วันอาทิตย์ที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พระว.วชิรเมธีตอบ"วู้ดดี้"เกิดมาคุยมิลินทจินดาปัญหา

รายการ"วู้ดดี้เกิดมาคุย"ทางโมเดิร์นไนด์ทีวีวันออกพรรษาที่ 4 ตุลาคม "วู้ดดี้"วุฒิธร มิลินทจินดา พิธีกรได้เดินทางไปสัมภาษณ์พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือพระว. วชิรเมธีถึงจังหวัดเชียงราย

"วู้ดดี้" ได้เกริ่นตอนแรกว่า พระว.เป็นบุคคลที่มีการเสนอให้มาเป็นแขกร่วมรายการอันดับต้นๆ แต่ก็ได้ปฏิเสธมาตลอดเพราะไม่รู้จริงๆว่าจะคุยเรื่องอะไร แต่เมื่อไปถึงสถานที่แล้วก็ยังสงสัยลึกๆว่าพระว.เป็นแขกรับเชิญได้จริงหรือ เพราะเข้าใจว่าธรรมะเป็นสิ่งที่ไกล "วู้ดดี้" เหลือเกิน


คำถามแรกที่ "วู้ดดี้" ถามก็คือว่า มีหลายคนบอกว่าผมไม่เหมาะสมที่จะสัมภาษณ์พระท่านมองว่าอย่างไร พระว.ตอบว่าก็ต้องย้อนกลับไปว่าคุณเอาอะไรมาวัดว่าคนอย่าง "วู้ดดี้" ไม่เหมาะสมที่จะคุยกับพระ พระอาจารย์มองว่าเวลานี้ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับ"วู้ดดี้"อีกแล้ว ถ้า"วู้ดดี้" ไม่มาคุยกับพระก็เท่ากับว่า"เกิดมาคุย" ไม่สมบูรณ์แบบ


"วู้ดดี้" ถามต่อว่า กร้าวร้าว พูดตรง ถามตรง มีความรุนแรงบ้างในวาจาไม่เหมาะสมที่จะคุยกับพระ พระว.ตอบว่า พระไม่ได้หมายความว่าจะต้องเรียบร้อยเหมือนกับผ้าพับไว้ เราไปดูที่เนื้อหาสาระได้หรือไม่ บ้างครั้งที่เปิดดู "วู้ดดี้" สัมภาษณ์ดีกว่าพระบางรูปเทศน์ ถ้าเราก้าวข้ามรูปลักษณ์ภายนอกพูดในเรื่องเนื้อหาสาระก็ไม่มีปัญหาที่จะคุยกับ "วู้ดดี้" ไม่ได้


"วู้ดดี้" ถามว่าอย่างนั้นก็หมายความว่าผมสามารถที่จะถามพระอาจารย์ได้ทุกเรื่อง พระว.ตอบว่าก็แล้วแต่จะถามส่วนพระอาจารย์จะตอบหรือไม่นั้นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง


หลังจากนั้น "วู้ดดี้" ก็ได้ถามถึงประวัติความเป็นมาแล้วเข้าในเนื้อหาสาระต่างๆ เมื่อฟังโดยตลอดแล้วทำให้มีความรู้สึกว่า พระว.กราดไม่ตกจะการเป็นพุทธะจริงๆ ท้ายที่สุดของรายการทำให้ "วู้ดดี้" ซาบซึ้งจนกระทั้งน้ำตาไหล


แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดความรู้สึกจากการชมรายการก็คือทำให้นึกถึงพระนาคเสนตอบปัญหาของพระเจ้ามิลินท์จนเกิดมิลินทปัญหาสูตรให้ได้ศึกษากันทุกวันนี้ และในครั้งนี้ก็พอจะกล่าวได้ว่าได้เกิดมิลินทจินดาปัญหาขึ้นจริงๆ เพราะคำถามคำตอบก็ละม้ายคล้ายกับเนื้อหาในมิลินทปัญหา ลองดูลีลาพระเจ้ามิลินท์ถามพระนาคเสนตอนแรกๆของมิลินทปัญหาดูว่าจะจริงหรือไม่


ครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์ได้เสด็จไปหาพระนาคเสนแล้ว ทรงปราศรัยพอให้เกิดความร่าเริงยินดีแล้วก็ประทับนั่ง ฝ่ายพระนาคเสนก็แสดงความชื่นชมยินดี ทำให้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้ามิลินท์


ลำดับนั้น พระองค์จึงตรัสถามปัญหาข้อแรกต่อพระนาคเสนขึ้นว่า


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า โยมประสงค์จะสนทนาด้วย”


พระนาคเสนถวายพระพรตอบว่า


“เชิญสนทนาเถิด มหาบพิตร อาตมภาพใคร่จะฟัง”


“โยมสนทนาแล้ว ขอผู้เป็นเจ้าจงฟังเถิด”


“อาตมภาพฟังอยู่แล้ว มหาบพิตรเชิญเจรจาเถิด”


“พระผู้เป็นเจ้าได้ฟังว่าอย่างไร”


“ก็มหาบพิตรเจรจาว่าอย่างไร”


“โยมจะถามพระผู้เป็นเจ้า”


“จงถามเถิด มหาบพิตร”


