวฉายออกมาทางพระเนตรและสีพระพักตร์
"ไปเมืองอื่นเถิดพระเจ้าข้า สาวัตถี ราชคฤห์ สาเกต หรือเมืองไหนๆ ก็ได้ ที่ไม่ใช่โกสัมพี"
"ถ้าเขาด่าเราที่นั่นอีก?"
"ก็ไปเมืองอื่นอีก พระเจ้าข้า"
"ถ้าที่เมืองนั้นเขาด่าเราอีก?"
"ไปต่อไป พระเจ้าข้า"
"อย่าเลย อานนท์! เธออย่าพอใจให้ตถาคตทำอย่างนั้น ถ้าจะต้องทำอย่างเธอว่า เราจะไม่มีแผ่นดินอยู่ มนุษย์เราอยู่ที่ไหนจะไม่ให้มีคนรักคนชังนั้นเห็นจะไม่ได้ เรื่องเกิดขึ้นที่ใด ควรให้ระงับลง ณ ที่นั้นเสียก่อนแล้วจึงค่อยไป อานนท์! เรื่องที่เกิดขึ้นแก่ตถาคตนั้นจะไม่ยืดยาวเกิน 7 วัน คือจะต้องระงับลงภายใน 7 วันเท่านั้น"
แล้วพระพุทธองค์ก็ตรัสต่อไปว่า "อานนท์! เราจะอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่น เหมือนช้างศึกก้าวลงสู่สงคราม ต้องทนต่อลูกศรซึ่งมาจากทิศทั้ง 4 เพราะคนในโลกนี้ส่วนมากเป็นคนชั่ว คอยแส่หาแต่โทษของคนอื่น เธอจงดูเถิด พระราชาทั้งหลายย่อมทรงราชพาหนะตัวที่ฝึกแล้วไปสู่ที่ชุมนุมชน เป็นสัตว์ที่ออกชุมนุมชนได้ อานนท์เอย! ในหมู่มนุษย์นี้ผู้ใดฝึกตนให้เป็นคนอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้อื่นได้ จัดว่าเป็นผู้ประเสริฐสุด ม้าอัสดร ม้าสินธพ พญาช้างตระกูลมหานาคที่ได้รับการฝึกแล้วจัดเป็นสัตว์อาชาไนย สัตว์อาชาไนยเป็นสัตว์ที่ประเสริฐ แต่คนที่ฝึกตนดีแล้วยังประเสริฐกว่าสัตว์เหล่านั้น
ดูก่อนอานนท์! ผู้อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้สูงกว่าก็เพราะความกลัว อดทนต่อคำล่วงเกินของผู้เสมอกันเพราะเห็นว่าพอสู้กันได้ แต่ผู้ใดอดทนต่อคำล่วงเกินของผู้ซึ่งด้อยกว่าตน เราเรียกความอดทนนั้นว่าสูงสุดผู้มีความอดทน มีเมตตา ย่อมเป็นผู้มีลาภ มียศ อยู่เป็นสุข เป็นที่รักของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เปิดประตูแห่งความสุขความสงบได้โดยง่าย สามารถขุดมูลเหตุแห่งการทะเลาะวิวาทเสียได้ คุณธรรมทั้งมวล มีศีลและสมาธิ เป็นต้น ย่อมเจริญงอกงามแก่ผู้มีความอดทนทั้งสิ้น
ในที่สุดทาสและกรรมกร ที่พระนางมาคันทิยาว่าจ้างมาด่าพระมหาสมณะก็เลิกราไปเอง เพราะเขาทั้งหลายรู้สึกว่าเขากำลังด่าเสาศิลาแท่งทึบซึ่งไม่หวั่นไหวเลย ความพยายามของพระนางมาคันทิยาเป็นอันล้มเหลว อาวุโส! พระศาสดาเคยตรัสไว้ว่า ภูเขาศิลาล้วนย่อมไม่หวั่นไหวด้วยลมจากทิศทั้ง 4 ฉันใด บัณฑิตย่อมไม่หวั่นไหวเพราะคำนินทาและสรรเสริญฉันนั้น
ภาพจาก www.larnbuddhism.com
เมื่อพระเจ้าอุเทนทรงทราบว่าพระนางสามาวดีถูกเผาเช่นนี้ทรงสลดพระทัย จึงออกอุบายให้นางมาคันทิยารับสารภาพว่านางเป็นคนทำ และให้รวบรวมญาติและคนว่าจ้างรวมกันที่ท้องพระราชวัง แล้วทรงรับสั่งให้มหาดเล็กควบคุมตัวบุคคลเหล่านั้นฝั่งทั้งเป็นให้เหลือแต่คอนอกกำแพงแล้วจุดไฟเผา ส่วนนางมาคันทิยานั้นรับสั่งให้จับเอาน้ำร้อนกรอกจนสิ้นใจ
ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ครับที่พระพุทธองค์ประสบกับเหตุการณ์เช่นนี้ ยกมาเป็นกรณีศึกษาครับ
วันจันทร์ ที่ 9 เมษายน 2550
จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทยมีแต่คนเก่งด่า-โกง
ตื่นเช้าขึ้นมาอากาศสดใส อ่านหนังสือพิมพ์ดูทีวีก็ได้เห็นแต่คนเก่งๆๆๆ เก่งด่า เก่งโกง เก่งคอรับชั่น เก่งแทงข้างหลัง เก่งประท้วง บอกหน่อยซิทำงัยกันอะ ทำไม่เป็นจะทำมั้ง จะได้เจริญ จะได้เก่ง จะได้รวยกับเขามั้ง
เบื่อ 2 สนธิ คนหนึ่งก็ทำงานไม่ได้อย่างใจ อีกคนหนึ่งก็ได้แต่ด่า
เบื่อ โจรใต้ ได้แต่ฆ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
เบื่อ เกษตรกรคนจนได้แต่ม็อบบบบบบบบบไม่รู้พึ่งตัวเอง
เบื่อ พวกม็อบรับจ้างด่า ได้เท่าไรเอามาแบ่งมั้ง
เบื่อ สังคมไร้ระเบียบวินัย
เบื่อ สังคมเห็นแก่ตัว ฯลฯ
เบื่อ จตุคามฟรีเวอร์ เอามาแบ่งบ้างนะใครมีหลายองค์ ไม่เช่นั้นต้องซื้อตู้นิรภัยใส่นะ เอ้พระคุ้มครองคนหรือคนคุ้มครองจตุคาม
ไม่อยากฟัง"หมาเห่า" (MY HUMP)
ศิลปิน : ใหญ่หมาเห่า (MY HUMP) - ใหญ่
ยิ่งคิดทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ด้านซ้านก็พอน่ามอง ด้านขวาก็พอจะดูดี
ด้านหลังก็พอจะเข้าที ก็เธอไม่เห็นจะเป็นไร
พอเห็นหน้าเธอเข้าจัง ๆ ความหวังต้องพังทลายลง
เห็นเธอแล้วฉันต้องปลง ๆ ก็งงว่าคนหรือผี
เข้าใจว่าหมามันเห่า เห่า เจ้าหมามันคงเข้าใจไป
ว่าเธอหน้าตาเหมือนผีไง หมาเห่าฉันจึงได้รู้
หน้าตาของเธอพิลึกคน หลอกฉันอยู่ได้แทบทุกคืน
ตกใจหมายังสะดุ้งตื่น จะฝืนอยู่ไปทำไม
อย่าหลอก อย่าหลอก อย่าหลอกฉันนะ
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ เธออย่าเข้ามา
ฉันมีพระ เธออย่างเข้ามาฉันมีพระ
ใกล้เธอฉันวังเวง
ขอร้องเธออย่ามาหลอกฉันขอที ขอที
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ ขอร้องเธออย่านะ
อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา
ยิ่งเห็นทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
เพื่อนมันก็เตือนเพราะเธอไม่เข้าท่า
เอีะ เอ๊ะ ทำไมหมามันเห่าก็แต่เธอ
กลางวันก็ดูเหมือนผี กลางคืนก็เหมือนนางฟ้า
มิน่า มิน่า หมามันนะถึงหอน
มาหลอกมาหลอนทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เอ๊ะผีก็ผี เอ๊ะแฟนก็แฟน ปนกันเสียจนป่น+++
มีไปก็เหมือนผี อย่างนี้จะทำยังไง
*ด้านซ้านก็พอน่ามอง ด้านขวาก็พอจะดูดี
ด้านหลังก็พอจะเข้าที ก็เธอไม่เห็นจะเป็นไร
พอเห็นหน้าเธอเข้าจัง ๆ ความหวังต้องพังทลายลง
เห็นเธอแล้วฉันต้องปลง ๆ ก็งงว่าคนหรือผี
ทำกันได้ไง เธอมาหลอกฉันได้ไง
เธอเป็นอย่างงี้ไง หมามันยังไม่ไว้ใจ
หน้าตาของเธอพิลึกคน หลอกฉันอยู่ได้แทบทุกคืน
ตกใจหมายังสะดุ้งตื่น จะฝืนอยู่ไปทำไม
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
อย่าหลอก อย่าหลอก อย่าหลอกฉันนะ
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ เธออย่าเข้ามา
ฉันมีพระ เธออย่างเข้ามาฉันมีพระ
ใกล้เธอฉันวังเวง
ขอร้องเธออย่ามาหลอกฉันขอที ขอที
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ ขอร้องเธออย่านะ
อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา
* ยิ่งเห็นทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
(ซ้ำ *)
วันพุธ ที่ 4 เมษายน 2550
เบื่อ 2 สนธิ คนหนึ่งก็ทำงานไม่ได้อย่างใจ อีกคนหนึ่งก็ได้แต่ด่า
เบื่อ โจรใต้ ได้แต่ฆ่าๆๆๆๆๆๆๆๆ
เบื่อ เกษตรกรคนจนได้แต่ม็อบบบบบบบบบไม่รู้พึ่งตัวเอง
เบื่อ พวกม็อบรับจ้างด่า ได้เท่าไรเอามาแบ่งมั้ง
เบื่อ สังคมไร้ระเบียบวินัย
เบื่อ สังคมเห็นแก่ตัว ฯลฯ
เบื่อ จตุคามฟรีเวอร์ เอามาแบ่งบ้างนะใครมีหลายองค์ ไม่เช่นั้นต้องซื้อตู้นิรภัยใส่นะ เอ้พระคุ้มครองคนหรือคนคุ้มครองจตุคาม
ไม่อยากฟัง"หมาเห่า" (MY HUMP)
ศิลปิน : ใหญ่หมาเห่า (MY HUMP) - ใหญ่
ยิ่งคิดทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ด้านซ้านก็พอน่ามอง ด้านขวาก็พอจะดูดี
ด้านหลังก็พอจะเข้าที ก็เธอไม่เห็นจะเป็นไร
พอเห็นหน้าเธอเข้าจัง ๆ ความหวังต้องพังทลายลง
เห็นเธอแล้วฉันต้องปลง ๆ ก็งงว่าคนหรือผี
เข้าใจว่าหมามันเห่า เห่า เจ้าหมามันคงเข้าใจไป
ว่าเธอหน้าตาเหมือนผีไง หมาเห่าฉันจึงได้รู้
หน้าตาของเธอพิลึกคน หลอกฉันอยู่ได้แทบทุกคืน
ตกใจหมายังสะดุ้งตื่น จะฝืนอยู่ไปทำไม
อย่าหลอก อย่าหลอก อย่าหลอกฉันนะ
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ เธออย่าเข้ามา
ฉันมีพระ เธออย่างเข้ามาฉันมีพระ
ใกล้เธอฉันวังเวง
ขอร้องเธออย่ามาหลอกฉันขอที ขอที
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ ขอร้องเธออย่านะ
อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา
ยิ่งเห็นทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
เพื่อนมันก็เตือนเพราะเธอไม่เข้าท่า
เอีะ เอ๊ะ ทำไมหมามันเห่าก็แต่เธอ
กลางวันก็ดูเหมือนผี กลางคืนก็เหมือนนางฟ้า
มิน่า มิน่า หมามันนะถึงหอน
มาหลอกมาหลอนทำไมถึงเป็นอย่างนี้
เอ๊ะผีก็ผี เอ๊ะแฟนก็แฟน ปนกันเสียจนป่น+++
มีไปก็เหมือนผี อย่างนี้จะทำยังไง
*ด้านซ้านก็พอน่ามอง ด้านขวาก็พอจะดูดี
ด้านหลังก็พอจะเข้าที ก็เธอไม่เห็นจะเป็นไร
พอเห็นหน้าเธอเข้าจัง ๆ ความหวังต้องพังทลายลง
เห็นเธอแล้วฉันต้องปลง ๆ ก็งงว่าคนหรือผี
ทำกันได้ไง เธอมาหลอกฉันได้ไง
เธอเป็นอย่างงี้ไง หมามันยังไม่ไว้ใจ
หน้าตาของเธอพิลึกคน หลอกฉันอยู่ได้แทบทุกคืน
ตกใจหมายังสะดุ้งตื่น จะฝืนอยู่ไปทำไม
หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเห่า หมาเฮ้า
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
อย่าหลอก อย่าหลอก อย่าหลอกฉันนะ
หมาเห่าเธอเห็นหรือเปล่า หมาเห่าเธอทำอย่างไร
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ เธออย่าเข้ามา
ฉันมีพระ เธออย่างเข้ามาฉันมีพระ
ใกล้เธอฉันวังเวง
ขอร้องเธออย่ามาหลอกฉันขอที ขอที
ใกล้เธอฉันวังเวง โอ้ ขอร้องเธออย่านะ
อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา อย่าเข้ามา
* ยิ่งเห็นทุกวันตัวฉันยิ่งกลุ้ม
โอ๊ยยิ่งกลุ้มสะดุ้งหมาเห่า
เห่ากันตั้งแต่ต้นซอยปากซอย
ท้ายซอยก็ยังยังเดินต่อไป
(ซ้ำ *)
วันพุธ ที่ 4 เมษายน 2550
ลองคล้องสัตตคามโจรลักไม่ได้เหมือนจตุคาม
ช่วงนี้"จตุคาม-รามเทพ"กำลังฟรีเวอร์ จนกระทั้งมีคนย่องเบาเข้าไปลักคนที่มีถึงขั้นถูกยิงตาย เจ้าของก็ต้องซื้อตู้นิรภัยมาใส่ สร้างความทุกข์ให้กับคนที่มี แทนที่จตุคามจะคุ้มครองคน เป็นอันว่าคนต้องคุ้มครองจตุคามแทน (นี้ไม่ได้ลบหลู่)
อย่างเช่นวันที่ 30 มีนาคม ก็มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ภายในบริเวณแผงวัตถุมงคล “ลุงทองส่องพระ” ตั้งอยู่ภายในศูนย์พระเครื่องเมืองนคร “พงศ์พลาซ่า” ถนนกะโรม ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยคนร้ายได้วัตถุมงคลสายจตุคาม-รามเทพไปเป็นจำนวนมาก
วันเดียวกันนี้มีโจรเข้าไปงัดวิหารหลวงพ่อสดวัดจันทรังษี หมู่ที่ 8 ต.โพสะอ.เมือง จ.อ่างทอง ได้ทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก ภายในมหาวิหารขนาดใหญ่มีพระรูปเหมือนโลหะหลวงพ่อสดจันทสโร หรือพระมงคลเทพมุณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หากใครไม่ต้องการมีทรัพย์แล้วไม่ต้องการให้โจรลักหรือโจรลักไม่ได้ ก็ต้องมี "สัตตคาม" หรือ อริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์คือคุณธรรมประจำใจ อย่างประเสริฐ คือ
1. ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ
3. ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม
3. หิริ ความละอายใจต่อการทำชั่ว
4. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
5. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
6.จาคะ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
7. ปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณาและรู้ที่จะจัดทำ
อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจนและเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย
ธรรม 7 นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรม มีอุปการะมาก เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญ คุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่าง กว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มากย่อมสามารถใช้จ่าย ทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นอันมาก
ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ขยายความเกี่ยวกับอริยทรัพย์ไว้ว่า
ครูบาอาจารย์มักสอนเสมอว่า อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ที่สามารถติดตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ นอกไปจากนั้น ท่านยังสอนว่า สำหรับบุคคลอันเป็นที่รักเช่นพระอรหันต์ในบ้านคือคุณแม่คุณพ่อ (หรือกับบุคคลใดๆ ก็ตามที่เราสามารถชี้แนะได้) นอกจากเราจะตอบแทนพระคุณท่านด้วยการดูแลเอาใจใส่ ทะนุบำรุงท่านทางกายและด้วยความรักและกตัญญูแล้ว
สิ่งที่เป็นการทดแทนพระคุณอันประเสริฐยิ่งอีกก็คือ การชี้แนะหรือชักชวนให้ท่านได้ทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อีกอย่างก็คือ ชักชวนหรือนำให้ท่านได้สะสมอริยทรัพย์ไว้มากๆ
วันอาทิตย์ ที่ 1 เมษายน 2550
อย่างเช่นวันที่ 30 มีนาคม ก็มีคนร้ายเข้าไปลักทรัพย์ภายในบริเวณแผงวัตถุมงคล “ลุงทองส่องพระ” ตั้งอยู่ภายในศูนย์พระเครื่องเมืองนคร “พงศ์พลาซ่า” ถนนกะโรม ต.โพธิ์เสด็จ อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช โดยคนร้ายได้วัตถุมงคลสายจตุคาม-รามเทพไปเป็นจำนวนมาก
วันเดียวกันนี้มีโจรเข้าไปงัดวิหารหลวงพ่อสดวัดจันทรังษี หมู่ที่ 8 ต.โพสะอ.เมือง จ.อ่างทอง ได้ทรัพย์สินไปเป็นจำนวนมาก ภายในมหาวิหารขนาดใหญ่มีพระรูปเหมือนโลหะหลวงพ่อสดจันทสโร หรือพระมงคลเทพมุณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
หากใครไม่ต้องการมีทรัพย์แล้วไม่ต้องการให้โจรลักหรือโจรลักไม่ได้ ก็ต้องมี "สัตตคาม" หรือ อริยทรัพย์ คือ ทรัพย์อันประเสริฐ ทรัพย์คือคุณธรรมประจำใจ อย่างประเสริฐ คือ
1. ศรัทธา ความเชื่อที่มีเหตุผล มั่นใจในหลักที่ถือและในการดีที่ทำ
3. ศีล การรักษากายวาจาให้เรียบร้อย ประพฤติถูกต้องดีงาม
3. หิริ ความละอายใจต่อการทำชั่ว
4. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อความชั่ว
5. พาหุสัจจะ ความเป็นผู้ได้ศึกษาเล่าเรียนมาก
6.จาคะ ความเสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
7. ปัญญา ความรู้ความเข้าใจถ่องแท้ในเหตุผล ดีชั่ว ถูกผิด คุณโทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ รู้คิด รู้พิจารณาและรู้ที่จะจัดทำ
อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐอยู่ภายในจิตใจ ดีกว่าทรัพย์ ภายนอก เพราะไม่มีผู้ใดแย่งชิง ไม่สูญหายไปด้วยภัยอันตรายต่างๆ ทำใจให้ไม่อ้างว้างยากจนและเป็นทุนสร้างทรัพย์ภายนอกได้ด้วย
ธรรม 7 นี้ เรียกอีกอย่างว่า พหุการธรรม หรือ ธรรม มีอุปการะมาก เพราะเป็นกำลังหนุนช่วยส่งเสริมในการบำเพ็ญ คุณธรรมต่างๆ ยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้สำเร็จได้อย่าง กว้างขวางไพบูลย์ เปรียบเหมือนคนมีทรัพย์มากย่อมสามารถใช้จ่าย ทรัพย์เลี้ยงตนเลี้ยงผู้อื่นให้มีความสุข และบำเพ็ญประโยชน์ต่างๆ ได้ เป็นอันมาก
ตามพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลศัพท์โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) ขยายความเกี่ยวกับอริยทรัพย์ไว้ว่า
ครูบาอาจารย์มักสอนเสมอว่า อริยทรัพย์ เป็นทรัพย์อันประเสริฐ ที่สามารถติดตัวเราไปได้ทุกภพทุกชาติตราบเท่าที่ยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ นอกไปจากนั้น ท่านยังสอนว่า สำหรับบุคคลอันเป็นที่รักเช่นพระอรหันต์ในบ้านคือคุณแม่คุณพ่อ (หรือกับบุคคลใดๆ ก็ตามที่เราสามารถชี้แนะได้) นอกจากเราจะตอบแทนพระคุณท่านด้วยการดูแลเอาใจใส่ ทะนุบำรุงท่านทางกายและด้วยความรักและกตัญญูแล้ว
สิ่งที่เป็นการทดแทนพระคุณอันประเสริฐยิ่งอีกก็คือ การชี้แนะหรือชักชวนให้ท่านได้ทำบุญทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา อีกอย่างก็คือ ชักชวนหรือนำให้ท่านได้สะสมอริยทรัพย์ไว้มากๆ
วันอาทิตย์ ที่ 1 เมษายน 2550
30มี.ค.รำลึกคาราวานคนจนล้อมเนชั่นล่าสุดอัยการสูงสุดสั่งฟ้อง
วันนี้( 16มี.ค.) มีข่าวดีครับพี่น้อง ....
