วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2552

น้องหม่องหวังสร้างชื่อเสียงให้ไทยคนไทยบ้างคนกลับสร้างชื่อเสีย

ในที่สุด "น้องหม่อง" ด.ช.หม่อง ทองดี บุตรแรงงานต่าวด้าวพม่า นักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านห้วยทราย ต.สุเทพ อ.เมืองเชียงใหม่ ได้หนังสือเดินทางชั่วคราวสำหรับคนต่างด้าว (Travel Document for Alien) จากระทรวงต่างประเทศ ตามหนังสือแจ้งของนายวิชัย ศรีขวัญ ปลัดกระทรวงมหาดไทย สามารถเดินทางไปแข่งขันพับเครื่องบินกระดาษ ที่ประเทศญี่ปุ่นในนามประเทศไทยได้

แต่กว่า "น้องหม่อง" จะได้ตามความปรารถนาเช่นนี้ก็ใช้แรงดันพอสมควร ทั้งเข้าพบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี นายนิติธร ล้ำเหลือ ประธานอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนด้านผู้ไร้สัญชาติ ชนชาติ ผู้พลัดถิ่น และแรงงานข้ามชาติ สภาทนายความ ยื่นฟ้องนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง ในข้อหาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่ล่าช้าเกินสมควร

จะด้วยเหตุผลทางกฎหมายเกี่ยวคนต่างด้าวที่ทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับ "น้องหม่อง" ต้องกดดันเช่นนี้จะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่น่าสนใจก็คือความตั้งใจของ"น้องหม่อง" คือ ต้องการสู้เพื่อประเทศไทย ขอเพียงให้ประเทศไทยและคนไทยช่วยเชียร์ให้ได้รางวัลที่ 1 บ้างเท่านั้น

ทั้งนี้ "น้องหม่อง" ได้รางวัลชนะเลิศการแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับชิงแชมป์ประเทศไทยครั้งที่ 5 รุ่นอายุไม่เกิน 12 ปี เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว และได้รับสิทธิ์เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ที่เมืองชิบะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง Japan Origami-Airplane Association ( JOAA ) ระหว่างวันที่ 18-20 กันยายน 2552และได้กำหนดให้เดินทางในวันที่ 16 กันยายนนี้ โดยทาง สวทช. และ เอ็มเทค กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้แจ้งว่าต้องดำเนินการขอหนังสือเดินทางของคนต่างด้าว และนำหนังสือเดินทางไปขอวีซา ณ สถานทูตประเทศญี่ปุ่นภายในวันศุกร์ที่ 4 กันยายนนี้

"น้องหม่อง" บอกว่า ฝึกพับกระดาษมาประมาณ 1 ปี ตอนแรกสังเกตเครื่องบินที่บินขึ้นแล้วลองพับดู ต่อมาทางมหาวิทยาลัยเชียงใหม่จัดการแข่งขันเครื่องบินกระดาษพับ ครูจึงให้ลงสมัคร และชนะได้อันดับ 1 ต่อมาที่ไบเทคบางนา ก็ชนะได้ที่ 1 เช่นกัน เคล็ดลับการพับให้เครื่องบินกระดาษบินได้นาน หากหัวปักลงก็เอาหางขึ้นและทำให้ปีกทั้งสองข้างสมดุล รู้สึกดีใจเมื่อทราบว่าจะได้ไปแข่งที่ญี่ปุ่นและมั่นใจว่าจะชนะ จะทำเพื่อคนไทย และในอนาคตโตขึ้นอยากเป็นนักบิน

ความสำเร็จเบื้องต้นของ "น้องหม่อง" ครั้งนี้ คนที่อยู่เบื้องหลังนอกจากนายดวงฤทธิ์ เภติมา ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านห้วยทรายแล้ว ยังมีนางเตือนใจ ดีเทศน์ ส.ว.เชียงราย อดีต สนช.ที่ทำงานเกี่ยวกับเด็กชาวเขา เด็กไร้สัญชาติในพื้นที่มาเป็นเวลานาน และพยายามหาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องนี้

โดยมีตัวอย่างเช่น นางอายุ นามเทพ อาจารย์ประจำภาควิชาดุริยศิลป์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ อาจารย์สอนดนตรีและนักเปียโนไร้สัญชาติ ผู้ลี้ภัยสงครามจากประเทศพม่า ที่ได้ยื่นเรื่องขอแปลงสัญชาติของตนนั้น หลังจากยื่นเรื่องไปตั้งแต่ปี 2548 จนผ่านขบวนการต่างๆหลายขั้นตอน ล่าสุดหลังผ่านการกรั่นกรองเมื่อเดือน พ.ย.2551 ล่าสุดเรื่องอยู่ที่หน้าห้องของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการส่งให้รัฐมนตรีใช้ดุลพินิจในการให้สัญชาติ ก่อนดำเนินการในขั้นตอนการให้สัญชาติ

ดังนั้นคนไทยและคนที่อาศรัยฟื้นแผ่นดินไทยเจริญเติบโต มียศถาบรรดาศักดิ์ควรที่จะสำนึกและแทนคุณแผ่นดิน ไม่ใช่มุ่งแต่จะใช้แผ่นดินไทยแสวงหาประโยชน์ สร้างชื่อเสียให้กับประเทศไทย เพราะไม่แทนคุณแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับคน "หนักแผ่นดิน"


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google