“โยมถามแล้ว”


“อาตมภาพก็แก้แล้ว”


“พระผู้เป็นเจ้าแก้ว่าอย่างไร”


“ก็มหาบพิตรถามว่าอย่างไร”



เมื่อพระเถระตอบอย่างนี้แล้ว พวกโยนกเสนาทั้ง ๕๐๐ ก็เปล่งเสียงสาธุการถวายพระนาคเสน แล้วกราบทูลพระเจ้ามิลินท์ว่า

“ข้าแต่มหาราชเจ้า คราวนี้ขอพระองค์จงตรัสถามปัญหาต่อไปเถิด พระเจ้าข้า"



เริ่มมีปัญหาเพราะชื่อ


ในกาลครั้งนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสถามปัญหาต่อพระนาคเสนยิ่งขึ้นไปว่า


“ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ธรรมดาผู้จะสนทนากัน เมื่อไม่รู้จักนามและโคตรของกันและกันเสียก่อน เรื่องสนทนาก็จะไม่มีขึ้น เรื่องที่พูดกันก็จักไม่มั่นคง เพราะฉะนั้นโยมจึงขอถามพระผู้เป็นเจ้าว่า พระผู้เป็นเจ้าชื่ออะไร”


พระนาคเสนตอบว่า


“ขอถวายพระพร เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายเรียกอาตมภาพว่า นาคเสน ส่วนมารดาบิดาเรียกอาตมภาพว่า นาคเสนก็มี วีรเสนก็มี สุรเสนก็มี สีหเสนก็มี

ก็แต่ว่าชื่อที่เพื่อนพรหมจารีเรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” นี้เพียงเป็นชื่อบัญญัติขึ้น เพื่อให้เข้าใจกันได้เท่านั้น ไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนผู้ใดจะอยู่ในชื่อนั้น”

ลำดับนั้น พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสขึ้นว่า

“ขอให้ชาวโยนกทั้ง ๕๐๐ นี้ และพระภิกษุสงฆ์ ๘ หมื่นองค์นี้ จงฟังถ้อยคำของข้าพเจ้าเถิด พระนาคเสนนี้กล่าวว่า เพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” ก็แต่ว่าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนอันใดอยู่ในคำว่า “นาคเสน”นั้น ดังนี้

ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าไม่มีสัตว์บุคคลตัวตนเราเขาอยู่แล้ว บุคคลเหล่าใดถวายบาตร จีวร อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และวัตถุที่เก็บเภสัชไปแล้ว บุญกุศลก็ต้องไม่มีแก่บุคคลเหล่านั้นน่ะซิ

ผู้ใดผู้หนึ่งคิดว่า จะฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็เป็นอันไม่มีน่ะซิ ถ้าบุคคลตัวตนเราเขาไม่มีอยู่แล้ว ก็ใครเล่าจะถวายจีวร อาหาร ที่อยู่ ยา และที่ใส่ยา แก่พระผู้เป็นเจ้า

ใครเล่าจะบริโภคสิ่งเหล่านั้น ใครเล่ารักษาศีล ใครเล่ารู้ไปในพระไตรปิฎก ใครเล่าเจริญภาวนา ใครเล่ากระทำให้แจ้งซึ่งมรรคผล นิพพาน

ใครเล่ากระทำปาณาติบาต ใครเล่ากระทำอทินนาทาน ใครเล่าประพฤติกาเมสุมิจฉาจาร ใครเล่ากล่าวมุสาวาท ใครเล่าดื่มสุราเมรัย ใครเล่ากระทำอนันตริยกรรมทั้ง ๕

เพราะฉะนั้น ถ้าสัตว์บุคคลตัวตนไม่มีแล้ว กุศลก็ต้องไม่มี อกุศลก็ต้องไม่มี ผู้ทำหรือผู้ให้ทำซึ่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วก็ต้องไม่มี

ข้าแต่พระนาคเสน ผู้ใดฆ่าพระผู้เป็นเจ้าโทษปาณาติบาตก็ไม่มีแก่ผู้นั้น เมื่อถืออย่างนั้นก็เป็นอันว่าอาจารย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี อุปัชฌาย์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มีอุปสมบทของพระผู้เป็นเจ้าก็ไม่มี

คำใดที่พระผู้เป็นเจ้ากล่าวไว้ว่า พวกเพื่อนพรหมจรรย์เรียกอาตมภาพว่า “นาคเสน” อะไรเป็นนาคเสนในคำนั้น เมื่อโยมถามพระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างนี้ พระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่หรือไม่

พระนาคเสนตอบว่า

“ขอถวายพระพร อาตมภาพได้ยินเสียงถามอยู่”

“ถ้าพระผู้เป็นเจ้าได้ยินเสียงถามอยู่ คำว่า “นาคเสน” ก็มีอยู่ในชื่อนั้นน่ะซิ”

“ไม่มี มหาบพิตร”

“ข้าแต่พระนาคเสน ถ้าอย่างนั้นโยมขอถามต่อไปว่า ผมของพระผู้เป็นเจ้าหรือ ...เป็นนาคเสน”

“ไม่ใช่ มหาบพิตร”

นี้เป็นเพียงเบื้องต้นเท่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google