อัยการสั่งฟ้องแล้ว 6 แกนนำคาราวานคนจน นำม็อบปิดล้อมอาคารเนชั่น
(16มีค.) นายอดิเรก ลุยวิกัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 มีคำสั่งให้ฟ้องนายคำตา แคนบุญจันทร์ อดีตแกนนำสมัชชาเกษตรรกรรายย่อยภาคอีสาน,นายอรรถฤทธิ์ สิงห์ลอ เลขาธิการคาราวานคนจน,นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน,นายธนวิชญ์ ปาละกวงศ์ ณ อยุธยา แกนนำร่วมคาราวานคนจน,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่กรุงเทพมหาคนคร และนายสำเริง อดิษะ แกนนนำร่วมคาราวานคนจน ผู้ต้องหาคดีนำม็อบคาราวานคนจน 1,000 คน ปิดล้อมอาคารเนชั่น ถนนบางนา-ตราด เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2549
โดยอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ตามสำนวนการสอบสวน และความเห็นของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางนา ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยข่มขู่ว่าจะทำให้เกิดอันตราย แก่กาย บุกรุก กักขังเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ และนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ขณะนี้ ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งหมด เตรียมหลักทรัพย์เพื่อยื่นขอประกันตัวต่อสู้คดีต่อไป
ที่มา - http://www.komchadluek.net/
งานนี้ไม่มีสมานฉันท์ครับพี่น้อง หากจะมีก็ต่อเมื่อคนทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษตามความผิดแล้ว ไม่ใช่ทำผิดกฎหมายแล้วยกมือขอโทษแล้วจบกันแบบนี้บ้านเมืองจะมีขื่อมีแปรหรือ
ฟังคลิปข่าวและเหตุการณ์วันนั้น - ระทึก7 ชั่วโมง ปิดบางนา-ตราด ล้อม ?คมชัดลึก?
และที่ http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/02/21/entry-11
วันศุกร์ ที่ 30 มีนาคม 2550
อัยการสั่งฟ้องแล้ว 6 แกนนำคาราวานคนจน นำม็อบปิดล้อมอาคารเนชั่น
(16มีค.) นายอดิเรก ลุยวิกัย อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญากรุงเทพใต้ 3 มีคำสั่งให้ฟ้องนายคำตา แคนบุญจันทร์ อดีตแกนนำสมัชชาเกษตรรกรรายย่อยภาคอีสาน,นายอรรถฤทธิ์ สิงห์ลอ เลขาธิการคาราวานคนจน,นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน,นายธนวิชญ์ ปาละกวงศ์ ณ อยุธยา แกนนำร่วมคาราวานคนจน,นายชินวัฒน์ หาบุญพาด นายกสมาคมพิทักษ์ผลประโยชน์ผู้ขับรถแท็กซี่กรุงเทพมหาคนคร และนายสำเริง อดิษะ แกนนนำร่วมคาราวานคนจน ผู้ต้องหาคดีนำม็อบคาราวานคนจน 1,000 คน ปิดล้อมอาคารเนชั่น ถนนบางนา-ตราด เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2549
โดยอัยการมีความเห็นสั่งฟ้องผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ตามสำนวนการสอบสวน และความเห็นของพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจนครบาลบางนา ในความผิดฐานร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่น โดยข่มขู่ว่าจะทำให้เกิดอันตราย แก่กาย บุกรุก กักขังเหนี่ยวผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพ และนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 ไปยื่นฟ้องต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ขณะนี้ ขณะที่ผู้ต้องหาทั้งหมด เตรียมหลักทรัพย์เพื่อยื่นขอประกันตัวต่อสู้คดีต่อไป
ที่มา - http://www.komchadluek.net/
งานนี้ไม่มีสมานฉันท์ครับพี่น้อง หากจะมีก็ต่อเมื่อคนทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษตามความผิดแล้ว ไม่ใช่ทำผิดกฎหมายแล้วยกมือขอโทษแล้วจบกันแบบนี้บ้านเมืองจะมีขื่อมีแปรหรือ
ฟังคลิปข่าวและเหตุการณ์วันนั้น - ระทึก7 ชั่วโมง ปิดบางนา-ตราด ล้อม ?คมชัดลึก?
และที่ http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/02/21/entry-11
วันศุกร์ ที่ 30 มีนาคม 2550
ธรรมะสำหรับวัยรุ่นปี50พระนักเทศน์รุ่นใหม่หัวใจใส่ไอที
วันนี้ (24มี.ค.) ได้อ่านรายงานเกี่ยวกับพระนักเทศน์ที่มีการประยุกต์สื่อโฆษณามาประกอบในการเทศน์ให้วัยรุ่นได้สนใจธรรมะมากยิ่งขึ้นทางหนังสือคมชัดลึก ทราบชื่อพระนักเทศน์รูปดังกวล่าวคือพระมหาสมปอง ตาลปุตโต วัดสร้อยทองกทม. จบปริญญาตรีพุทธศาสตร์บัณฑิต เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง เอกปรัญชา และปริญญาโท จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ถ้าใครได้ติดตามผลงานธรรมเดลิเวอรี่จากรายการต่าง ๆแล้วต้องทึ่งในความสามารถ ที่นำไอทีมาประยุกต์ได้อย่างน่าสนใจ แล้วพระไปเรียนที่ไหนถึงมีความสามารอย่างนี้ สมัยก่อนต้องบอกว่าต้องแอบเจ้าอาวาสไปเรียน แต่สมัยนี้ไม่ต้องแล้วทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ให้การสนับสนุนด้าน และก็มีผลงานอย่างที่เห็น
ธรรมะสำหรับวัยรุ่นปี 2550 ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่โง่ เเต่ถ้าฟัง "โปเตโต้" ถึงมี "รักเเท้เเต่ก็ดูเเลไม่ได้" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ตาใสเเจ่ม เเต่ถ้าฟัง "บอดี้สเเลม" มักจะโทษว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ เเต่ถ้าฟัง "พีซเมคเกอร์" จะละเมอถึงเเต่เรื่อง "บนเตียง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก เเต่ถ้าฟัง "เบิร์ด-เสก" ถึง "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย เเต่ถ้าฟัง "เสนาหอย" จะเเอบเหงาคนเดียว ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อเเละศรัทธา เเต่ถ้าฟัง "ทาทา" มักจะพูด ว่า "ไอ บีลีฟๆ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ เเต่ถ้าฟัง "ไฮเปอร์" มักจะเจอรักแท้ใน "คืนหลอกลวง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่เน่าเสีย เเต่ถ้าฟัง "นัท มีเรีย" มักจะโทษว่า "รักไม่ช่วยอะไร" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน เเต่ถ้าฟัง "เอ็นโดรฟิน" เเล้วจะบอกว่า "ถ้าเขามาฉันจะไป" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้ เเต่ถ้าฟัง "โปเตโต้" จะถูกต่อว่า "ปากดีนะเรา" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน เเต่ถ้าฟัง "น้องพั้นช์" เพียงเเค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ ไหลฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ เเต่ถ้าฟัง "ไฮเปอร์" มักจะเจอ "ผู้ร้ายคนใหม่" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน เเต่ถ้าฟัง "น้องพั้นช์" บอกได้คำเดียวว่า "ยิ่งกว่าเสียใจ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่าชีวิน เเต่ถ้าฟัง "เอ็นโดรฟิน" จะเป็นได้เเค่ "เพื่อนสนิท" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจใสเเจ่ม เเต่ถ้าฟัง "ว่าน วงเเพลม" จะตัดพ้อต่อว่า "ไม่บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เเรด เเต่ถ้าฟัง "บิ๊กเเอสส์" มักจะ "เล่นของสูง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส เเต่ถ้าฟัง "ติ๊ก ชีโร่" จะโอหังว่า "รักไม่ยอมเปลี่ยนเเปลง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง เเต่ถ้าฟัง "อาหรั่ง" จะคุ้มคลั่ง ว่า "ทำบ้า...ทำบ้าอะไร" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงเเค่หน้าตา เเต่ถ้าฟัง "ปนัดดา" ก็จะรู้เพียงว่า "ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่สั่นคลอน เเต่ถ้าฟัง "สุนทราภรณ์" เเล้วเธอจะรู้สึก!! ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เปลืองเเรงเเต่ถ้าฟัง "พรศักดิ์ ส่องเเสง" จะเปลืองเเรง เพราะ "มีเมียเด็ก" ต้องหมั่นตรวจเช็คใครโทรมา ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้สอบผ่านทุกๆ ปี เเต่ถ้าฟัง "เเอน สุชาวดี" มักจะ "ติด ร.วิชาลืม"
เหล่านี้คือประโยคธรรที่พระมหาสมปองได้ใช้ประกอบในการเทศเสมอ สามารถเข้าไปชมเว็บไซต์ได้ที่ http://www.dhammadelivery2.com
ขอกล่าวคำว่าอนุโมทนาสาธุกับรุ่นน้องด้วยที่มีความสามารถ ขอบคุณสถาบันการศึกษาแห่งนี้ที่สามารถเสกลูกชาวไร่ ชาวนา ให้มีคุณค่ากับสังคมได้ พวกเราไม่เคยทำตัวเป็นสวะของสังคม
วันอาทิตย์ ที่ 25 มีนาคม 2550
ถ้าใครได้ติดตามผลงานธรรมเดลิเวอรี่จากรายการต่าง ๆแล้วต้องทึ่งในความสามารถ ที่นำไอทีมาประยุกต์ได้อย่างน่าสนใจ แล้วพระไปเรียนที่ไหนถึงมีความสามารอย่างนี้ สมัยก่อนต้องบอกว่าต้องแอบเจ้าอาวาสไปเรียน แต่สมัยนี้ไม่ต้องแล้วทางมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณ์ราชวิทยาลัย ให้การสนับสนุนด้าน และก็มีผลงานอย่างที่เห็น
ธรรมะสำหรับวัยรุ่นปี 2550 ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่โง่ เเต่ถ้าฟัง "โปเตโต้" ถึงมี "รักเเท้เเต่ก็ดูเเลไม่ได้" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ตาใสเเจ่ม เเต่ถ้าฟัง "บอดี้สเเลม" มักจะโทษว่า "ความรักทำให้คนตาบอด" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เพ้อเจ้อ เเต่ถ้าฟัง "พีซเมคเกอร์" จะละเมอถึงเเต่เรื่อง "บนเตียง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ปากเราติดดิสเบรก เเต่ถ้าฟัง "เบิร์ด-เสก" ถึง "อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เหงาหงอย เเต่ถ้าฟัง "เสนาหอย" จะเเอบเหงาคนเดียว ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่งมงายในความเชื่อเเละศรัทธา เเต่ถ้าฟัง "ทาทา" มักจะพูด ว่า "ไอ บีลีฟๆ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันอย่างไม่ต้องนอนละเมอ เเต่ถ้าฟัง "ไฮเปอร์" มักจะเจอรักแท้ใน "คืนหลอกลวง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่เน่าเสีย เเต่ถ้าฟัง "นัท มีเรีย" มักจะโทษว่า "รักไม่ช่วยอะไร" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้รักกันจนสิ้นชีวิน เเต่ถ้าฟัง "เอ็นโดรฟิน" เเล้วจะบอกว่า "ถ้าเขามาฉันจะไป" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราไม่คุยโม้ เเต่ถ้าฟัง "โปเตโต้" จะถูกต่อว่า "ปากดีนะเรา" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรามีสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน เเต่ถ้าฟัง "น้องพั้นช์" เพียงเเค่วางมือบนบ่า น้ำตาก็ ไหลฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเจอคนดีเสมอ เเต่ถ้าฟัง "ไฮเปอร์" มักจะเจอ "ผู้ร้ายคนใหม่" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เราเข้าใจกัน เเต่ถ้าฟัง "น้องพั้นช์" บอกได้คำเดียวว่า "ยิ่งกว่าเสียใจ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้เรารักกันยิ่งกว่าชีวิน เเต่ถ้าฟัง "เอ็นโดรฟิน" จะเป็นได้เเค่ "เพื่อนสนิท" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจใสเเจ่ม เเต่ถ้าฟัง "ว่าน วงเเพลม" จะตัดพ้อต่อว่า "ไม่บอกให้รู้สักเรื่องได้ไหม" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เเรด เเต่ถ้าฟัง "บิ๊กเเอสส์" มักจะ "เล่นของสูง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่หยิ่งยะโส เเต่ถ้าฟัง "ติ๊ก ชีโร่" จะโอหังว่า "รักไม่ยอมเปลี่ยนเเปลง" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้จิตใจเปล่งปลั่ง เเต่ถ้าฟัง "อาหรั่ง" จะคุ้มคลั่ง ว่า "ทำบ้า...ทำบ้าอะไร" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ดีที่ใจมิใช่เพียงเเค่หน้าตา เเต่ถ้าฟัง "ปนัดดา" ก็จะรู้เพียงว่า "ขอเป็นคนเลวที่รักเธอ" ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ใจไม่สั่นคลอน เเต่ถ้าฟัง "สุนทราภรณ์" เเล้วเธอจะรู้สึก!! ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้ไม่เปลืองเเรงเเต่ถ้าฟัง "พรศักดิ์ ส่องเเสง" จะเปลืองเเรง เพราะ "มีเมียเด็ก" ต้องหมั่นตรวจเช็คใครโทรมา ฟังธรรมะเเล้วจะทำให้สอบผ่านทุกๆ ปี เเต่ถ้าฟัง "เเอน สุชาวดี" มักจะ "ติด ร.วิชาลืม"
เหล่านี้คือประโยคธรรที่พระมหาสมปองได้ใช้ประกอบในการเทศเสมอ สามารถเข้าไปชมเว็บไซต์ได้ที่ http://www.dhammadelivery2.com
ขอกล่าวคำว่าอนุโมทนาสาธุกับรุ่นน้องด้วยที่มีความสามารถ ขอบคุณสถาบันการศึกษาแห่งนี้ที่สามารถเสกลูกชาวไร่ ชาวนา ให้มีคุณค่ากับสังคมได้ พวกเราไม่เคยทำตัวเป็นสวะของสังคม
วันอาทิตย์ ที่ 25 มีนาคม 2550
จตุคามรามเทพฟรีเวอร์-ปลอมสะท้อนศรัทธาชาวพุทธ
เมื่อคืนวันที่ 9 มีนาคม รายการ "คม ชัด ลึก" ทางเนชั่น แชลนัล ได้จัดเรื่อง"จตุคามรามเทพ" ที่กำลังฟรีเวอร์และมีการกล่าวหามีการปลอมเกิดขึ้น
(พระพุทธรูปปางนาคปรก)
(พุทธศิลป์ย้อนยุค วัดนาสน จังหวัดนครศรีธรรมราช)
