วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552

คล้องจตุคามแบบเทวตานุสสติแล้วไม่งมงาย

ช่วง "จตุคามฟีเวอร์" มีความเป็นห่วงผู้นับถือโดยเฉพาะชาวพุทธจะงมงายติดอยู่ที่ "ไสยศาสตร์" ติดความขลัง มุ่งแต่คอยแต่จตุคามรามเทพให้โชคให้ลาภโดยไม่ได้ทำการงานอะไรท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต) เจ้าอาวาสวัดญาณเวศกวัณ จ.นครปฐม ก็ได้เตือนสติในหนังสือ "คติจตุคามรามเทพ" โดยสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะพิมพ์แจกในโอกาสวิสาขบูชาวันที่ 31 พฤษภาคมนี้
ท่านเจ้าคุณได้ระบุว่า จตุคามรามเทพถือว่าเป็นเทพหรือเทวดาที่ดีเป็นชาวพุทธที่ดี คอยรักษาพระธาตุนครศรีธรรมราช มีเมตตากรุณาคอยช่วยเหลือคน มีศรัทธามาทำหน้าที่ปกปักรักษาพระพุทธศาสนา นับเป็นตัวอย่างให้เห็นว่าชาวพุทธควรจะบำเพ็ญความดีอย่างเทพองค์นี้
"ไม่ใช่ว่าเทพจตุคามฯทำความดี แต่คนคอยฉวยโอกาสเอาผลประโยชน์จากการทำความดีของเทพ ชาวพุทธควรเอาเทพที่ดีมาช่วยประกันใจตัวให้มั่นคงไม่หวาดหวั่นพรั่นกลัว และปลุกใจตัวให้มีกำลังใจเข้มแข็งที่จะทำการดีงามให้สำเร็จ ร่วมขบวนกับเทพนั้นในการบำเพ็ญความดีตลอดจนบารมีต่างๆ ที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้" ท่านเจ้าคุณพระพรหมคุณาภรณ์ กล่าว
เทพหรือเทวดาที่ดีอย่าง "จตุคามรามเทพ" นี้ นับได้ไว่เป็นสิ่งที่ควรระลึกนึกถึงตามที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนเรื่องอนุสสติ 10 ประการ ซึ่งก็มี "เทวตานุสสติ" รวมอยู่ด้วย ประกอบกับเทวตานุสสตินี้ถือเป็นอารมณ์แห่งกรรมฐานประการหนึ่งใน 40 ประการ หากผู้นับถือจตุคามฯปฏิบัติธรรมด้วยการเจริญหายใจเข้า "จตุหนอ" เข้าใจออก"คามหนอ" หรือ"จตุคามรามเทพๆๆๆๆๆๆ" มีหรือจิตใจจะไม่สงบ มรรคผลก็คงจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ไม่จำเป็นต้องให้หลวงพ่อรูปไหนมานั่งเสกนั่งปรก เราเสกเราปรกของเราเองมีหรืออิทธิฤทธิ์ทั้งหลายจะไม่เกิดมี
"เทวตานุสสติ" นี้ ท่านผู้รู้ได้อธิบายไว้ว่า "เทวตานุสสติ" แปลว่า ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นอารมณ์ เพราะพระพุทธเจ้ายอมรับนับถือเรื่องเทวดา พระองค์เองทรงปรารภแก่บรรดาพุทธสาวกเรื่องเทวดาเสมอ ขอให้ดูตามพุทธประวัติจะพบว่า พุทธศาสนาไม่เคยห่างเทวดาเลย จะเขียนให้ละเอียดในที่นี้ก็เกรงจะเฟ้อเกินไป ขอย้ำว่า พระพุทธศาสนายอมรับนับถือว่า เทวดามีจริง และยอมรับนับถือความดีของเทวดาด้วย พระพุทธเจ้าถึงกับตรัสให้พุทธบริษัทที่มีบารมียังอ่อน ให้ระลึกถึงความดีของเทวดาเป็นปกติเช่น กรรมฐานข้อที่ว่าด้วย เทวตานุสสติ ก็เป็นพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้าสอนให้คิดถึงความดีของเทวดาความดีของเทวดาเทวดา แปลว่า ผู้ประเสริฐ ความประเสริฐของเทวดามีอย่างนี้ ถ้าพูดกันตามความนิยมแล้วท่านที่จะเป็นเทวดาก็ต้องเกิดเป็นคนก่อน เมื่อเป็นคนก็ต้องศึกษาหลักสูตรของเทวดาว่า จะเป็นเทวดานั้นต้องเรียนรู้และปฏิบัติอะไรบ้าง หลักสูตรที่ทำคนให้เป็นเทวดานั้น พระพุทธเจ้าตรัสว่ามี ๒ แบบ คือเทวดาประเภทที่ 1เทวดาแบบที่ 1 เป็นเทวดาชั้นกามาวจร คือ ชั้นจาตุมหาราช ชั้นดาวดึงส์ ชั้นยามาชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี รวม 6 ชั้นด้วยกัน ทั้ง 6 ชั้นนี้ บวกภูมิเทวดาที่เรียกว่า พระภูมิเจ้าที่ และรุกขเทวดา พวกเทวดาที่มีวิมานอยู่ตามสาขาของต้นไม้ที่เรียกว่านางไม้ เข้ากับเทวดาชั้นจาตุมหาราช เทวดา 6 ชั้นนี้ ท่านว่าใครจะไปเกิดในที่นั้น ๆ เพื่อเป็นเทวดาต้องศึกษาและปฏิบัติตามเทวดาหลักสูตรเสียก่อน คือท่านให้เรียนรู้ เทวธรรม ที่ทำตนให้เป็นเทวดาได้แก่1. หิริ ความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง2. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจทั้งในที่ลับและที่แจ้งทั้งนี้ก็หมายความว่า ต้องเป็นคนมีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และมีจิตเมตตาปรานี ตลอดกาลตลอดสมัย ถึงแม้ยังไม่ได้ฌานสมาบัติก็ไม่เป็นไร เอากันแค่ศีลบริสุทธิ์ มีจิตเมตตาปรานีใช้ได้ ท่านว่าใครศึกษาและปฏิบัติหลักสูตรนี้ได้ครบถ้วน เกิดเป็นเทวดาได้ ปฏิบัติได้อย่างเลิศ ก็เป็นเทวดาชั้นเลิศ ถ้าปฏิบัติได้อย่างกลางก็เป็นเทวดาปานกลาง ถ้าปฏิบัติได้ครบแต่หยาบ ก็เป็นเทวดาเล็ก ๆ เช่น ภูมิ-เทวดาหรือรุกขเทวดาพระพุทธเจ้าท่านตรัสหลักสูตรของเทวดาประเภทที่ 1 ไว้อย่างนี้ เทวดาประเภทที่ 2 เทวดาประเภทที่ 2 นี้ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า "พรหม" ท่านจัดพรหมรวมหมด20 ชั้น ด้วยกัน แยกประเภทไว้ดังนี้ รูปพรหมมี 16 ชั้นรูปพรหม คือ พรหมที่มีรูปนี้ ท่านแบ่งไว้เป็น 16 ชั้น แยกออกเป็น 2 ประเภท คือ พรหมที่ได้ฌานโลกีย์ ท่านจัดไว้ 11 ชั้น กับพรหมที่เป็นพระอนาคามี และได้ฌาน 4 ด้วย 5 ชั้น รวมพรหมที่มีรูป 16 ชั้นอรูปพรหม 4 ชั้นพรหมที่ไม่มีรูปนี้ เป็นโลกียพรหม มีหมดด้วยกัน 4 ชั้น รวมพรหมทั้งหมด 20 ชั้น หลักสูตรที่จะไปเป็นพรหมการที่จะเกิดเป็นพรหม ต้องศึกษาและฝึกตามหลักวิชชาให้ได้ครบถ้วนเสียก่อน ถ้าสอบตกเป็นไม่มีทางได้เกิดเป็นพรหม จะยัดเงินอุดทอง วิ่งเข้าหาเทวดาหรือพรหมองค์ใดให้ช่วยนั้นไม่มีหวังต้องใช้ความสามารถจริง ๆ จึงจะไปได้ การสอบเป็นเทวดาหรือพรหมไม่มีคอรัปชั่น ท่านสอนกันอย่างนี้ เดี๋ยวก่อนก่อนบอกวิธีสอบ ขอบอกไว้ด้วยว่ากรรมการตรวจสอบนั้นไม่มี ต้องตรวจเองสอบเองถ้าสอบได้ก็เป็นพรหมทันที ถ้าสอบไม่ได้อาจต้องเป็นคนอยู่ต่อไป หรือเป็นเทวดา หรือไม่ก็ลงนรกไปเลยสุดแล้วแต่ใครจะมีกรรมอะไรเป็นเครื่องส่ง ก่อนจะพูดถึงหลักสูตรพรหม ขอพูดถึงหลักสูตรต่ำไปหาพรหมก่อนเพราะจะได้รู้ไว้เป็นเครื่องประดับหลักสูตรอบายภูมิอบายภูมิหมายถึงดินแดน นรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดียรัจฉาน ใครจบหลักสูตรนี้ จะได้ไปเกิดในที่ 4 สถานนี้ หลักสูตรนี้มีดังนี้ คือ ไม่รักษาศีล ไม่ให้ทาน ไม่เคารพคนที่ควรเคารพ เท่านี้ไปเกิดในอบายภูมิได้สบาย ไม่มีใครขัดคอหลักสูตรเกิดเป็นมนุษย์หลักสูตรมนุษย์นี้ ท่านเรียกมนุษยธรรม คือ ธรรมที่ทำให้เกิดเป็นมนุษย์มี ๕ อย่าง คือ1. ไม่ฆ่าสัตว ์และไม่ทรมานสัตว์ให้ลำบากด้วยเจตนา2. ไม่ถือเอาของของผู้อื่นที่เขาไม่อนุญาตให้ ด้วยเจตนาขโมย3. ไม่ละเมิดสิทธิในกามารมณ์ที่เจ้าของไม่อนุญาต คือไม่ละเมิดภรรยา สามี ลูก หลานและคนในปกครอง ที่ผู้ปกครองไม่อนุญาต4. ไม่พูดปด ไม่พูดคำหยาบ ไม่พูดส่อเสียดให้เขาแตกร้าวกัน ไม่พูดเพ้อเจ้อ โดยไร้สาระ 5. ไม่ดื่มสุราและเมรัย ที่ทำจิตใจให้มึนเมาไร้สติสัมปชัญญะตามหลักสูตรนี้ ถ้าใครสอบได้ คือปฏิบัติได้ครบถ้วน ท่านว่าตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์ได้หลักสูตรรูปพรหม1. ได้ฌานที่ 1 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 1, 2, 32. ได้ฌานที่ 2 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 4, 5, 63. ได้ฌานที่ 3 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 7, 8, 94.ได้ฌานที่ 4 เกิดเป็นพรหมชั้นที่ 10, และ 11 ทั้งหมดนี้เป็นพรหมชั้นโลกีย์หลักสูตรรูปพรหมอนาคามีพรหมอีก 5 ชั้นคือ ชั้นที่ 12-16 รวม 5 ชั้นนี้ ต้องได้บรรลุมรรคผลเป็นพระอนาคามีได้ฌาน 4 มาก่อนสำหรับอรูปพรหม 4 ชั้นท่านทั้ง 4 ชั้นนี้ ท่านต้องเจริญฌานในกสิณ แล้วเจริญอรูปฌาน 4 ได้อีก จึงจะมาเกิดเป็นอรูปพรหมได้ แต่ท่านก็ได้เพียงฌานโลกีย์ ไม่ใช่พระอริยเจ้า หลักสูตรเทวดาและพรหมมีอย่างนี้ ท่านสอนให้ระลึกนึกถึงความดี คือคุณธรรมที่เทวดาและพรหมปฏิบัติมาแล้วจนเกิดเป็นเทวดาหรือพรหมได้ ก็ชื่อว่าท่านได้รับผลความดีที่ท่านปฏิบัติมาแล้วถ้าเราปฏิบัติอย่างท่าน เราก็อาจจะมีผลความสุขเช่นท่าน เพราะเทวดาขนาดเลวนั้น ดีกว่ามนุษย์ชั้นดีอย่างเปรียบเทียบกันไม่ได้เลย เพราะเทวดามีกายเป็นทิพย์ มีที่อยู่เป็นทิพย์ ไปไหนก็เหาะไปได้ไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยเหมือนเรา ฉะนั้นความดีของเทวดานี้ ถึงจะยังไม่ถึงความดีในนิพพาน แต่ก็เป็นสะพานสำหรับปฏิบัติเพื่อผลในพระนิพพานได้เป็นอย่างดี ดีกว่ามาคิดว่า เทวดาไม่เป็นเรื่อง เทวดาไม่มี เราเป็นพุทธสาวก เมื่อพระพุทธเจ้าท่านว่ามี เราก็ควรเชื่อไว้ก่อน แล้วสร้างสมาธิทำทิพยจักษุ-ญาณให้เกิด ตรวจสอบคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่ง จะพบว่าที่ท่านสอนว่า เทวดา พรหมนรก สวรรค์ มีจริงนั้น ท่านสอนตรง ไม่ใช่สอนแบบยกเมฆ ท่านบูชาเทวดา ท่านอาจดีตามเทวดาแต่ท่านด่าเทวดาท่านอาจไม่ได้พบเทวดาเลยเทวตานุสสตินี้ ถ้าฝึกจนเกิดอุปจารฌานแล้ว เมื่อเจริญวิปัสสนาญาณต่อ จะเข้าถึงมรรคผลได้ไม่ยาก เพราะเป็นภูมิธรรมที่ละเอียด และมีแนวโน้มเข้าไปใกล้พระนิพพานมากสิ่งที่น่าสังเกตุประการหนึ่งก็คือว่าผู้ที่จะเป็นเทวดาได้นั้นจะต้องมีธรรม 2 ประการคือ 1. หิริ ความละอายต่อความชั่วทั้งหมด ไม่ทำชั่วทั้งในที่ลับและที่แจ้ง 2. โอตตัปปะ ความเกรงกลัวผลของความชั่วจะลงโทษ ไม่ยอมประพฤติชั่วทั้งกายวาจาใจทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ก็ลองพิจารณาดูว่ามนุษย์ทุกวันนี้มีธรรม 2 ประการนี้มากน้อยเพียงใด ก็เพราะไม่มีโลกถึงได้วุ่นวายอยู่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google