วันเสาร์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2552

ความเชื่อจากจตุคามถึงตำนานแร็กน่าร็อก

เรื่องจตุคามนั้น คงไม่มีใครปฏิเสธว่าที่ "ฟีเวอร์" ทุกวันนี้ นอกจากการประโคมข่าวของสื่อแล้ว สิ่งหนึ่งก็เพราะเกิดจากความเชื่อว่าจะเป็นจริงตามที่ "โปรโมท" นั้น ส่วนเกม "แร็กน่าร็อก" นั้น หลายคนที่ไม่เคยเล่นเกมนี้อาจจะไม่รู้มาก่อนว่า เกมนี้เกิดจากตำนานความเชื่อได้อย่างไร
ต้องยอมรับกันว่า "จตุคามฟีเวอร์" แพร่กระจายไปตามสื่อสิ่งพิมพ์ทุกประเภทจริง ๆ แม้นแต่หนังสือ Health Plus ฉบับวันที่ 15 พ.ค.นี้ ซึ่งเป็นหนังสือเกี่ยวกับสุขภาพ ก็ไม่วายที่จะมีบทความเกี่ยวเนื่องกับ "จตุคาม"
หนังสือเล่มนี้ได้กล่าวถึง "จตุคาม" ในบทความที่ว่า "ความเชื่อ Believe it or not ?" เขียนโดย "สัมพันธ์ สอนเกิด" ได้กล่าวถึงที่มาของความเชื่อ โดยระบุว่า มนุษย์มีความเชื่อมาก่อนจะมีศาสนาเกิดขึ้น
ต่อจากนั้นผู้เขียนก็ได้กล่าวถึงวัตถุที่เป็นบ่อเกิดของความเชื่อ หรือเชื่อให้วัตถุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นพระเครื่องที่ได้รับความนิยมเช่น พระสมเด็จ หลวงปู่ทวด จนกระทั้งมาถึง "จตุคามฟีเวอร์" ซึ่งได้กล่าวถึงที่มาถึงประวัติจตุคามว่าเป็นมาอย่างไรถึงได้เกิด "ฟีเวอร์" จนกระทั้งมีการจองและเหยียบกันตาย และมีการก่ออาชญากรรมต่าง ๆ ตามมา
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อในท้องถิ่นไทย อย่างเช่น โจ/กะโจ/กาโจ เป็นความเชื่อของชาวภาคใต้ เช่น ชุมพร การส่งกระแบะกระบาล เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง ประเพณีทำบุญกลางบ้าน เป็นความเชื่อของชาวภาคกลาง เช่น ชลบุรี ศาลปู่ตาหรือศาลตาปู่ เป็นความเชื่อของชาวอีสาน สิ่งมงคลในบ้าน เช่นต้นไม้ที่ปลูก การเลี้ยงแมว
ผู้เขียนได้กล่าวถึงความเชื่อนานาชาติ เช่น "ทานูกิ" เป็นสัตว์ที่ชาวญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็นปีศาจ "มัมมี่" ชาวอียิปต์โบรานมีความเชื่อเรื่องชีวิตหลังการตายว่าดวงวิญญาณจะกลับเข้าร่าวอีกครั้ง
และความเชื่อในตำนาน "แร็กน่าร็อก" นี้ซิน่าสนใจ เพราะไม่เคยได้ยินมาก่อนเนื่องจากไม่ใช่คนชอบเล่นเกม
ผู้เขียนได้กล่าวว่า "แร็กน่าร็อก" เป็นเกมออนไลน์ที่เคยเป็นประเด็นทางสังคมอยู่พักใหญ่ เป็นหนึ่งในตำนานชาวเหนือ ที่กล่าวถึงวาระสุดท้ายของเทพต่าง ๆ โดยแบ่งฝ่ายต่อสู้กันจนตายเกือบทั้งหมดทั้งสามโลก และอาศัยเรื่องราวอันวุ่นวายเหล่านี้ เป็นต้นเรื่องที่ศิลปินชาว "ญี่ปุ่น" เขียนเป็นการ์ตูน ส่งผลให้คนอ่านติดงอมแงม ต่อมาชาว "เกาหลี" ได้นำไปสร้างเป็นเกม จนกระทั้งสามารถออนไลน์กันได้ทางอินเตอร์เน็ตจนฮิตไปทั่วโลก
ชาวเหนือเชื่อกันว่าจักรวาลแบ่งออกเป็นเก้าโลก เป็นของชาวสวรรค์กับพวกเอลฟ์ตัวขาว สามโลก ของมนุษย์ คนแคระ เอลฟ์ตัวดำ และยักษ์น้ำแข็งอีกสี่โลก และใต้พิภพอีกสองโลก แต่ความไม่ลงรอยกันในระหว่างเผ่าพันธุ์เปราะบางเต็มไปด้วยความเกลียดชังระหว่างกัน นานวันความกระหายสงคราม (ไม่มีวันจางหาย) ก็ปะทุขึ้น จนถึงช่วง "แร็กน่าร็อก" ความเดือดดาล ความโลภ และความเกลียดชัง พลังทำลายล้างได้ระเบิดเป็นสงครามครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในตำนานของชาวเหนือ
สงครามที่ชาวไวกิ้งรบแต่ละครั้ง มักน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และอยู่ในความทรงจำของผู้คนยากลืมเลือน กระทั้งมีการบันทึกไว้ในหลายสถานที่ แต่ในมุมมองของชาวไวกิ้งแล้ว ไม่มีสงครามครั้งใดจะรุ่นแรงได้เท่า "แร็กน่าร็อก"
ผู้เขียนได้สรุปตอนท้ายว่า ก่อนก้าวออกจากถ้ำ มนุษย์โบราณมีความเชื่อบางอย่างอยู่ในหัว และขอทายว่าเขาต้องเชื่อว่าตัวเองอยู่ได้และต้องรอด เขาเชื่อและพิสูจน์แล้ว่าเป็นจริง
ก่อนก้าวออกจากบ้าน มนุษย์ปัจจุบันมีความเชื่อบางอยู่ในหัว และขอภาวนาว่า เขาคงไม่เชื่อแบบนั้น และไม่ทำเป็นอันขาด เพราะถ้าเขาเชื่อและอยากพิสูจน์ "แร็กน่าร็อก" ครั้งใหม่เริ่มต้นแน่นอน
คงไม่ต้องตีความว่า ผู้เขียนหมายถึงอะไร เพราะเท่าที่เป็นอยู่ปัจจุบันนี้ก็น่ากลัวพอแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางภาคใต้ของไทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Google