(ของปลอม)
พล.ต.ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนมองว่าเป็นกระแสศรัทธา และกระแสศรัทธาก็ปั่นได้แต่ขาดวิจารณญาณ จึงขอให้เชื่อในเหตุในผล ถ้าเป็นพุทธคุณแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่จึงมองว่าที่เกิดเหตุเช่นนี้ เพราะเป็นชาวพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน ไม่มีการศึกษาหลักคำสอน ละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
(รุ่นอธิฐาน วัดวังตะวันออก จ.นครศรีธรรมราช)
นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพพระเครื่อง กล่าววว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยหลวงปู่แหวน หลวงพ่อเปิ่น หรือหลวงพ่อคูณ ก็มีการสร้างกัน 3-4 พันรุ่น เมื่อถึงยุคไหนก็ตามเมื่อเส้นกราฟขึ้นสูงสุด จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีก็จะเข้าสู่วัฏจักร เช่นเดียวกับหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ที่การสร้างก็จะลดน้อยลงไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
(รุ่นมรดกมหาเศรษฐี วัดช่องแสมสาร)
"ป๋อง สุพรรณ" แฟนพันธุ์แท้พระเครื่องผี 2003 กล่าวว่า พระเครื่องที่ผ่านมาไม่เคยมีองค์ไหนที่โด่งดังศรัทธาเท่าองค์จตุคามรามเทพ แต่ต้องบอกว่าเห็นใจพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนไม่รู้จะพึ่งใคร จึงไปแสวงหาวัตถุมงคลมาเป็นที่พึ่ง เพราะขอให้ ไหว้รับ แต่อย่าขออะไรเกินจริง ที่บอกว่ามีการปั่นกระแสนั้น ยอมรับว่าสื่อก็มีส่วน แต่การโฆษณาก็ไม่ใช่ว่าจะเกินเลย ตนมองว่าคนที่ห้อยพระเครื่องต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลความดี
(รุ่นอภิมหาเศรษฐีอัญมณีเสริมดวง)
"เขมณัฏฐ์ หล่อศรีศุภชัย" ตัวแทนสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ผู้เขียนหนังสือจตุคามรามเทพ เจ้าของนามปากกา คเณศพร กล่าวว่า องค์จตุคามรามเทพมี เป็นองค์ที่บรรลุธรรมชั้นจักรวาลพรหม เคร่งครัด และศรัทธาในพระศาสนามาก คำว่าจตุคามศาสตร์เป็นศาสตร์หนึ่งในคัมภีร์พระเวทย์
(รุ่นรักพ่อ เนื้อว่านมหามงคล สีขาว)
"ผมมองว่ากระแสจตุคามรามเทพในขณะนี้เป็นช่วงที่ผิดปกติ เพราะบ้านเมืองผิดปกติ จิตใจมนุษย์จิตตก ทุกอย่างวุ่นวายต้องการที่พึ่ง ประกอบกับเป็นของใหม่เมื่อมีองค์จตุคามขึ้นมาและค่อนข้างมีผลในช่วงนี้ เพราะจิตใจมนุษย์ขณะนี้แย่มาก อย่างไรก็ตามกระแสองค์จตุคามปี 30 มาจาก 2 กระแสที่คนสิงคโปร์มากว้านซื้อ และอีกกระแสคือผู้นำระดับชาติสนใจจึงเช่ามา จึงทำให้จตุคามปี 30 ถูกกวาดไปในพริบตา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาในปี 47 48 และ 49" ผู้เขียนหนังสือจตุคามรามเทพ
(รุ่น ๑๒ นักษัตร)
สำหรับมหาเนชั่น เปรียญธรรม 5 ประโยค พุทธศาสตร์บัณฑิต เอกปรัชญา ยอมรับในความเป็นศิลป์ของแม่พิมพ์จตุคามรามเทพว่ามีความสวยงามมาก มีลีล่าดีเหมือนกับคนชื่อทักษิณ ทำให้คนเห็นหลงไหล แต่สำหรับมหาเนชั่นมีพุทธศิลป์อยู่ในหัวใน จตุคามรามเทพมีจุดเด่นประการหนึ่งคือมีพญานาคเป็นองค์ประกอบของพิมพ์ พระพุทธรูปก็มีปางนาคปรก ลายศิลป์ก็สวยงามไม่แพ้กัน
(พิธีปลุกเสกรุ่นรักพ่อในเรือดำน้ำกลางทะเลอ่าวพัทยา)
หากจะพูดถึงพุทธศิลป์แล้ว พระพุทธรูปสมัยคันธราษฎร์ นาลันทา ในประเทศอินเดียถือว่ามีความสวยงามมาก หรือที่ใกล้ ๆ กับเมืองคอนก็คือ ที่วัดธารน้ำไหล ของพระพุทธทาส ก็มีองค์พระที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน เป็นแต่เพียงไม่มีใครไปปลุกเสกจึงไม่โด่งดังด้านวัตถุมงคล แต่สิ่งที่พระพุทธทาสได้เสกตลอดชีวิตของท่านก็คือให้ชาวพุทธได้น้อมนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีประโยชน์
(รุ่น จักรพรรดิมหาราช)
แต่เมื่อจตุคามรามเทพฟรีเวอร์เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ชาวพุทธพร้อมที่จะเปลียนในไปยึดถือในสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเองระยะเวลาอันใกล้ ทำให้นึกถึงพระพุทธศาสนาที่เสื่อมจากประเทศอินเดียก็เพราะชาวพุทธมีศรัทธาในลักษณะเช่นนี้ พอพวกพราหมณ์ได้มีการแต่งพระเวทดึงเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปเป็นปางหนึ่งของพระนารายน์ ในที่สุดชาวพุทธก็หมดไปจากประเทศอินเดีย จึงมีต้องรื้อฟื้นภายหลัง
(รุ่น 108 เบญจมราชูทิศ" นครศรีธรรมราช)
(รุ่น 108 เบญจมราชูทิศ" นครศรีธรรมราช)
("รุ่นโคตรเศรษฐี" วัดโพธิ์แก้วประสิทธิ์ )
(ของดร.ไมตรี บุญส่ง)
(รุ่นทูลเกล้าฯ กดในพิธี 6 ซม.วัดหงษ์ประดิษฐาราม จ.สงขลา)
(รุ่นพุทธศิลป์ย้อนยุค วัดนาสน จ.นครศรีธรรมราช)
(รุ่นเทวดารักษาเมืองค.ศ.2005)
ภาพรวบรวมจากศูนย์ภาพเนชั่นตั้งแต่ค.ศ.2005-7
สามารถติดตามทางเว็บไซต์ได้ที่ http://www.RAKMUANG30.COM/
แต่อย่าลืมศึกษาด้วยปัญญายึดหลักกาลามสูตรและศึกษาธรรมเพิ่มได้ที่http://www.budpage.com
ที่มา - http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/03/24/entry-5
วันเสาร์ ที่ 24 มีนาคม 2550
(พระพุทธรูปปางนาคปรก)
(พุทธศิลป์ย้อนยุค วัดนาสน จังหวัดนครศรีธรรมราช)
(ของปลอม)
พล.ต.ทองขาว พ่วงรอดพันธุ์ รองเลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตนมองว่าเป็นกระแสศรัทธา และกระแสศรัทธาก็ปั่นได้แต่ขาดวิจารณญาณ จึงขอให้เชื่อในเหตุในผล ถ้าเป็นพุทธคุณแล้วไม่มีเปลี่ยนแปลง แต่จึงมองว่าที่เกิดเหตุเช่นนี้ เพราะเป็นชาวพุทธแค่ในทะเบียนบ้าน ไม่มีการศึกษาหลักคำสอน ละชั่วทำดี ทำจิตใจให้ผ่องใส
(รุ่นอธิฐาน วัดวังตะวันออก จ.นครศรีธรรมราช)
นายวัชรพงศ์ ระดมสิทธิพัฒน์ นายกสมาคมผู้สื่อข่าวและช่างภาพพระเครื่อง กล่าววว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยหลวงปู่แหวน หลวงพ่อเปิ่น หรือหลวงพ่อคูณ ก็มีการสร้างกัน 3-4 พันรุ่น เมื่อถึงยุคไหนก็ตามเมื่อเส้นกราฟขึ้นสูงสุด จะใช้ระยะเวลาไม่เกิน 2 ปีก็จะเข้าสู่วัฏจักร เช่นเดียวกับหลวงพ่อทวดวัดช้างไห้ ที่การสร้างก็จะลดน้อยลงไป ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ
(รุ่นมรดกมหาเศรษฐี วัดช่องแสมสาร)
"ป๋อง สุพรรณ" แฟนพันธุ์แท้พระเครื่องผี 2003 กล่าวว่า พระเครื่องที่ผ่านมาไม่เคยมีองค์ไหนที่โด่งดังศรัทธาเท่าองค์จตุคามรามเทพ แต่ต้องบอกว่าเห็นใจพี่น้องประชาชนที่เดือดร้อนไม่รู้จะพึ่งใคร จึงไปแสวงหาวัตถุมงคลมาเป็นที่พึ่ง เพราะขอให้ ไหว้รับ แต่อย่าขออะไรเกินจริง ที่บอกว่ามีการปั่นกระแสนั้น ยอมรับว่าสื่อก็มีส่วน แต่การโฆษณาก็ไม่ใช่ว่าจะเกินเลย ตนมองว่าคนที่ห้อยพระเครื่องต้องตั้งมั่นอยู่ในศีลความดี
(รุ่นอภิมหาเศรษฐีอัญมณีเสริมดวง)
"เขมณัฏฐ์ หล่อศรีศุภชัย" ตัวแทนสมาคมผู้นิยมพระเครื่องพระบูชาไทย ผู้เขียนหนังสือจตุคามรามเทพ เจ้าของนามปากกา คเณศพร กล่าวว่า องค์จตุคามรามเทพมี เป็นองค์ที่บรรลุธรรมชั้นจักรวาลพรหม เคร่งครัด และศรัทธาในพระศาสนามาก คำว่าจตุคามศาสตร์เป็นศาสตร์หนึ่งในคัมภีร์พระเวทย์
(รุ่นรักพ่อ เนื้อว่านมหามงคล สีขาว)
"ผมมองว่ากระแสจตุคามรามเทพในขณะนี้เป็นช่วงที่ผิดปกติ เพราะบ้านเมืองผิดปกติ จิตใจมนุษย์จิตตก ทุกอย่างวุ่นวายต้องการที่พึ่ง ประกอบกับเป็นของใหม่เมื่อมีองค์จตุคามขึ้นมาและค่อนข้างมีผลในช่วงนี้ เพราะจิตใจมนุษย์ขณะนี้แย่มาก อย่างไรก็ตามกระแสองค์จตุคามปี 30 มาจาก 2 กระแสที่คนสิงคโปร์มากว้านซื้อ และอีกกระแสคือผู้นำระดับชาติสนใจจึงเช่ามา จึงทำให้จตุคามปี 30 ถูกกวาดไปในพริบตา จนต้องมีการสร้างขึ้นมาในปี 47 48 และ 49" ผู้เขียนหนังสือจตุคามรามเทพ
(รุ่น ๑๒ นักษัตร)
สำหรับมหาเนชั่น เปรียญธรรม 5 ประโยค พุทธศาสตร์บัณฑิต เอกปรัชญา ยอมรับในความเป็นศิลป์ของแม่พิมพ์จตุคามรามเทพว่ามีความสวยงามมาก มีลีล่าดีเหมือนกับคนชื่อทักษิณ ทำให้คนเห็นหลงไหล แต่สำหรับมหาเนชั่นมีพุทธศิลป์อยู่ในหัวใน จตุคามรามเทพมีจุดเด่นประการหนึ่งคือมีพญานาคเป็นองค์ประกอบของพิมพ์ พระพุทธรูปก็มีปางนาคปรก ลายศิลป์ก็สวยงามไม่แพ้กัน
(พิธีปลุกเสกรุ่นรักพ่อในเรือดำน้ำกลางทะเลอ่าวพัทยา)
หากจะพูดถึงพุทธศิลป์แล้ว พระพุทธรูปสมัยคันธราษฎร์ นาลันทา ในประเทศอินเดียถือว่ามีความสวยงามมาก หรือที่ใกล้ ๆ กับเมืองคอนก็คือ ที่วัดธารน้ำไหล ของพระพุทธทาส ก็มีองค์พระที่มีความสวยงามไม่แพ้กัน เป็นแต่เพียงไม่มีใครไปปลุกเสกจึงไม่โด่งดังด้านวัตถุมงคล แต่สิ่งที่พระพุทธทาสได้เสกตลอดชีวิตของท่านก็คือให้ชาวพุทธได้น้อมนำหลักธรรมในพระพุทธศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างมีประโยชน์
(รุ่น จักรพรรดิมหาราช)
แต่เมื่อจตุคามรามเทพฟรีเวอร์เกิดขึ้นแสดงให้เห็นว่า ชาวพุทธพร้อมที่จะเปลียนในไปยึดถือในสิ่งที่ให้ประโยชน์แก่ตัวเองระยะเวลาอันใกล้ ทำให้นึกถึงพระพุทธศาสนาที่เสื่อมจากประเทศอินเดียก็เพราะชาวพุทธมีศรัทธาในลักษณะเช่นนี้ พอพวกพราหมณ์ได้มีการแต่งพระเวทดึงเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปเป็นปางหนึ่งของพระนารายน์ ในที่สุดชาวพุทธก็หมดไปจากประเทศอินเดีย จึงมีต้องรื้อฟื้นภายหลัง
(รุ่น 108 เบญจมราชูทิศ" นครศรีธรรมราช)
(รุ่น 108 เบญจมราชูทิศ" นครศรีธรรมราช)
("รุ่นโคตรเศรษฐี" วัดโพธิ์แก้วประสิทธิ์ )
(ของดร.ไมตรี บุญส่ง)
(รุ่นทูลเกล้าฯ กดในพิธี 6 ซม.วัดหงษ์ประดิษฐาราม จ.สงขลา)
(รุ่นพุทธศิลป์ย้อนยุค วัดนาสน จ.นครศรีธรรมราช)
(รุ่นเทวดารักษาเมืองค.ศ.2005)
ภาพรวบรวมจากศูนย์ภาพเนชั่นตั้งแต่ค.ศ.2005-7
สามารถติดตามทางเว็บไซต์ได้ที่ http://www.RAKMUANG30.COM/
แต่อย่าลืมศึกษาด้วยปัญญายึดหลักกาลามสูตรและศึกษาธรรมเพิ่มได้ที่http://www.budpage.com
ที่มา - http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/03/24/entry-5
วันเสาร์ ที่ 24 มีนาคม 2550
ล้วงลูกพิธีแต่งงานนักข่าว-สาวบ้านนาแบบเขมร
ทราบ "อ๋อย" กฤษณะ ไชยรัตน์ จะแต่งงานวันที่ 31 มีนาคนนี้ ในบล็อกโอเคเนชั่น พร้อมกับมีการนำรูปมาประกอบดูแล้วสวยงามมาก ทำให้นึกถึงการแต่งงานของคู่บ่างสาวคู่หนึ่ง เมื่อวันที่ 28 เมษายน พ.ศ.2537 ที่บ้านกระหาด ต.ตระแสง อ.เมือง จ.สุรินทร์ ระหว่างนักข่าวประจำกระทรวงศึกษาธิการกับสาวเมืองสุรินทร์ จึงได้ไปล้วงนำภาพและบรรยากาศในงานมาอวด เพราะเป็นการแต่งตามประเพณีเขมรโบราณ แขกผู้ใหญ่ และชาวบ้านที่ไปร่วมงานต่างแต่งตัวย้อนยุคดูแล้วอลังการดี
เปิดตัวเจ้าสาว
เจ้าสาวต้อนรับเจ้าบ่าวด้วยให้เคี้ยวหมาก
เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญ
เจ้าบ่าวหาบฟืนเจ้าสาวหาบน้ำไปบ้านเจ้าบ่าว
แขกผู้ใหญ่จากกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร รมว.ศธ.สมัยนั้น เป็นเจ้าภาพแต่งตัวแบบเขมรโบราณ
แขกผู้ใหญ่ภายในบ้านเจ้าบ่าว อาจารย์โกวิท วรพิพัฒน์ ปลัด ศธ.ถัดจากท่านสัมพันธ์
อาจาย์สาวิตรี สวามิภักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับราชภัฏสุรินทร์ แม่งานใหญ่จัดพิธีครั้งนี้
ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่งตัวแบบเขมรโบราณ
ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่งตัวแบบเขมรโบราณ
เจ้าบ่าวเจ้าสาวถ่ายภาพกับนายสัมพันธ์ ทองสมัคร ผู้บริหาร ศธ .และผู้ว่าฯสุรินทร์ขนณะนั้น
คลิ๊ก อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีการแต่งงานแบบเขมร
และ http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/03/23/entry-10
วันศุกร์ ที่ 23 มีนาคม 2550
เปิดตัวเจ้าสาว
เจ้าสาวต้อนรับเจ้าบ่าวด้วยให้เคี้ยวหมาก
เข้าพิธีบายศรีสู่ขวัญ
เจ้าบ่าวหาบฟืนเจ้าสาวหาบน้ำไปบ้านเจ้าบ่าว
แขกผู้ใหญ่จากกระทรวงศึกษาธิการ อาทิ นายสัมพันธ์ ทองสมัคร รมว.ศธ.สมัยนั้น เป็นเจ้าภาพแต่งตัวแบบเขมรโบราณ
แขกผู้ใหญ่ภายในบ้านเจ้าบ่าว อาจารย์โกวิท วรพิพัฒน์ ปลัด ศธ.ถัดจากท่านสัมพันธ์
อาจาย์สาวิตรี สวามิภักดิ์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับราชภัฏสุรินทร์ แม่งานใหญ่จัดพิธีครั้งนี้
ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่งตัวแบบเขมรโบราณ
ผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการต่งตัวแบบเขมรโบราณ
เจ้าบ่าวเจ้าสาวถ่ายภาพกับนายสัมพันธ์ ทองสมัคร ผู้บริหาร ศธ .และผู้ว่าฯสุรินทร์ขนณะนั้น
คลิ๊ก อ่านรายละเอียดเกี่ยวกับพิธีการแต่งงานแบบเขมร
และ http://www.oknation.net/blog/mhanation/2007/03/23/entry-10
วันศุกร์ ที่ 23 มีนาคม 2550
น้ำท่วมหลังเป็ดเขียนพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติในรธน.
เห็นมีกลุ่มคนที่ระบุเป็นชาวพุทธออกมาเป็นเคลื่อนไหวต้องการให้มีการกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญว่าพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ขณะเดียวกันก็มีคนออกมาคัดค้าน
ทั้งสองฝ่ายจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ขอบอกว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปกำหนดไว้เช่นนั้น ดูอย่างการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นคนกลุ่มเดิมด้วยซ้ำ แต่แล้วออกมาก็การเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่มีความหมาย
ผู้ที่ระบุตัวเองเป็นชาวพุทธควรจะอยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะยิ่งออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่าใด ก็แสดงถึง"ตัณหา" ความอยากของคนที่ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่านั้น ประกอบกับรัฐธรรมนูญที่เขียนกันนั้นก็ไม่ใช่ยาวิเศษ ตราบใดเนื้อหาในรัฐธรรมนูญอยู่ในจิตใจของคนไทยน้อยมาก
และยังมีความคิดว่า รัฐธรรมนูญของไทยแต่ละฉบับนั้นมีมูลค่าในการร่างหลายล้านบาท นำเงินส่วนนี้มาพัฒนาประเทศยังจะเกิดประโยชน์มากกว่า ขณะเดียวกันเมื่อไรประเทศไทยถึงจะเขียนกติกาของบ้านเมืองเสร็จเสียที เพราะตั้งแต่ที่จำความได้ก็มีการเขียนกันอยู่นั้นหละไม่จบเสียที ประเทศสหรัฐ อังกฤษ เขามีการร่างกันแบบนี้บ้างหรือเปล่าหว่า
วันพฤหัสบดี ที่ 22 มีนาคม 2550
ทั้งสองฝ่ายจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม แต่ขอบอกว่าคงเป็นไปไม่ได้ที่จะไปกำหนดไว้เช่นนั้น ดูอย่างการร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ก็มีกลุ่มคนออกมาเคลื่อนไหวเช่นนี้ ดูเหมือนจะเป็นคนกลุ่มเดิมด้วยซ้ำ แต่แล้วออกมาก็การเคลื่อนไหวนั้นก็ไม่มีความหมาย
ผู้ที่ระบุตัวเองเป็นชาวพุทธควรจะอยู่เฉยๆ ดีกว่า เพราะยิ่งออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่าใด ก็แสดงถึง"ตัณหา" ความอยากของคนที่ออกมาเคลื่อนไหวมากขึ้นเท่านั้น ประกอบกับรัฐธรรมนูญที่เขียนกันนั้นก็ไม่ใช่ยาวิเศษ ตราบใดเนื้อหาในรัฐธรรมนูญอยู่ในจิตใจของคนไทยน้อยมาก
และยังมีความคิดว่า รัฐธรรมนูญของไทยแต่ละฉบับนั้นมีมูลค่าในการร่างหลายล้านบาท นำเงินส่วนนี้มาพัฒนาประเทศยังจะเกิดประโยชน์มากกว่า ขณะเดียวกันเมื่อไรประเทศไทยถึงจะเขียนกติกาของบ้านเมืองเสร็จเสียที เพราะตั้งแต่ที่จำความได้ก็มีการเขียนกันอยู่นั้นหละไม่จบเสียที ประเทศสหรัฐ อังกฤษ เขามีการร่างกันแบบนี้บ้างหรือเปล่าหว่า
วันพฤหัสบดี ที่ 22 มีนาคม 2550
ราษฎรชั้น 2
รัฐบาลภายใต้การนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้ามาบริหารประเทศ ได้ประกาศสงครามกับยาเสพติด ความยากจน และการทุจริตคอรัปชั่นและผู้มีอิทธิพล รัฐบาลได้ประกาศชัยชนะกับการทำสงครามกับยาเสพติดมาแล้ว พร้อมขีดเส้นให้ผู้มีอาวุธสงครามเข้ามามอบกับทางราชการ เมื่อวันที่ 15 ธันวาคมที่ผ่านมา ส่วนการทำสงครามกับความยากจน โดยได้ประกาศจะใช้เวลา 6 ปี คนจนในแผ่นดินนี้จะต้องหมดไป
บันไดขั้นต้นก็คือ รัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่จดทะเบียบคนจน เพื่อสำรวจตัวเลขให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าใด โดยเปิดรับ 7 กลุ่ม คือ 1.ผู้ประสบปัญหาที่ดินทำกิน 2.คนเร่ร่อน 3.ผู้ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย 4.การให้ความช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาให้มีรายได้จากอาชีพที่เหมาะสม 5.ปัญหาการถูกหลอกลวง 6.ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน และ 7.ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจน
และต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง หรือมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง แต่ไม่เพียงพอประกอบอาชีพ หรือประกอบอาชีพอื่นที่เป็นการสนับสนุน หรือต่อเนื่องกับการปฏิรูปที่ดิน โดยกรณีมีที่ดินอยู่แล้ว และกรณีประกอบอาชีพอื่นนั้น จะต้องเป็นผู้ถือครองที่ดินเดิมอยู่แล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สปก.เท่านั้น
เมื่อรัฐบาลได้นิยามคำว่า "คนจน" เช่นนี้ นักวิชาการจึงได้ออกมาติงว่า "เป็นคำนิยามผิดไป" เพราะคนจนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร แม้รัฐจะแจกมีที่ดินให้เพื่อทำการเกษตร แต่เกษตรกรไม่มีเงินลงทุน ก็ต้องไปกู้จนเป็นหนี้อีก
ยังมีคนจนอีกประเภทหนึ่งที่มีงานทำทั้งในภาครัฐและเอกชน เสียภาษีให้กับรัฐ จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 600 บาท สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนจนทั่วๆ ไป ต้องหาเช้ากินค่ำ เงินเดือนที่ได้รับก็ชนเดือนหรือไม่พอกับรายจ่าย จำเป็นต้องกู้เงินทั้งในและนอกระบบเหมือนกับคนจนทั่วไป
เวลาคนจนประเภทนี้ป่วยแทนที่จะได้รับการบริการที่ดีจากโรงพยาบาล เท่ากับเม็ดเงินประกันสังคมที่จ่ายไป แต่กลับมีเสียงสะท้อนออกมาว่า ได้รับการบริการด้อยกว่าบุคคลที่จ่ายเงินหรือมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ยาที่ได้รับก็น้อยมาก รับประทานได้เพียง 3 วันก็หมดแล้ว และคุณภาพของยาต่ำ มีสภาพไม่ต่างอะไรกับหนูทดลองยา หรือแม้แต่ซองที่ใส่ยาก็แตกต่างกัน
ถ้าเป็นคนที่ใช้เงินสดจ่าย ทางโรงพยาบาลก็จะใส่ซองอย่างดี หากเป็นคนป่วยที่ใช้บัตรประกันสังคม ก็จะใส่ถุงพลาสติกเหมือนกับถุงใส่สินค้าทั่วๆ ไป
คนจนประเภทนี้จึงมีสภาพเป็นราษฎรชั้น 2 ที่ถูกเลือกปฏิบัติจากภาครัฐ ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐเท่าที่ควร โครงการเอื้ออาทรต่างๆ ก็มาไม่ถึง เสียงสะท้อนเหล่านี้ขอเพียงความเสมอภาคจากรัฐเท่านั้น
......
มหาเนชั่น
samran@nationgroup.com
วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.2003 คมชัดลึก
วันจันทร์ ที่ 19 มีนาคม 2550
บันไดขั้นต้นก็คือ รัฐบาลได้มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำหน้าที่จดทะเบียบคนจน เพื่อสำรวจตัวเลขให้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าใด โดยเปิดรับ 7 กลุ่ม คือ 1.ผู้ประสบปัญหาที่ดินทำกิน 2.คนเร่ร่อน 3.ผู้ประกอบอาชีพผิดกฎหมาย 4.การให้ความช่วยเหลือนักเรียน/นักศึกษาให้มีรายได้จากอาชีพที่เหมาะสม 5.ปัญหาการถูกหลอกลวง 6.ปัญหาหนี้สินภาคประชาชน และ 7.ปัญหาที่อยู่อาศัยของคนจน
และต้องมีคุณสมบัติเป็นผู้ที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง หรือมีที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง แต่ไม่เพียงพอประกอบอาชีพ หรือประกอบอาชีพอื่นที่เป็นการสนับสนุน หรือต่อเนื่องกับการปฏิรูปที่ดิน โดยกรณีมีที่ดินอยู่แล้ว และกรณีประกอบอาชีพอื่นนั้น จะต้องเป็นผู้ถือครองที่ดินเดิมอยู่แล้ว และอยู่ระหว่างการพิจารณาของ สปก.เท่านั้น
เมื่อรัฐบาลได้นิยามคำว่า "คนจน" เช่นนี้ นักวิชาการจึงได้ออกมาติงว่า "เป็นคำนิยามผิดไป" เพราะคนจนส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร แม้รัฐจะแจกมีที่ดินให้เพื่อทำการเกษตร แต่เกษตรกรไม่มีเงินลงทุน ก็ต้องไปกู้จนเป็นหนี้อีก
ยังมีคนจนอีกประเภทหนึ่งที่มีงานทำทั้งในภาครัฐและเอกชน เสียภาษีให้กับรัฐ จ่ายเงินประกันสังคมทุกเดือนอย่างน้อยเดือนละ 600 บาท สภาพความเป็นอยู่ก็ไม่ได้แตกต่างจากคนจนทั่วๆ ไป ต้องหาเช้ากินค่ำ เงินเดือนที่ได้รับก็ชนเดือนหรือไม่พอกับรายจ่าย จำเป็นต้องกู้เงินทั้งในและนอกระบบเหมือนกับคนจนทั่วไป
เวลาคนจนประเภทนี้ป่วยแทนที่จะได้รับการบริการที่ดีจากโรงพยาบาล เท่ากับเม็ดเงินประกันสังคมที่จ่ายไป แต่กลับมีเสียงสะท้อนออกมาว่า ได้รับการบริการด้อยกว่าบุคคลที่จ่ายเงินหรือมีกรมธรรม์ประกันชีวิต ยาที่ได้รับก็น้อยมาก รับประทานได้เพียง 3 วันก็หมดแล้ว และคุณภาพของยาต่ำ มีสภาพไม่ต่างอะไรกับหนูทดลองยา หรือแม้แต่ซองที่ใส่ยาก็แตกต่างกัน
ถ้าเป็นคนที่ใช้เงินสดจ่าย ทางโรงพยาบาลก็จะใส่ซองอย่างดี หากเป็นคนป่วยที่ใช้บัตรประกันสังคม ก็จะใส่ถุงพลาสติกเหมือนกับถุงใส่สินค้าทั่วๆ ไป
คนจนประเภทนี้จึงมีสภาพเป็นราษฎรชั้น 2 ที่ถูกเลือกปฏิบัติจากภาครัฐ ไม่ได้รับการดูแลจากภาครัฐเท่าที่ควร โครงการเอื้ออาทรต่างๆ ก็มาไม่ถึง เสียงสะท้อนเหล่านี้ขอเพียงความเสมอภาคจากรัฐเท่านั้น
......
มหาเนชั่น
samran@nationgroup.com
วันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ.2003 คมชัดลึก
วันจันทร์ ที่ 19 มีนาคม 2550
โอ้ย.....แม่ก็บ้า..พ่อก็เป็นโรคประสาทแล้วลูกหละ
พ่อ "ดาว มยุรี" นักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ถูกหนุ่มสติไม่สมประกอบรำอีโต้ฟันคอขาดกระเด็นไกล 3 เมตร นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ย่านงามวงศ์วาน ถูกแม่และพี่ชายส่งตัวเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา ทั้ง ๆ ที่เคยปฏิบัติธรรม
โรงพยาบาลโรคจิตก็มีคนป่วยเพิ่มขึ้นทุกวันเป็นเพราะอะไร กรรมพันธุ์หรือสังคมเป็นตัวบีบ แล้วรู้สึกของญาติของผู้ป่วยโรคจิตหละเป็นอย่างไร
ขอนำประสบการณ์ของบุคคลคนหนึ่งที่ แม่ถูกพ่อพาไปรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กทม.ทั้งแต่เขายังเด็ก เพราะแม่คลอดน้องตกเลือด หรือที่เขาเรียกว่าบ้าเลือด เขาต้องอยู่กับญาติและดูแลน้องเป็นแรมปี โดยพ่อปล่อยอาศรัยอยู่กับญาติ พ่อก็เทียวไปกลับระหวังจังหวัดเพชรบูรณ์กับ กทม. ไม่ได้มีเวลาดูแลลูกมากหนัก ลองนึกดูว่าเด็กที่อาศรัยอยู่บ้านของคนอื่นจะเป็นอย่างไร คงได้รับความอบอุ่นมากๆๆๆๆ
แม่หายดีกลับบ้านไม่นานก็มีน้องก็ตกเลือดอีก พ่อก็ต้องพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเช่นเดิม เพราะพิษของโรคเลือดส่งผลให้แม่มีสภาพจิตที่ย่ำแย่ และสติก็ไม่สมบูรณ์นัก ส่วนพ่อเองก็เครียดกินเหล้า นาน ๆ ไปก็ติดเหล้า มีปัญหาทั้งครอบครัว และภายนอก ในที่สุดก็ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคน ต้องหนีคดี ครอบครัวก็แตกแยก ทั้งเขาน้องและแม่ต้องตกเป็นภาระของญาติเช่นเดิม
หลวงปู่ที่จังหวัดพิจิตรทราบข่าวสงสารจึงได้พาเขาและน้องไปเป็นเด็กวัดเรียนหนังสือ เวลาผ่านไปนานเป็นปีพ่อก็มาเยี่ยมและพาน้องคนเล็กมาด้วย หลวงทนเห็นสภาพไม่ไหวจึงได้กล่อมให้พ่อบวชตั้งปี 2518 เป็นต้นมา ส่วนแม่มีผัวใหม่
เขาได้เป็นเด็กวัดเรียนหนังสือจนจบปี 4 จะเรียนต่อหลวงไม่มีเงินส่งจึงให้บวชเรียน โดยยึดคนสอนของพ่อที่ว่า "พ่อไม่มีที่ดินไร่นาถ้าอยากดีต้องเรียนหนังสือ" เณรน้อยทำตามเรียนทุกอย่างที่สามารถเรียนได้ โชคดีที่มีญาติที่บวชเป็นพระที่กรุงเทพฯ หลวงปู่จึงส่งให้มาเรียนหนังสือด้วย จนสามารจบนักธรรมเอก เปรียญธรรม 5 ประโยค และพุทธศาสตร์บัณฑิต เอกปรัชญา
เวลาผ่านไปนานหลายปี เแม้นเณรรูปนั้นจะเรียนหนังสืออยู่ก็ได้ติดตามข่าวของแม่อยู่ตลอดเวลาอยู่ที่ใด และพยายามตามหา ในที่สุดก็พบจึงได้พามาอยู่ด้วยที่วัดกรุงเทพฯ ช่วงนั้นแม่เองก็ป่วยนอกจากสภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์เท่าใดนักแล้ว ยังเป็นโรคม้ามโต ต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ต้องเสียเงินค่ารักษาพอสมควร ดีที่ทางโรงพยาบาลมีแผนกสังคมสงเคราะห์ จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ จึงทำเณรสามารถจ่ายค่ารักษาแม่ตามกำลัง แม่ของเณรป่วยอยู่ประมาณ 4 ปี สภาพไม่ดีขึ้นในที่สุดก็เสียชีวิตลง เณรได้แต่รำพึงในใจว่า "แม่อยู่ด้วยน้อยไป"
ส่วนหลวงพ่อนั้น เณรก็นิมนต์มาจำพรรษาด้วยที่กรุงเทพฯ และระยะหลังหลวงพ่อเองต้องฉันยาระงับประสาทมาตลอด ไม่เช่นนั้นจะมีอาการหวาดระแวงถึงขึ้นเก็บมีไว้บนหัวนอน เมื่อปีที่แล้วหลวงพ่อของเณรได้ฉันยาเกินขนาดเพราะต้องการจะปฏิบัติตนให้ได้ตามกฎของวัดช่วงที่มีการเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่ ฤทธิ์ยาทำให้หลวงพ่อช็อกต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
ลองนึกดูว่าสภาพจิตของเณรรูปนี้ภายหลังได้บวชเป็นพระ แล้วก็สึกออกทำงานตามวิถีทางโลก จะมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้หล่อหลอมจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว คงไม่มีกำลังที่จะทำงานเสียภาษีให้รัฐ ปล่อยให้นักการเมืองชั่ว ๆ ฉ้อโกงจนร่ำรวย ขณะทำงานก็ถูกเพื่อนร่วมงานเอาเปลียน เขาก็ได้แต่นึกว่าคงเป็นสภาพของสังคม เขาได้แต่รำพึงในใจว่า "สู้เท่านั้นถึงจะอยู่รอด"
ส่วนของสังคมเองควรจะมีส่วนช่วย แต่ถ้าไม่ช่วยแล้วอย่าได้ซ้ำเติมคนที่เป็นโรคจิตไม่เช่นั้นแล้วคนโรคจิตจะย้อนกลับมาทำร้ายท่าน ............
วันศุกร์ ที่ 16 มีนาคม 2550
โรงพยาบาลโรคจิตก็มีคนป่วยเพิ่มขึ้นทุกวันเป็นเพราะอะไร กรรมพันธุ์หรือสังคมเป็นตัวบีบ แล้วรู้สึกของญาติของผู้ป่วยโรคจิตหละเป็นอย่างไร
ขอนำประสบการณ์ของบุคคลคนหนึ่งที่ แม่ถูกพ่อพาไปรักษาที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา กทม.ทั้งแต่เขายังเด็ก เพราะแม่คลอดน้องตกเลือด หรือที่เขาเรียกว่าบ้าเลือด เขาต้องอยู่กับญาติและดูแลน้องเป็นแรมปี โดยพ่อปล่อยอาศรัยอยู่กับญาติ พ่อก็เทียวไปกลับระหวังจังหวัดเพชรบูรณ์กับ กทม. ไม่ได้มีเวลาดูแลลูกมากหนัก ลองนึกดูว่าเด็กที่อาศรัยอยู่บ้านของคนอื่นจะเป็นอย่างไร คงได้รับความอบอุ่นมากๆๆๆๆ
แม่หายดีกลับบ้านไม่นานก็มีน้องก็ตกเลือดอีก พ่อก็ต้องพาแม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลเช่นเดิม เพราะพิษของโรคเลือดส่งผลให้แม่มีสภาพจิตที่ย่ำแย่ และสติก็ไม่สมบูรณ์นัก ส่วนพ่อเองก็เครียดกินเหล้า นาน ๆ ไปก็ติดเหล้า มีปัญหาทั้งครอบครัว และภายนอก ในที่สุดก็ถูกกล่าวหาว่าฆ่าคน ต้องหนีคดี ครอบครัวก็แตกแยก ทั้งเขาน้องและแม่ต้องตกเป็นภาระของญาติเช่นเดิม
หลวงปู่ที่จังหวัดพิจิตรทราบข่าวสงสารจึงได้พาเขาและน้องไปเป็นเด็กวัดเรียนหนังสือ เวลาผ่านไปนานเป็นปีพ่อก็มาเยี่ยมและพาน้องคนเล็กมาด้วย หลวงทนเห็นสภาพไม่ไหวจึงได้กล่อมให้พ่อบวชตั้งปี 2518 เป็นต้นมา ส่วนแม่มีผัวใหม่
เขาได้เป็นเด็กวัดเรียนหนังสือจนจบปี 4 จะเรียนต่อหลวงไม่มีเงินส่งจึงให้บวชเรียน โดยยึดคนสอนของพ่อที่ว่า "พ่อไม่มีที่ดินไร่นาถ้าอยากดีต้องเรียนหนังสือ" เณรน้อยทำตามเรียนทุกอย่างที่สามารถเรียนได้ โชคดีที่มีญาติที่บวชเป็นพระที่กรุงเทพฯ หลวงปู่จึงส่งให้มาเรียนหนังสือด้วย จนสามารจบนักธรรมเอก เปรียญธรรม 5 ประโยค และพุทธศาสตร์บัณฑิต เอกปรัชญา
เวลาผ่านไปนานหลายปี เแม้นเณรรูปนั้นจะเรียนหนังสืออยู่ก็ได้ติดตามข่าวของแม่อยู่ตลอดเวลาอยู่ที่ใด และพยายามตามหา ในที่สุดก็พบจึงได้พามาอยู่ด้วยที่วัดกรุงเทพฯ ช่วงนั้นแม่เองก็ป่วยนอกจากสภาพจิตที่ไม่สมบูรณ์เท่าใดนักแล้ว ยังเป็นโรคม้ามโต ต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลรามาธิบดี ต้องเสียเงินค่ารักษาพอสมควร ดีที่ทางโรงพยาบาลมีแผนกสังคมสงเคราะห์ จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ จึงทำเณรสามารถจ่ายค่ารักษาแม่ตามกำลัง แม่ของเณรป่วยอยู่ประมาณ 4 ปี สภาพไม่ดีขึ้นในที่สุดก็เสียชีวิตลง เณรได้แต่รำพึงในใจว่า "แม่อยู่ด้วยน้อยไป"
ส่วนหลวงพ่อนั้น เณรก็นิมนต์มาจำพรรษาด้วยที่กรุงเทพฯ และระยะหลังหลวงพ่อเองต้องฉันยาระงับประสาทมาตลอด ไม่เช่นนั้นจะมีอาการหวาดระแวงถึงขึ้นเก็บมีไว้บนหัวนอน เมื่อปีที่แล้วหลวงพ่อของเณรได้ฉันยาเกินขนาดเพราะต้องการจะปฏิบัติตนให้ได้ตามกฎของวัดช่วงที่มีการเปลี่ยนเจ้าอาวาสใหม่ ฤทธิ์ยาทำให้หลวงพ่อช็อกต้องพาไปรักษาที่โรงพยาบาลศรีธัญญา
ลองนึกดูว่าสภาพจิตของเณรรูปนี้ภายหลังได้บวชเป็นพระ แล้วก็สึกออกทำงานตามวิถีทางโลก จะมีสภาพเป็นอย่างไร ถ้าไม่ได้หล่อหลอมจากหลักธรรมในพระพุทธศาสนาแล้ว คงไม่มีกำลังที่จะทำงานเสียภาษีให้รัฐ ปล่อยให้นักการเมืองชั่ว ๆ ฉ้อโกงจนร่ำรวย ขณะทำงานก็ถูกเพื่อนร่วมงานเอาเปลียน เขาก็ได้แต่นึกว่าคงเป็นสภาพของสังคม เขาได้แต่รำพึงในใจว่า "สู้เท่านั้นถึงจะอยู่รอด"
ส่วนของสังคมเองควรจะมีส่วนช่วย แต่ถ้าไม่ช่วยแล้วอย่าได้ซ้ำเติมคนที่เป็นโรคจิตไม่เช่นั้นแล้วคนโรคจิตจะย้อนกลับมาทำร้ายท่าน ............
วันศุกร์ ที่ 16 มีนาคม 2550
ความรู้สึก-หัวอกคนเดินสายสอบ พนง.ท้องถิ่นกับการกระทำของรัฐ
"จัดสอบพนง.ท้องถิ่น หาเงินหรือหาคน" "ผู้ใหญ่รังแกเด็ก"
"ทำไมพวกเราต้องรับผิดชอบ ในความผิดของผู้อื่น"
"เพราะความผิดของใคร พวกเราถึงต้องเป็นเช่นนี้"
"ฮือๆๆๆๆ หนูอยากกลับไปทำงานที่บ้าน"
"บ้านเรา ไม่มีเปาปุ้นจิ้น เลยไม่มีความยุติธรรมใช่ใหม"
"หรือพวกเราเป็นแค่เหยื่อของสังคมเพียงกลุ่มนึง (ที่หาเงิน)"
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของผู้ที่สอบเป็นพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ แต่ภายหลังทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีการแก้ไขระเบียบให้ อปท.บรรจุเฉพาะบุคคลในพื้นที่เท่านั้น จนทำให้บางส่วนเสียสิทธิ์ จึงเป็นที่มาของการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองอยู่ขณะนี้
นี้คือชะตากรรมของบุคลากรของชาติ ที่แข่งกันตั้งแต่การเรียน จบแล้วก็ยังแข่งกันอีก อีกทั้งยังถูกผู้ใหญ่หลอก และหากินกับการสมัครสอบ
อ่านประกอบที่ สองมาตรฐานที่พนง.ไอทีวี-ผู้สอบบรรจุท้องถิ่นได้รับ
วันพฤหัสบดี ที่ 15 มีนาคม 2550
"ทำไมพวกเราต้องรับผิดชอบ ในความผิดของผู้อื่น"
"เพราะความผิดของใคร พวกเราถึงต้องเป็นเช่นนี้"
"ฮือๆๆๆๆ หนูอยากกลับไปทำงานที่บ้าน"
"บ้านเรา ไม่มีเปาปุ้นจิ้น เลยไม่มีความยุติธรรมใช่ใหม"
"หรือพวกเราเป็นแค่เหยื่อของสังคมเพียงกลุ่มนึง (ที่หาเงิน)"
เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของความรู้สึกของผู้ที่สอบเป็นพนักงานองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ แต่ภายหลังทางกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้มีการแก้ไขระเบียบให้ อปท.บรรจุเฉพาะบุคคลในพื้นที่เท่านั้น จนทำให้บางส่วนเสียสิทธิ์ จึงเป็นที่มาของการยื่นคำร้องต่อศาลปกครองอยู่ขณะนี้
นี้คือชะตากรรมของบุคลากรของชาติ ที่แข่งกันตั้งแต่การเรียน จบแล้วก็ยังแข่งกันอีก อีกทั้งยังถูกผู้ใหญ่หลอก และหากินกับการสมัครสอบ
อ่านประกอบที่ สองมาตรฐานที่พนง.ไอทีวี-ผู้สอบบรรจุท้องถิ่นได้รับ
วันพฤหัสบดี ที่ 15 มีนาคม 2550
หมอเผ่าเป็นโรคจิตถึงเวลาหรือยังที่ไทยควรมีกฎหมายสุขภาพจิต
วันนี้(13มี.ค.) ช่วงเช้าได้พาหลวงพ่อไปโรงพยาบาลศรีธัญญา จึงได้นำเหตุการณ์ที่พบมาเล่าให้ได้ทราบ โดยให้หัวข้อว่า "ฝากบล็อกผมด้วยพาหลวงพ่อไปร.พ.ศรีธัญญา" ความว่า
"ไม่ต้องตกใจนะครับว่าผมพาหลวงพ่อผมไปโรงพยาบาลศรีธัญญา แล้วจะมีญาติคนอื่นหรือใครไปแจ้งความกับตำรวจว่าผมจะพาหลวงพี่ไปกักขัง จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
เพราะนี้คือกิจวัตรที่ผมจะต้องปฏิบัติเป็นประจำมาเกือบปีแล้ว จะพาไป 1 เดือนหรือ 2 เดือนครั้งตามแพทย์นัด อย่างที่เคยเขียนไว้ที่เรื่อง "สุดเศร้า!!!ลูกทิ้งพ่อจากบ้านลามถึงวัดแล้ว"
แต่จากการที่ได้ไปสัมผัสโรงพยาบาลศรีธัญญา มีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่ไม่เคยไปสัมผัสมากนัก แบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะคนที่นี้เขาอยู่กันอย่างเอื้ออาทร พึ่งพาอาศรัยซึ่งกันและกัน ใครที่มีการอาการดีขึ้นบ้างแล้วก็จะช่วยเหลือคนที่มีอาการหนัก จึงทำให้แพทย์พยาบาลที่นี้เบาแรงมากถึง เขาพบหน้ากันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการตีสองหน้าเหมือนสังคมข้างนอก
เมื่อจะร้องไห้เขาก็ร้องจริง ๆ อย่างวันนี้มีผู้ป่วยคนร้องไห้เพราะมีการอาการกลัว ทุกคนที่ไปโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นคนช่วยหรือญาติต่างมองไปที่เสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง เชื่อแน่ว่าทุกคนจะมีความรู้สึกสงสาร
แต่เท่าที่สังเกตุวันนี้จำนวนผู้ป่วยจะมากขึ้นตัวเลขเท่าที่ประมาณ 300 คนได้ อายุเฉลี่ย 12-60 ปีขึ้น
ได้เห็นความเอาใจใส่ของครอบครัวที่มีต่อผู้ป่วย ลูกพาพ่อ-แม่ หรือแม่-พ่อพาลูก สามีพาภรรยาไปโรงพยาบาล
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุก็คือพระที่ไปโรงพยาบาลนั้นจะมีแต่ญาติ ลูก คนฝ่ายพาไป ไม่เห็นพระหรือเณรด้วยกันเป็นภาระ พระบางรูปมีลูกเป็นผู้หญิงเป็นพาไป ดูแล้วก็ทำสังอนาถใจวงการสงฆ์อยู่เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า คนที่อุปัฏฐากคนป่วยได้อานิสงส์มากกว่าดูแลพระองค์
สิ่งที่ได้พบในโรงพยาบาลศรีธัญญา ชั่งตรงกันข้ามกับสังคมคนปกติ ดูอย่างการขับรถ ก็มีแต่จะแย่งเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดเป้าหมายให้เร็วที่สุด แซงในที่ห้ามแซง ทุกวันนี้ถึงไม่อยากที่จะขับรถเท่าไร ไม่มีการให้ทางกันหรือหลีกเพื่อให้อีกคันไปก่อน คิดแต่เพียงว่า ข้าแซงได้คือผู้ชนะ
ขณะเดียวกันสังคมในองค์กรทำงานก็มีการแข่งขันกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก ถ้าไม่ใช่พวกตัวเองก็อย่างหวังจะได้ 2 ขึ้น หรือมีการขึ้นเงินเดือนพิเศษ พอเข้าตาจนต้องมีการเอาคนออก ก็เฉกหัวพวกที่ไม่ใช่พวกของตัวเองออกไปก่อน เพราะถือหลักค่าของคนอยู่ที่คนของใคร จะชมเชยหรือยกย่องกันอีกทีก็ตอนตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร
แบบนี้เป็นคนบ้าอย่างหมอประกิตเผ่าดีมะ"
ตกตอนเย็นได้อ่านความเห็นของ รศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี อาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เสนอให้ประเทศไทยมีกฎหมายสุขภาพจิตได้แล้ว
รศ.นพ.รณชัย ได้ให้เหตุผลว่า บทเรียนจากคดี นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้ป่วยจิตเวชที่กลับบานปลายเป็นที่สนใจของสังคมนั้น ถือเป็นบทเรียนที่ทำให้สังคมได้รับรู้ว่าปัญหาการเจ็บป่วยทางจิตพบได้กับคนทุกระดับ และมีแนวโน้มพบโรคทางจิตเพิ่มสูงขึ้น
ความยุ่งยากของครอบครัวทมทิตชงค์ภายหลังนำคนในครอบครัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล เป็นสิ่งยืนยันว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีกฎหมายสุขภาพจิต เป็นการเฉพาะ ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายนโยบายให้ตระหนักถึงปัญหานี้ เนื่องจากโรคทางจิตเวชแตกต่างจากโรคทางกาย โดยผู้ป่วยเป็นโรคทางกายจะเป็นผู้เดินทางไปหาหมอเพื่อรักษา
ส่วนผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่จะหลุดจากการรับรู้สภาพความจริง จึงไม่ได้รับการรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ การมีกฎหมายจะเป็นช่องให้ผู้ป่วยได้รับการคุ้มครองดูแลรักษา ป้องกันการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบข้างจากภาวะที่หลุดจากโลกของความจริง ปัจจุบันทั่วโลกร้อยละ 60 มีกฎหมายสุขภาพ
ขณะที่ร้อยละ 40 ไม่มีกฎหมายดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบแอฟริการวมทั้งประเทศไทยด้วย กฎหมายสุขภาพจิตในต่างประเทศจะเน้นเนื้อหาสำคัญ 3 ข้อ คือ 1. สิทธิของผู้ป่วยโรคจิตเวชในการรักษา เปิดให้บังคับรักษาผู้ป่วยจนกว่าอาการจะดีขึ้น 2. มีการขอความเห็นที่ 2 จากแพทย์คนอื่น ก่อนวินิจฉัยว่าป่วยหรือไม่ และ 3. กฎหมายบังคับรักษาผู้ป่วยได้ในโรงพยาบาลเอกชนและรัฐบาล
จากประสบการณ์ที่สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เห็นด้วยกับคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง คงจะทำให้ผู้ป่วยโรคจิตได้รับการดูแลดียิ่งขึ้น
วันพุธ ที่ 14 มีนาคม 2550
"ไม่ต้องตกใจนะครับว่าผมพาหลวงพ่อผมไปโรงพยาบาลศรีธัญญา แล้วจะมีญาติคนอื่นหรือใครไปแจ้งความกับตำรวจว่าผมจะพาหลวงพี่ไปกักขัง จนกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต
เพราะนี้คือกิจวัตรที่ผมจะต้องปฏิบัติเป็นประจำมาเกือบปีแล้ว จะพาไป 1 เดือนหรือ 2 เดือนครั้งตามแพทย์นัด อย่างที่เคยเขียนไว้ที่เรื่อง "สุดเศร้า!!!ลูกทิ้งพ่อจากบ้านลามถึงวัดแล้ว"
แต่จากการที่ได้ไปสัมผัสโรงพยาบาลศรีธัญญา มีความรู้สึกที่แตกต่างไปจากที่ไม่เคยไปสัมผัสมากนัก แบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะคนที่นี้เขาอยู่กันอย่างเอื้ออาทร พึ่งพาอาศรัยซึ่งกันและกัน ใครที่มีการอาการดีขึ้นบ้างแล้วก็จะช่วยเหลือคนที่มีอาการหนัก จึงทำให้แพทย์พยาบาลที่นี้เบาแรงมากถึง เขาพบหน้ากันก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่มีการตีสองหน้าเหมือนสังคมข้างนอก
เมื่อจะร้องไห้เขาก็ร้องจริง ๆ อย่างวันนี้มีผู้ป่วยคนร้องไห้เพราะมีการอาการกลัว ทุกคนที่ไปโรงพยาบาลไม่ว่าจะเป็นคนช่วยหรือญาติต่างมองไปที่เสียงนั้นอย่างพร้อมเพรียง เชื่อแน่ว่าทุกคนจะมีความรู้สึกสงสาร
แต่เท่าที่สังเกตุวันนี้จำนวนผู้ป่วยจะมากขึ้นตัวเลขเท่าที่ประมาณ 300 คนได้ อายุเฉลี่ย 12-60 ปีขึ้น
ได้เห็นความเอาใจใส่ของครอบครัวที่มีต่อผู้ป่วย ลูกพาพ่อ-แม่ หรือแม่-พ่อพาลูก สามีพาภรรยาไปโรงพยาบาล
แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสังเกตุก็คือพระที่ไปโรงพยาบาลนั้นจะมีแต่ญาติ ลูก คนฝ่ายพาไป ไม่เห็นพระหรือเณรด้วยกันเป็นภาระ พระบางรูปมีลูกเป็นผู้หญิงเป็นพาไป ดูแล้วก็ทำสังอนาถใจวงการสงฆ์อยู่เหมือนกัน เพราะพระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า คนที่อุปัฏฐากคนป่วยได้อานิสงส์มากกว่าดูแลพระองค์
สิ่งที่ได้พบในโรงพยาบาลศรีธัญญา ชั่งตรงกันข้ามกับสังคมคนปกติ ดูอย่างการขับรถ ก็มีแต่จะแย่งเพื่อให้ตัวเองไปถึงจุดเป้าหมายให้เร็วที่สุด แซงในที่ห้ามแซง ทุกวันนี้ถึงไม่อยากที่จะขับรถเท่าไร ไม่มีการให้ทางกันหรือหลีกเพื่อให้อีกคันไปก่อน คิดแต่เพียงว่า ข้าแซงได้คือผู้ชนะ
ขณะเดียวกันสังคมในองค์กรทำงานก็มีการแข่งขันกัน แบ่งพรรคแบ่งพวก ถ้าไม่ใช่พวกตัวเองก็อย่างหวังจะได้ 2 ขึ้น หรือมีการขึ้นเงินเดือนพิเศษ พอเข้าตาจนต้องมีการเอาคนออก ก็เฉกหัวพวกที่ไม่ใช่พวกของตัวเองออกไปก่อน เพราะถือหลักค่าของคนอยู่ที่คนของใคร จะชมเชยหรือยกย่องกันอีกทีก็ตอนตายแล้วจะมีประโยชน์อะไร
แบบนี้เป็นคนบ้าอย่างหมอประกิตเผ่าดีมะ"
ตกตอนเย็นได้อ่านความเห็นของ รศ.นพ.รณชัย คงสกนธ์ รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลรามาธิบดี อาจารย์ประจำภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี ที่เสนอให้ประเทศไทยมีกฎหมายสุขภาพจิตได้แล้ว
รศ.นพ.รณชัย ได้ให้เหตุผลว่า บทเรียนจากคดี นพ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้ป่วยจิตเวชที่กลับบานปลายเป็นที่สนใจของสังคมนั้น ถือเป็นบทเรียนที่ทำให้สังคมได้รับรู้ว่าปัญหาการเจ็บป่วยทางจิตพบได้กับคนทุกระดับ และมีแนวโน้มพบโรคทางจิตเพิ่มสูงขึ้น
ความยุ่งยากของครอบครัวทมทิตชงค์ภายหลังนำคนในครอบครัวเข้ารักษาในโรงพยาบาล เป็นสิ่งยืนยันว่า ถึงเวลาที่ประเทศไทยควรมีกฎหมายสุขภาพจิต เป็นการเฉพาะ ขอเรียกร้องไปยังฝ่ายนโยบายให้ตระหนักถึงปัญหานี้ เนื่องจากโรคทางจิตเวชแตกต่างจากโรคทางกาย โดยผู้ป่วยเป็นโรคทางกายจะเป็นผู้เดินทางไปหาหมอเพื่อรักษา
ส่วนผู้ป่วยจิตเวชส่วนใหญ่จะหลุดจากการรับรู้สภาพความจริง จึงไม่ได้รับการรักษาโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ การมีกฎหมายจะเป็นช่องให้ผู้ป่วยได้รับการคุ้มครองดูแลรักษา ป้องกันการทำร้ายตัวเอง ทำร้ายคนรอบข้างจากภาวะที่หลุดจากโลกของความจริง ปัจจุบันทั่วโลกร้อยละ 60 มีกฎหมายสุขภาพ
ขณะที่ร้อยละ 40 ไม่มีกฎหมายดังกล่าว ส่วนใหญ่เป็นประเทศแถบแอฟริการวมทั้งประเทศไทยด้วย กฎหมายสุขภาพจิตในต่างประเทศจะเน้นเนื้อหาสำคัญ 3 ข้อ คือ 1. สิทธิของผู้ป่วยโรคจิตเวชในการรักษา เปิดให้บังคับรักษาผู้ป่วยจนกว่าอาการจะดีขึ้น 2. มีการขอความเห็นที่ 2 จากแพทย์คนอื่น ก่อนวินิจฉัยว่าป่วยหรือไม่ และ 3. กฎหมายบังคับรักษาผู้ป่วยได้ในโรงพยาบาลเอกชนและรัฐบาล
จากประสบการณ์ที่สัมผัสด้วยตัวเองแล้ว เห็นด้วยกับคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง คงจะทำให้ผู้ป่วยโรคจิตได้รับการดูแลดียิ่งขึ้น
วันพุธ ที่ 14 มีนาคม 2550
เปิดโลกจินตนาการ เล่าขานธรรมะ กับ ‘นิทานพระพุทธเจ้า’
แน่นอนว่า ‘เด็ก’ เปรียบดั่งผ้าขาวผืนบางๆ ที่รอให้ผู้ใหญ่ลงมือละเลงแต่งแต้มสีสันให้ และแม้เลือกได้ทุกคนต่างต้องการสีสันที่สวยงามน่ามอง น่าสัมผัสด้วยกันทั้งสิ้น ทว่าในสภาวะสังคมเฉกเช่นปัจจุบันนี้ดูเหมือนว่าผ้าขาวเหล่านั้นกลับต้องเลอะเทอะเปรอะเปื้อนไปด้วยสีที่ไม่พึงปรารถนา บ้างก็ถูกระบายด้วยความมิได้ตั้งใจ นี่จึงเป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่ทั้งหลายควรหันกลับมาคำนึงถึงความสำคัญ สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่าหลายคนนึกถึงที่เป็นเครื่องมือในการขัดเกลาจิตใจมนุษย์ได้ดีคือหลักธรรมคำสอนตามหลักศาสนา ที่ไม่ว่าจะศาสนาใดล้วนแล้วแต่มีหลักคำสอนใหญ่ไม่ต่างกันนั่นคือสอนให้ทุกคนเป็นคนดี แต่เมื่อเอ่ยถึงวิชาพระพุทธศาสนาแล้วมีเด็กไม่น้อยเลยที่พากันเบือนหน้าหนีด้วยความเบื่อหน่าย นี่จึงเป็นโจทย์ที่ควรเร่งหาคำตอบอย่างยิ่งว่าเพราะเหตุใด และจะทำเช่นไรให้เด็กๆหันมายิ้มรับทุกคราที่ได้ยินคำว่า ‘ธรรมะ’
อาจารย์อุทมพร มุลพรม
ธรรมะนั้นมีคุณูปการยิ่งต่อคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็กเนื่องด้วยเป็นวัยที่พัฒนาการเรียนรู้และซึมซับได้เร็ว ดังนั้นสิ่งสำคัญคือผู้ที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวให้แก่เขา นอกจากพ่อแม่ที่ใกล้ชิดที่สุดแล้วคงจะหนีไม่พ้นครูผู้สอนที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สอง อาจารย์อุทมพร มุลพรม อดีตอาจารย์โรงเรียนบางมดวิทยา ซึ่งถือเป็นคุณครูต้นแบบวิชาพุทธศาสนาผู้ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกและตื่นเต้นเล่าว่าหน้าที่ของครูคือการให้การศึกษาแก่ลูกศิษย์ แต่ครูต้องมีความรู้และเข้าใจถึงเรื่องที่จะสอนอย่างถ่องแท้เสียก่อนจึงจะไปสอนให้เด็กเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้ อย่างเช่นวิชาพระพุทธศาสนา ส่วนตัวพอได้รับหน้าที่ให้สอนในวิชาพระพุทธศาสนาจึงมองว่าตนควรปฏิบัติให้ได้เสียก่อนจึงจะไปสอนเด็กได้ โดยเริ่มจากการถือศีล 5 ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวพุทธศาสนิกชนที่สุด แล้วจึงค่อยๆไต่เต้าทำไปทีละขั้นตอนกระทั่งสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเคร่งครัดตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ริสรวล อร่ามเจริญ
นอกจากการยึดถือตามแนวทางพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้ว สิ่งที่จะทำให้นักเรียนหันมาใส่ใจวิชาพุทธศาสนาอย่างจริงจังนั่นคือสื่อการเรียนการสอน ซึ่งตนได้คิดค้นสื่อต่างๆขึ้นมา และสามารถเบนความสนใจของลูกศิษย์จากที่เป็นวิชาที่น่าเบื่อ จนกลายเป็นวิชาที่เด็กทุกคนชื่นชอบเพราะธรรมะสำหรับเด็กแล้วต้องเป็นเรื่องง่ายๆ ตามความต้องการของวัย เหมือนอาหาร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นสิ่งที่บริโภคง่าย แล้วยังต้องสนุก เร้าใจ
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
“เมื่อก่อนครูต้องคิดริเริ่มผลิตสื่อขึ้นมาเองสำหรับสอนเด็ก เพื่อทำให้เด็กเห็นภาพและเกิดจินตนาการ ทำให้เรื่องเล่ามีชีวิต เพราะการนำธรรมะเข้ามาสอนเด็กต้องมีสื่อจับต้องได้เป็นรูปธรรม ครูต้องคลุกคลีและพยายามแทรกเข้าไปในโลกของเด็ก ซึ่งเด็กจำเป็นต้องเรียนพุทธศาสนาให้มาก เหมือนบ้านที่ต้องตอกเสาเข็ม ซึ่งเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูที่จะปลูกกล้าเล็กๆ เหล่านี้ ต้องสอนพุทธศาสนาให้เกิดการนำไปขบคิด หากคนเราไม่สนใจศาสนาที่นับถือ ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวิบัติแน่ เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่วันหน้า ส่วนผู้ใหญ่กลายเป็นผี จึงต้องปลูกฝังให้เด็กเยาวชนเป็นคนดี เชื่อแน่ว่าถ้าทุกคนช่วยกันสักวันหนึ่งคงถึงเส้นชัย ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันสอนพุทธศาสนา สอนคุณธรรม ให้เขาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ” ด้านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตรบอกว่าธรรมะเปรียบสะเหมือนสะพานที่ทำให้เด็กก้าวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งที่ไม่ดีไปสู่ฝั่งที่ดีกว่า รวมไปถึงการเป็นราวสะพานให้สามารถก้ามข้ามไปถึงฝั่งหมายโดยสวัสดิ์ภาพ ซึ่งการปฏิบัติธรรมะนั้นถือเป็นเรื่องที่สวนทางกับกิเลสเพราะกิเลสเป็นสิ่งที่มีติดตัวกับมนุษย์ทุกคน ดังนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมะได้ง่ายๆ ทุกวันนี้คงมีพระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ฉะนั้นหากเราสามารถเดินสวนทางกับกิเลสกระทั่งเกิดความเคยชินก็จะทำให้เกิดการดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะการเริ่มปลูกฝังธรรมะให้แก่เด็กๆนั้นถือเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าเด็กได้เรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อยจะซึมซับได้เร็วและติดตัวไปจนโต แต่การสอนคุณธรรมให้แก่เด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่นั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย นั่นเพราะปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุนานาประการเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธีให้มุมมองที่ชวนคิดและปฏิบัติตามว่าเรื่องราวของพุทธศาสนาจะเป็นกุศโลบายที่ทำให้เด็กเข้าถึงหลักธรรมและคุณธรรมได้อย่างแยบยลที่สุดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีล้าสมัยและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสงบสุขได้ แต่สิ่งสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นต้องมียุทธศาสตร์ เปรียบเสมือนการสู้รบในลักษณะการตั้งกองทัพหลวงจะตีที่ไหนก่อนก็มีสิทธิ์ชนะ ทุกวันนี้หลายหน่วยงานต่างคนต่างทำมันก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นอันดับแรกที่ต้องทำคือการวางยุทธศาสตร์
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
“สำหรับเด็กควรเริ่มปลูกฝังให้เขาตั้งแต่ระดับอนุบาล แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสอนว่าต้องปลูกฝังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เราจะปลูกฝังอะไรให้เด็กควรหันมาสนใจว่าจะให้อะไรแก่เขาบ้างต้องคำนึงถึงให้มากเพื่อเด็กจะได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะที่เจริญงอกงามต่อไป ขึ้นชื่อว่าเด็กแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็สามารถสอนให้เขาเป็นคนดีได้ คนที่มืดที่สุด ต่ำที่สุดเมื่อได้พบกับธรรมะก็สามารถพบกับทางสว่างได้เสมอ ดังนั้นหากจะสร้างคนอย่าได้สร้างให้เขาเป็นแค่คนร่ำรวยเพราะอาจยิ่งเป็นหนทางฉุดให้โลกต่ำลงได้ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่คำตอบที่โลกต้องการ ฉะนั้นควรสร้างคนดีถึงจะช่วยสร้างโลกได้”
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
แน่นอนว่าสื่อที่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายที่สุดก็คือของเล่น รวมไปถึงการเล่านิทาน ล้วนเป็นสิ่งที่เด็กๆชื่นชอบกันทั้งสิ้น ซึ่งริสรวล อร่ามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัดในฐานะผู้ผลิตและจำหน่าย หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”บอกกับเราถึงที่มาของหนังสือชุดนี้ว่า มีความตั้งใจที่จะจัดทำหนังสือนิทานธรรมะสำหรับเด็กมานานแล้ว จนกระทั่งได้รับคำแนะนำจาก ท่าน ว.วชิรเมธี ให้นำบทสวดมนต์คาถาพาหุง ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “พุทธชัยมงคลคาถา” ซึ่งเป็นคาถาที่ว่าด้วยชัยชนะอันเป็นมงคลทั้งแปดประการของพระพุทธเจ้าที่มีต่อมนุษย์และอมนุษย์มาแปลงเป็นเนื้อหานิทานธรรมะเพราะเป็นบทสวดมนต์ที่มีคุณค่าและจะช่วยส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี จึงได้แปลบทสวดมนต์เป็นภาษาที่ใช้สำหรับหนังสือนิทาน พร้อมเขียนภาพประกอบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จัดทำออกมาเป็นหนังสือ “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า” ซึ่งมีทั้งหมด 8 เรื่อง ได้แก่ เรื่องพญามาร เรื่องยักษ์กินคน เรื่องช้างตกมัน เรื่องมหาโจรองคุลิมาร เรื่องสาวงามเจ้าเล่ห์ เรื่องปราชญ์ต่างลัทธิ เรื่องพญานาคมากฤทธิ์ และเรื่องพรหมผู้หลงผิด
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
จุดเด่นของหนังสือนิทานธรรมะชุดนี้ คือ ทุกเล่มมีการวาดภาพประกอบอย่างสวยงามทำให้น่าอ่าน และในหน้าสุดท้ายจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ และข้อธรรมะที่ปรากฏในนิทานเรื่องนั้น เพื่อให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ทบทวนสรุปข้อธรรมะให้บุตร-หลาน ฟังย้ำให้เข้าใจดีขึ้น หลังจากเล่านิทานจบแล้ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์
วันพุธ ที่ 14 มีนาคม 2550
อาจารย์อุทมพร มุลพรม
ธรรมะนั้นมีคุณูปการยิ่งต่อคนทุกเพศทุกวัยโดยเฉพาะวัยเด็กเนื่องด้วยเป็นวัยที่พัฒนาการเรียนรู้และซึมซับได้เร็ว ดังนั้นสิ่งสำคัญคือผู้ที่จะมาถ่ายทอดเรื่องราวให้แก่เขา นอกจากพ่อแม่ที่ใกล้ชิดที่สุดแล้วคงจะหนีไม่พ้นครูผู้สอนที่เปรียบเสมือนแม่คนที่สอง อาจารย์อุทมพร มุลพรม อดีตอาจารย์โรงเรียนบางมดวิทยา ซึ่งถือเป็นคุณครูต้นแบบวิชาพุทธศาสนาผู้ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกและตื่นเต้นเล่าว่าหน้าที่ของครูคือการให้การศึกษาแก่ลูกศิษย์ แต่ครูต้องมีความรู้และเข้าใจถึงเรื่องที่จะสอนอย่างถ่องแท้เสียก่อนจึงจะไปสอนให้เด็กเข้าใจและสามารถปฏิบัติตามได้ อย่างเช่นวิชาพระพุทธศาสนา ส่วนตัวพอได้รับหน้าที่ให้สอนในวิชาพระพุทธศาสนาจึงมองว่าตนควรปฏิบัติให้ได้เสียก่อนจึงจะไปสอนเด็กได้ โดยเริ่มจากการถือศีล 5 ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวพุทธศาสนิกชนที่สุด แล้วจึงค่อยๆไต่เต้าทำไปทีละขั้นตอนกระทั่งสามารถปฏิบัติตัวได้อย่างเคร่งครัดตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า
ริสรวล อร่ามเจริญ
นอกจากการยึดถือตามแนวทางพุทธศาสนิกชนที่ดีแล้ว สิ่งที่จะทำให้นักเรียนหันมาใส่ใจวิชาพุทธศาสนาอย่างจริงจังนั่นคือสื่อการเรียนการสอน ซึ่งตนได้คิดค้นสื่อต่างๆขึ้นมา และสามารถเบนความสนใจของลูกศิษย์จากที่เป็นวิชาที่น่าเบื่อ จนกลายเป็นวิชาที่เด็กทุกคนชื่นชอบเพราะธรรมะสำหรับเด็กแล้วต้องเป็นเรื่องง่ายๆ ตามความต้องการของวัย เหมือนอาหาร เช่น บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นสิ่งที่บริโภคง่าย แล้วยังต้องสนุก เร้าใจ
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
“เมื่อก่อนครูต้องคิดริเริ่มผลิตสื่อขึ้นมาเองสำหรับสอนเด็ก เพื่อทำให้เด็กเห็นภาพและเกิดจินตนาการ ทำให้เรื่องเล่ามีชีวิต เพราะการนำธรรมะเข้ามาสอนเด็กต้องมีสื่อจับต้องได้เป็นรูปธรรม ครูต้องคลุกคลีและพยายามแทรกเข้าไปในโลกของเด็ก ซึ่งเด็กจำเป็นต้องเรียนพุทธศาสนาให้มาก เหมือนบ้านที่ต้องตอกเสาเข็ม ซึ่งเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูที่จะปลูกกล้าเล็กๆ เหล่านี้ ต้องสอนพุทธศาสนาให้เกิดการนำไปขบคิด หากคนเราไม่สนใจศาสนาที่นับถือ ศีลธรรมไม่กลับมาโลกาวิบัติแน่ เด็กวันนี้เป็นผู้ใหญ่วันหน้า ส่วนผู้ใหญ่กลายเป็นผี จึงต้องปลูกฝังให้เด็กเยาวชนเป็นคนดี เชื่อแน่ว่าถ้าทุกคนช่วยกันสักวันหนึ่งคงถึงเส้นชัย ดังนั้น เราจึงควรช่วยกันสอนพุทธศาสนา สอนคุณธรรม ให้เขาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กๆ” ด้านพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือ ว.วชิรเมธี วัดเบญจมบพิตรบอกว่าธรรมะเปรียบสะเหมือนสะพานที่ทำให้เด็กก้าวจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งคือฝั่งที่ไม่ดีไปสู่ฝั่งที่ดีกว่า รวมไปถึงการเป็นราวสะพานให้สามารถก้ามข้ามไปถึงฝั่งหมายโดยสวัสดิ์ภาพ ซึ่งการปฏิบัติธรรมะนั้นถือเป็นเรื่องที่สวนทางกับกิเลสเพราะกิเลสเป็นสิ่งที่มีติดตัวกับมนุษย์ทุกคน ดังนั้นถ้าเราสามารถปฏิบัติธรรมะได้ง่ายๆ ทุกวันนี้คงมีพระอรหันต์เต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด ฉะนั้นหากเราสามารถเดินสวนทางกับกิเลสกระทั่งเกิดความเคยชินก็จะทำให้เกิดการดำเนินชีวิตได้อย่างปกติสุข โดยเฉพาะการเริ่มปลูกฝังธรรมะให้แก่เด็กๆนั้นถือเป็นสิ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างยิ่งเพราะถ้าเด็กได้เรียนรู้ตั้งแต่อายุยังน้อยจะซึมซับได้เร็วและติดตัวไปจนโต แต่การสอนคุณธรรมให้แก่เด็กหรือแม้แต่ผู้ใหญ่นั้นใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทำกันได้ง่าย นั่นเพราะปัจจุบันมีสิ่งยั่วยุนานาประการเกิดขึ้นมากมาย ซึ่งท่าน ว.วชิรเมธีให้มุมมองที่ชวนคิดและปฏิบัติตามว่าเรื่องราวของพุทธศาสนาจะเป็นกุศโลบายที่ทำให้เด็กเข้าถึงหลักธรรมและคุณธรรมได้อย่างแยบยลที่สุดคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นไม่มีล้าสมัยและสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันเพื่อให้ชีวิตอยู่อย่างมีความสงบสุขได้ แต่สิ่งสำคัญของการเผยแผ่พระพุทธศาสนานั้นต้องมียุทธศาสตร์ เปรียบเสมือนการสู้รบในลักษณะการตั้งกองทัพหลวงจะตีที่ไหนก่อนก็มีสิทธิ์ชนะ ทุกวันนี้หลายหน่วยงานต่างคนต่างทำมันก็ไม่สำเร็จ ดังนั้นอันดับแรกที่ต้องทำคือการวางยุทธศาสตร์
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
“สำหรับเด็กควรเริ่มปลูกฝังให้เขาตั้งแต่ระดับอนุบาล แต่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วสอนว่าต้องปลูกฝังตั้งแต่อยู่ในครรภ์ เราจะปลูกฝังอะไรให้เด็กควรหันมาสนใจว่าจะให้อะไรแก่เขาบ้างต้องคำนึงถึงให้มากเพื่อเด็กจะได้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์แห่งธรรมะที่เจริญงอกงามต่อไป ขึ้นชื่อว่าเด็กแล้วไม่ว่าจะเป็นอย่างไรเราก็สามารถสอนให้เขาเป็นคนดีได้ คนที่มืดที่สุด ต่ำที่สุดเมื่อได้พบกับธรรมะก็สามารถพบกับทางสว่างได้เสมอ ดังนั้นหากจะสร้างคนอย่าได้สร้างให้เขาเป็นแค่คนร่ำรวยเพราะอาจยิ่งเป็นหนทางฉุดให้โลกต่ำลงได้ ซึ่งนั่นอาจไม่ใช่คำตอบที่โลกต้องการ ฉะนั้นควรสร้างคนดีถึงจะช่วยสร้างโลกได้”
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
แน่นอนว่าสื่อที่สามารถเข้าถึงตัวเด็กได้ง่ายที่สุดก็คือของเล่น รวมไปถึงการเล่านิทาน ล้วนเป็นสิ่งที่เด็กๆชื่นชอบกันทั้งสิ้น ซึ่งริสรวล อร่ามเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แปลน ฟอร์ คิดส์ จำกัดในฐานะผู้ผลิตและจำหน่าย หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”บอกกับเราถึงที่มาของหนังสือชุดนี้ว่า มีความตั้งใจที่จะจัดทำหนังสือนิทานธรรมะสำหรับเด็กมานานแล้ว จนกระทั่งได้รับคำแนะนำจาก ท่าน ว.วชิรเมธี ให้นำบทสวดมนต์คาถาพาหุง ซึ่งมีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “พุทธชัยมงคลคาถา” ซึ่งเป็นคาถาที่ว่าด้วยชัยชนะอันเป็นมงคลทั้งแปดประการของพระพุทธเจ้าที่มีต่อมนุษย์และอมนุษย์มาแปลงเป็นเนื้อหานิทานธรรมะเพราะเป็นบทสวดมนต์ที่มีคุณค่าและจะช่วยส่งเสริมคุณธรรมและจริยธรรมในเด็กๆ ได้เป็นอย่างดี จึงได้แปลบทสวดมนต์เป็นภาษาที่ใช้สำหรับหนังสือนิทาน พร้อมเขียนภาพประกอบขึ้นมาใหม่ทั้งหมด จัดทำออกมาเป็นหนังสือ “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า” ซึ่งมีทั้งหมด 8 เรื่อง ได้แก่ เรื่องพญามาร เรื่องยักษ์กินคน เรื่องช้างตกมัน เรื่องมหาโจรองคุลิมาร เรื่องสาวงามเจ้าเล่ห์ เรื่องปราชญ์ต่างลัทธิ เรื่องพญานาคมากฤทธิ์ และเรื่องพรหมผู้หลงผิด
หนังสือนิทาน “ชุด การผจญภัยของพระพุทธเจ้า”
จุดเด่นของหนังสือนิทานธรรมะชุดนี้ คือ ทุกเล่มมีการวาดภาพประกอบอย่างสวยงามทำให้น่าอ่าน และในหน้าสุดท้ายจะให้ข้อมูลเกี่ยวกับพระพุทธรูปปางต่างๆ และข้อธรรมะที่ปรากฏในนิทานเรื่องนั้น เพื่อให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองได้ทบทวนสรุปข้อธรรมะให้บุตร-หลาน ฟังย้ำให้เข้าใจดีขึ้น หลังจากเล่านิทานจบแล้ว
โดย ผู้จัดการออนไลน์
วันพุธ ที่ 14 มีนาคม 2550
ยกคำร้องเปมิกาขอปล่อยหมอเผ่าชนะยกแรกของสถาบันครอบครัว
โล่งอก...ศาลอาญาสั่งยกคำร้อง พ.ต.ท.ฐิติเดช อินทรแป้น พงส.สบ.3 สน.บางซื่อ ยื่นคำร้องให้ปล่อยตัว น.พ.ประกิตเผ่า ทมทิตชงค์ ผู้อำนวยการสถาบันกวดวิชาแอพพลายด์ฟิสิกส์ ที่ระบุถูกขังไม่ชอบด้วยกฎหมายตาม ป.วิอาญา มาตรา 90 ตามคำกล่าวโทษร้องทุกข์ของ น.ส.เปมิกา วีรชัชรักษิต เพื่อนสาวคนสนิทของน.พ.ประกิตเผ่า
เรื่องนี้นับได้ว่ามีผลกระทบต่อสถานบันครอบครัวโดยตรง เพราะว่า น.พ.ประกิตเผ่านนั้นมีครอบครัวมีลูกแล้ว หากศาลมีคำสั่งตามคำร้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมา เมื่อปล่อยตัว น.พ.ประกิตเผ่าแล้ว ต่อไปจะอยู่ในการดูแลของใคร ของ น.ส.เปมิกา อย่างนั้นหรือ
คำว่า "เพื่อนสาวคนสนิท" กินความหมายว่าอย่างไร "เพื่อนคนรู้ใจ" รักคนมีเจ้าของ หรือ "ชู้" ตามที่ทนายความครอบครัวทมทิตชงค์เตรียมฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหายต่อ น.ส.เปมิกา 200 ล้านบาท ส่วนจะจริงหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องพิสูจน์กันชั้นศาลหรือเจ้าตัวรับสารภาพ แม้น น.ส.เปมิกากล่าวอ้างว่า น.พ.ประกิตเผ่าเตรียมที่จะฟ้องหย่าจากภรรยา ซึ่งก็ไม่ใช่คำพูดที่ออกจากปากของ น.พ.ประกิตเผ่าแต่อย่างใด
แน่นอน "คนเรามีสิทธิ์ที่จะรักกันได้" แต่ควรที่จะวางฐานะไว้ที่ "ขอจองในใจ" หรือ "ชู้ทางใจ" หากเป็นชู้กาย ก็จะถูกเรียกว่า "ชู้" และมีการยอมรับกันมากๆ ก็จะกลายสภาพเป็น "เมียน้อย" ก็จะมีเสียงร้องออกมาว่า "เป็นเมียน้อยผิดตรงไหน" ก็จะทำให้ฝ่ายเมียหลวงต้องรวมตัวกันตั้งเป็นสถาบัน"พิฆาตเมียน้อย"
นอกจากนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายชาย ที่บางครั้งก็ "ไม่มีเวลาไปหาเมียน้อย" และฝ่ายเมียน้อยเอง ก็อาจจะขอสิทธิ์ เป็น "เมียน้อย100 ชั่วโมง" หรือให้ฝ่ายชายเห็นหัวอกเมียน้อยบ้าง เพราะเป็นส่วนเกิน ที่ไปรักผัวเขา ในที่สุดก็คงต้องยื่นคำขาด
และถ้าหากฝ่ายเมียหลวงต้องการที่จะมี"ผัวน้อย"บ้าง ฝ่ายชายก็คงจะร้อง "เมียพี่มีชู้"
ดังนั้น จึงควรที่จะรู้จักรักพิจารณาความอยาก หากมากไปกลายเป็นผิดศีลก็คงจะมีปัญหาตามมาอย่างที่กว่า
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวโยงถึงผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีสิทธิ์ที่จะผิดศีลอยู่หรือ พระท่านว่า แม้นว่าการปฏิบัติยังไม่ถึงขึ้นบรรลุธรรมเริ่มจากขั้นโสดาบันแล้ว แม้นจะฝึกจิตเป็นสมาธิได้ฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ เช่น มโนมยิทธิ ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะทำผิดได้ทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่วิเศษอะไร
ข้อมูลต่อเนื่อง - เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก"เปมิกา"200ล้านบาท
วันจันทร์ ที่ 12 มีนาคม 2550
เรื่องนี้นับได้ว่ามีผลกระทบต่อสถานบันครอบครัวโดยตรง เพราะว่า น.พ.ประกิตเผ่านนั้นมีครอบครัวมีลูกแล้ว หากศาลมีคำสั่งตามคำร้องแล้วอะไรจะเกิดขึ้นตามมา เมื่อปล่อยตัว น.พ.ประกิตเผ่าแล้ว ต่อไปจะอยู่ในการดูแลของใคร ของ น.ส.เปมิกา อย่างนั้นหรือ
คำว่า "เพื่อนสาวคนสนิท" กินความหมายว่าอย่างไร "เพื่อนคนรู้ใจ" รักคนมีเจ้าของ หรือ "ชู้" ตามที่ทนายความครอบครัวทมทิตชงค์เตรียมฟ้องต่อศาลเรียกค่าเสียหายต่อ น.ส.เปมิกา 200 ล้านบาท ส่วนจะจริงหรือไม่อย่างไรนั้น เป็นเรื่องพิสูจน์กันชั้นศาลหรือเจ้าตัวรับสารภาพ แม้น น.ส.เปมิกากล่าวอ้างว่า น.พ.ประกิตเผ่าเตรียมที่จะฟ้องหย่าจากภรรยา ซึ่งก็ไม่ใช่คำพูดที่ออกจากปากของ น.พ.ประกิตเผ่าแต่อย่างใด
แน่นอน "คนเรามีสิทธิ์ที่จะรักกันได้" แต่ควรที่จะวางฐานะไว้ที่ "ขอจองในใจ" หรือ "ชู้ทางใจ" หากเป็นชู้กาย ก็จะถูกเรียกว่า "ชู้" และมีการยอมรับกันมากๆ ก็จะกลายสภาพเป็น "เมียน้อย" ก็จะมีเสียงร้องออกมาว่า "เป็นเมียน้อยผิดตรงไหน" ก็จะทำให้ฝ่ายเมียหลวงต้องรวมตัวกันตั้งเป็นสถาบัน"พิฆาตเมียน้อย"
นอกจากนี้ก็จะส่งผลกระทบต่อฝ่ายชาย ที่บางครั้งก็ "ไม่มีเวลาไปหาเมียน้อย" และฝ่ายเมียน้อยเอง ก็อาจจะขอสิทธิ์ เป็น "เมียน้อย100 ชั่วโมง" หรือให้ฝ่ายชายเห็นหัวอกเมียน้อยบ้าง เพราะเป็นส่วนเกิน ที่ไปรักผัวเขา ในที่สุดก็คงต้องยื่นคำขาด
และถ้าหากฝ่ายเมียหลวงต้องการที่จะมี"ผัวน้อย"บ้าง ฝ่ายชายก็คงจะร้อง "เมียพี่มีชู้"
ดังนั้น จึงควรที่จะรู้จักรักพิจารณาความอยาก หากมากไปกลายเป็นผิดศีลก็คงจะมีปัญหาตามมาอย่างที่กว่า
นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่เกี่ยวโยงถึงผู้ที่ปฏิบัติธรรมแล้วมีสิทธิ์ที่จะผิดศีลอยู่หรือ พระท่านว่า แม้นว่าการปฏิบัติยังไม่ถึงขึ้นบรรลุธรรมเริ่มจากขั้นโสดาบันแล้ว แม้นจะฝึกจิตเป็นสมาธิได้ฌาน มีอิทธิฤทธิ์ต่างๆ เช่น มโนมยิทธิ ก็ยังมีสิทธิ์ที่จะทำผิดได้ทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่ใช่วิเศษอะไร
ข้อมูลต่อเนื่อง - เตรียมฟ้องเรียกค่าเสียหายจาก"เปมิกา"200ล้านบาท
วันจันทร์ ที่ 12 มีนาคม 2550
ค้นเรื่องราว เพลงธรรมะสาระบนความบันเทิง
อ๊ะ...อ๊ะ เห็นหัวเรื่องแล้วอย่าเพิ่งส่ายหน้า เตรียมปิดหนังสือพิมพ์เสียล่ะ โดยเฉพาะวัยรุ่นหนุ่ม-สาว ก็แหม...จะไม่ให้ทักก่อนได้ยังไง ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่า หลายคนพอได้ยิน ได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับธรรมะทีไรเป็นอันต้องง่วง หงาว หาว นอน แทบทุกรายไป
แล้วถ้าใครสงสัยว่า เปิดผิดหน้าหรือเปล่า ไม่...ถูกแล้ว นี่คือ "หน้าดนตรี" เหมือนเดิม แต่เพราะวันนี้ "มิวสิค สเปเชี่ยล" กำลังจะนำเรื่องบทเพลงที่นำเสนอเกี่ยวกับธรรมะมาถกให้ฟัง ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า "เพลงธรรมะ" เท่าที่สำรวจพบว่า เพลงธรรมะในขณะนี้ แบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงธรรมะที่แต่งใหม่ขึ้นโดยมีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าถึงบาปบุญคุณโทษต่างๆ เพลงเนื้อหาธรรมะที่ใช้ทำนองเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมทางโลก เพลงธรรมะที่ปรับมาจากเสียงธรรมเทศนาของพระที่มีชื่อเสียง เพลงธรรมะที่ทำขึ้นผ่านคำกล่าวร่างทรงเทพเจ้าองค์ต่างๆ รวมไปถึงเพลงธรรมะที่หยิบเอาบทสวดมนต์มาใส่ทำนองที่ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ในขณะนี้
นอกจากแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบแล้ว ยังมีผู้ผลิตหลากหลาย ทั้งในรูปธุรกิจมีบริษัทผลิตผลงานเป็นเรื่องเป็นราว วัดผลิตเอง รวมไปถึงจัดทำโดยคณะบุคคลที่เลื่อมใสศาสนา และกลุ่มบุคคลในองค์กรธรรมที่มีอยู่ทั่วไป
ท่านเจ้าคุณพระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) วัดสุทัศนเทพวราราม ให้ความรู้ถึงที่มา "เพลงธรรมะ" ว่า เกิดมาจากท่วงทำนองสวดคำฉันท์บาลี ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงตรัสใน 2 ลักษณะ คือ ร้อยแก้ว และร้อยกรอง หากอะไรที่เป็นส่วนสำคัญท่านจะจัดไว้ให้เป็นร้อยกรอง มีทำนองประจำคำฉันท์นั้นๆ ดังเช่นในปัจจุบันการสวดทำนองสรภัญญะก็ถือเป็นการถอดคำฉันท์ในสมัยก่อนมา
"แต่ละฉันท์สามารถใส่ได้หลายภาษา เช่น ประวัติพระเวสสันดรในอดีตกาลเพื่อจะให้ท่องจำให้ได้ จึงมีการนำทำนองไปใส่ให้จำได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเรื่องราวเดิมให้เป็นภาษาพูด ซึ่งหากถามว่า เพลงธรรมะที่ยาวที่สุดนั้นคือเพลงอะไร ก็คือ เพลงพระเวสสันดร นี้เอง
หลังจากนั้นเมื่อความนิยมเกิดขึ้น จึงมีการนำเรื่องราวในชาดกพระพุทธเจ้ามาแต่งเป็นกลอน แหล่ โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา เช่น เพลงแหล่ของพระพรภิรมย์ ต่อมาจึงมีการพัฒนา หยิบสาระธรรมต่างๆ มาสอนเป็นเพลงด้วย ซึ่งเพลงธรรมะส่วนใหญ่มักทำขึ้นโดยพระนักเทศน์ที่สึกออกไปแล้ว เพราะคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญเรื่องธรรม"
เจ้าคุณพิพิธ กล่าวถึงการที่มีการนำบทสวดมนต์ไปใส่เป็นทำนองเพลง ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ว่า ทำได้ หากแต่อย่าให้เสียลีลา อารมณ์ของธรรมะ กล่าวคือ ไม่เร็วเกินไปจนอารมณ์คนฟังกระเจิง และไม่ช้าจนเหนื่อยหน่าย เบื่อ ไม่อยากฟัง
"การนำบทสวดมนต์ไปใส่ทำนอง เริ่มมาเมื่อ 14-15 ปีก่อน ทำขึ้นครั้งแรกโดยชาวอินเดีย ต่อมาคนไทยเห็นว่า ฟังแล้วรู้สึกนิ่งดี จึงอยากทำบ้าง ซึ่งก็น่าสรรเสริญ เพราะหนึ่งจะทำให้เกิดความสุขเมื่อได้ฟัง สองจำง่ายในการท่อง และสามทำให้เกิดพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ไม่เกิดกิเลส"
ด้าน นันทนา สวัสดิ์ธนากุล รองประธานกรรมการ บริษัท เอพีเอส อินเตอร์มิวสิค จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเพลงธรรมะ กล่าวว่า บริษัทซื้อลิขสิทธิ์เพลงธรรมะจากประเทศจีน รวมถึงผลิตเพลงประเภทนี้จำหน่ายเองอยู่หลายสิบชุด มายาวนานถึง 10 ปี โดยตลาดเพลงประเภทนี้ถือว่าใหญ่พอสมควร
"ตลาดเพลงธรรมะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ เพลงบทสวดมนต์เจ้าแม่กวนอิมฉบับทิเบตที่ขายคู่กับเพลงบทสวดที่เราได้นำมาแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งต่อเดือนเราสามารถขายเพลงธรรมะเหล่านี้ได้หลายหมื่นแผ่น โดยกลุ่มผู้ซื้อจะอยู่ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
การได้ฟังเพลงเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดี ทำให้ได้เรียนรู้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริง ฟังแล้วทำให้มีธรรมะมาอยู่ในหัวใจ มีคุณธรรม ดังเช่นตัวดิฉันเองเริ่มต้นก็ได้ฟังก่อนแล้วรู้สึกซาบซึ้ง จึงคิดทำออกมาขาย
แม่ค้าแผงเทปรายหนึ่ง ย่านบางกระปิ ให้ข้อมูลว่า เพลงธรรมะที่ตอนนี้ได้รับการถามถึง และได้รับความสนใจ จะเป็นเพลงที่นำบทสวดมาทำ โดยเฉพาะเพลงบทสวดของเจ้าแม่กวนอิม เพลงบทสวดชินบัญชร แต่ที่ถูกถามตอนนี้เพิ่มมาก็จะมีเพลงบทสวดพาหุง และบทสวดภาษาทิเบตอื่นๆ อีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันก็คือ วีซีดีการ์ตูนพื้นบ้าน นิทานที่มีคติสอนใจ การ์ตูนสอนธรรมโดยผู้ปกครองมักนิยมซื้อไปให้บุตรหลานไว้ดู ซึ่งคิดว่า วีซีดีเหล่านี้ก็มีประโยชน์ สนุก และเข้าใจง่าย
ปิยะวรรณ สมบูรณ์ดี วัย 30 ปี หนึ่งในผู้ที่เคยฟังเพลงธรรมะ แสดงทัศนะว่า เพลงธรรมะน่าจะมีรากเหง้ามาจากเพลงลูกทุ่ง และเพลงแหล่ในครั้งอดีต โดยเพลงธรรมะที่เคยฟังเป็นเพลงของเสถียรธรรมสถาน ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างดี ส่วนเรื่องการนำบทสวดมาทำเป็นเพลงนั้น ส่วนตัวนั้นคิดว่า เป็นเรื่องที่ส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
"การนำบทสวดมาทำเป็นเพลง น่าจะมีผลดีมากกว่าเสีย เพราะจะทำให้คนใกล้ชิดศาสนามากขึ้น แม้ว่าบทสวดของศาสนาพุทธจะยังไม่มากและไม่คุ้นชินเท่ากับบทสวดของจีนที่เรามักจะได้ยินบ่อยมากกว่า โดยเฉพาะในย่านเยาวราช ที่บอกว่า ดีมากกว่าเสีย ก็เหมือนกับที่พระนักเทศน์รุ่นใหม่เคยกล่าวไว้ว่า หากให้คนไปนั่งฟังพระเทศน์แบบเดิมก็คงจะหลับได้ง่าย ทำให้พระต้องมีการปรับตัวเข้ากับยุคสมัย ซึ่งการเทศน์แบบใหม่อาจจะมีมุกตลก แต่สิ่งที่ได้คือการทำให้คนเข้าถึงหลักศาสนา และซึมซับไปอย่างไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับเพลงบทสวด ดิฉันคิดว่า ถ้าผู้ทำมีเจตนารมย์ที่ดีก็ทำได้ เพราะหากเราปล่อยให้เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องไกลตัวต่อไป คนกับวัดก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้หนังสือธรรมะก็เช่นกัน ยังมีการปรับให้เข้าใจง่าย เน้นประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น"
ท้ายที่สุดไม่ว่าจะมีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสดาองค์ใดไปทำในรูปแบบที่แตกต่างจากอดีตกาลอย่างไร หากไม่ทำให้ผิดเพี้ยน และตั้งอยู่บนเจตนาที่ดี บริสุทธิ์แล้ว เชื่อว่า ล้วนแต่เป็นการค้ำชูทุกศาสนาให้เจริญรุงเรืองยิ่งขึ้นไป
บายไลน์ สิริรัตน์ แซ่เบ๊
ที่มา - http://www.komchadluek.net/
หมายเหตุ - ต้องการจะฟังเพลงธรรมะก็เข้าไปที่ http://www.google.co.th/ แล้วพิมพ์คำว่า เพลงธรรมะ แล้วโหลตฟัง เพราะหากจะนำมาแสดงที่นี่เกรงจะผิดกฎหมายลิขสิทธิ์
วันเสาร์ ที่ 10 มีนาคม 2550
แล้วถ้าใครสงสัยว่า เปิดผิดหน้าหรือเปล่า ไม่...ถูกแล้ว นี่คือ "หน้าดนตรี" เหมือนเดิม แต่เพราะวันนี้ "มิวสิค สเปเชี่ยล" กำลังจะนำเรื่องบทเพลงที่นำเสนอเกี่ยวกับธรรมะมาถกให้ฟัง ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆ ว่า "เพลงธรรมะ" เท่าที่สำรวจพบว่า เพลงธรรมะในขณะนี้ แบ่งออกเป็นรูปแบบต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเพลงธรรมะที่แต่งใหม่ขึ้นโดยมีเนื้อหาเป็นเรื่องเล่าถึงบาปบุญคุณโทษต่างๆ เพลงเนื้อหาธรรมะที่ใช้ทำนองเพลงฮิตที่ได้รับความนิยมทางโลก เพลงธรรมะที่ปรับมาจากเสียงธรรมเทศนาของพระที่มีชื่อเสียง เพลงธรรมะที่ทำขึ้นผ่านคำกล่าวร่างทรงเทพเจ้าองค์ต่างๆ รวมไปถึงเพลงธรรมะที่หยิบเอาบทสวดมนต์มาใส่ทำนองที่ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างมากอยู่ในขณะนี้
นอกจากแบ่งออกเป็นหลายรูปแบบแล้ว ยังมีผู้ผลิตหลากหลาย ทั้งในรูปธุรกิจมีบริษัทผลิตผลงานเป็นเรื่องเป็นราว วัดผลิตเอง รวมไปถึงจัดทำโดยคณะบุคคลที่เลื่อมใสศาสนา และกลุ่มบุคคลในองค์กรธรรมที่มีอยู่ทั่วไป
ท่านเจ้าคุณพระราชวิจิตรปฏิภาณ (เจ้าคุณพิพิธ) วัดสุทัศนเทพวราราม ให้ความรู้ถึงที่มา "เพลงธรรมะ" ว่า เกิดมาจากท่วงทำนองสวดคำฉันท์บาลี ซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า โดยในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าทรงตรัสใน 2 ลักษณะ คือ ร้อยแก้ว และร้อยกรอง หากอะไรที่เป็นส่วนสำคัญท่านจะจัดไว้ให้เป็นร้อยกรอง มีทำนองประจำคำฉันท์นั้นๆ ดังเช่นในปัจจุบันการสวดทำนองสรภัญญะก็ถือเป็นการถอดคำฉันท์ในสมัยก่อนมา
"แต่ละฉันท์สามารถใส่ได้หลายภาษา เช่น ประวัติพระเวสสันดรในอดีตกาลเพื่อจะให้ท่องจำให้ได้ จึงมีการนำทำนองไปใส่ให้จำได้ง่ายขึ้น ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนเรื่องราวเดิมให้เป็นภาษาพูด ซึ่งหากถามว่า เพลงธรรมะที่ยาวที่สุดนั้นคือเพลงอะไร ก็คือ เพลงพระเวสสันดร นี้เอง
หลังจากนั้นเมื่อความนิยมเกิดขึ้น จึงมีการนำเรื่องราวในชาดกพระพุทธเจ้ามาแต่งเป็นกลอน แหล่ โดยเห็นได้ชัดตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา เช่น เพลงแหล่ของพระพรภิรมย์ ต่อมาจึงมีการพัฒนา หยิบสาระธรรมต่างๆ มาสอนเป็นเพลงด้วย ซึ่งเพลงธรรมะส่วนใหญ่มักทำขึ้นโดยพระนักเทศน์ที่สึกออกไปแล้ว เพราะคนเหล่านี้มีความเชี่ยวชาญเรื่องธรรม"
เจ้าคุณพิพิธ กล่าวถึงการที่มีการนำบทสวดมนต์ไปใส่เป็นทำนองเพลง ซึ่งถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในขณะนี้ว่า ทำได้ หากแต่อย่าให้เสียลีลา อารมณ์ของธรรมะ กล่าวคือ ไม่เร็วเกินไปจนอารมณ์คนฟังกระเจิง และไม่ช้าจนเหนื่อยหน่าย เบื่อ ไม่อยากฟัง
"การนำบทสวดมนต์ไปใส่ทำนอง เริ่มมาเมื่อ 14-15 ปีก่อน ทำขึ้นครั้งแรกโดยชาวอินเดีย ต่อมาคนไทยเห็นว่า ฟังแล้วรู้สึกนิ่งดี จึงอยากทำบ้าง ซึ่งก็น่าสรรเสริญ เพราะหนึ่งจะทำให้เกิดความสุขเมื่อได้ฟัง สองจำง่ายในการท่อง และสามทำให้เกิดพุทธคุณ ธรรมคุณ และสังฆคุณ ไม่เกิดกิเลส"
ด้าน นันทนา สวัสดิ์ธนากุล รองประธานกรรมการ บริษัท เอพีเอส อินเตอร์มิวสิค จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเพลงธรรมะ กล่าวว่า บริษัทซื้อลิขสิทธิ์เพลงธรรมะจากประเทศจีน รวมถึงผลิตเพลงประเภทนี้จำหน่ายเองอยู่หลายสิบชุด มายาวนานถึง 10 ปี โดยตลาดเพลงประเภทนี้ถือว่าใหญ่พอสมควร
"ตลาดเพลงธรรมะเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพลงที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็คือ เพลงบทสวดมนต์เจ้าแม่กวนอิมฉบับทิเบตที่ขายคู่กับเพลงบทสวดที่เราได้นำมาแปลเป็นภาษาไทย ซึ่งต่อเดือนเราสามารถขายเพลงธรรมะเหล่านี้ได้หลายหมื่นแผ่น โดยกลุ่มผู้ซื้อจะอยู่ในช่วงอายุ 30 ปีขึ้นไป
การได้ฟังเพลงเหล่านี้ ถือเป็นเรื่องดี ทำให้ได้เรียนรู้ว่า กฎแห่งกรรมมีจริง ฟังแล้วทำให้มีธรรมะมาอยู่ในหัวใจ มีคุณธรรม ดังเช่นตัวดิฉันเองเริ่มต้นก็ได้ฟังก่อนแล้วรู้สึกซาบซึ้ง จึงคิดทำออกมาขาย
แม่ค้าแผงเทปรายหนึ่ง ย่านบางกระปิ ให้ข้อมูลว่า เพลงธรรมะที่ตอนนี้ได้รับการถามถึง และได้รับความสนใจ จะเป็นเพลงที่นำบทสวดมาทำ โดยเฉพาะเพลงบทสวดของเจ้าแม่กวนอิม เพลงบทสวดชินบัญชร แต่ที่ถูกถามตอนนี้เพิ่มมาก็จะมีเพลงบทสวดพาหุง และบทสวดภาษาทิเบตอื่นๆ อีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความสนใจไม่แพ้กันก็คือ วีซีดีการ์ตูนพื้นบ้าน นิทานที่มีคติสอนใจ การ์ตูนสอนธรรมโดยผู้ปกครองมักนิยมซื้อไปให้บุตรหลานไว้ดู ซึ่งคิดว่า วีซีดีเหล่านี้ก็มีประโยชน์ สนุก และเข้าใจง่าย
ปิยะวรรณ สมบูรณ์ดี วัย 30 ปี หนึ่งในผู้ที่เคยฟังเพลงธรรมะ แสดงทัศนะว่า เพลงธรรมะน่าจะมีรากเหง้ามาจากเพลงลูกทุ่ง และเพลงแหล่ในครั้งอดีต โดยเพลงธรรมะที่เคยฟังเป็นเพลงของเสถียรธรรมสถาน ซึ่งเมื่อได้ฟังแล้วก็ให้ความรู้สึกผ่อนคลายได้อย่างดี ส่วนเรื่องการนำบทสวดมาทำเป็นเพลงนั้น ส่วนตัวนั้นคิดว่า เป็นเรื่องที่ส่งผลดีมากกว่าผลเสีย
"การนำบทสวดมาทำเป็นเพลง น่าจะมีผลดีมากกว่าเสีย เพราะจะทำให้คนใกล้ชิดศาสนามากขึ้น แม้ว่าบทสวดของศาสนาพุทธจะยังไม่มากและไม่คุ้นชินเท่ากับบทสวดของจีนที่เรามักจะได้ยินบ่อยมากกว่า โดยเฉพาะในย่านเยาวราช ที่บอกว่า ดีมากกว่าเสีย ก็เหมือนกับที่พระนักเทศน์รุ่นใหม่เคยกล่าวไว้ว่า หากให้คนไปนั่งฟังพระเทศน์แบบเดิมก็คงจะหลับได้ง่าย ทำให้พระต้องมีการปรับตัวเข้ากับยุคสมัย ซึ่งการเทศน์แบบใหม่อาจจะมีมุกตลก แต่สิ่งที่ได้คือการทำให้คนเข้าถึงหลักศาสนา และซึมซับไปอย่างไม่รู้ตัว เช่นเดียวกับเพลงบทสวด ดิฉันคิดว่า ถ้าผู้ทำมีเจตนารมย์ที่ดีก็ทำได้ เพราะหากเราปล่อยให้เรื่องของศาสนาเป็นเรื่องไกลตัวต่อไป คนกับวัดก็จะยิ่งห่างกันไปเรื่อยๆ ทุกวันนี้หนังสือธรรมะก็เช่นกัน ยังมีการปรับให้เข้าใจง่าย เน้นประยุกต์เข้ากับชีวิตประจำวันของคนมากขึ้น"
ท้ายที่สุดไม่ว่าจะมีการนำคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือศาสดาองค์ใดไปทำในรูปแบบที่แตกต่างจากอดีตกาลอย่างไร หากไม่ทำให้ผิดเพี้ยน และตั้งอยู่บนเจตนาที่ดี บริสุทธิ์แล้ว เชื่อว่า ล้วนแต่เป็นการค้ำชูทุกศาสนาให้เจริญรุงเรืองยิ่งขึ้นไป
บายไลน์ สิริรัตน์ แซ่เบ๊
ที่มา - http://www.komchadluek.net/
หมายเหตุ - ต้องการจะฟังเพลงธรรมะก็เข้าไปที่ http://www.google.co.th/ แล้วพิมพ์คำว่า เพลงธรรมะ แล้วโหลตฟัง เพราะหากจะนำมาแสดงที่นี่เกรงจะผิดกฎหมายลิขสิทธิ์
วันเสาร์ ที่ 10 มีนาคม 2550
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)